Friday, June 13, 2025

AUDIENCE (1982, Barbara Hammer, USA/UK/Canada, documentary, 32min, A+30)

 

AUDIENCE (1982, Barbara Hammer, USA/UK/Canada, documentary, 32min, A+30)

 

งดงามที่สุด หนังเรื่องนี้เป็นการสัมภาษณ์ผู้คนต่าง ๆ ที่มาดูหนังของ Barbara Hammer ที่ซานฟรานซิสโก, ลอนดอน, โตรอนโต และมอนทรีอัล ซึ่งผู้ชมส่วนใหญ่ก็เป็นเลสเบียน (เราเข้าใจว่าอย่างนั้นนะ) เพราะฉะนั้นในแง่หนึ่งหนังเรื่องนี้ก็เลยกลายเป็นการบันทึกภาพ “เลสเบียนที่เป็นคนธรรมดาในช่วงต้นทศวรรษ 1980” ซึ่งเราว่ามันแตกต่างจาก “นักแสดงหญิงที่รับบทเป็นเลสเบียนในภาพยนตร์” ซึ่งมักจะเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาดีกว่าคนธรรมดา (ลองนึกถึง CAROL (2015, Todd Haynes) และ THE BITTER TEARS OF PETRA VON KANT (1972, Rainer Werner Fassbinder) ซึ่งต่างก็เป็นหนังเลสเบียนที่เราชอบสุดขีด)

 

 คือพอดูหนังเรื่องนี้แล้วเรารู้สึกว่า เราไม่ค่อยได้เห็นคนกลุ่มนี้ในภาพยนตร์น่ะ เลสเบียนที่เป็นคนธรรมดาจำนวนมาก มีทั้งคนวัยสาว, คนวัยกลางคน และผู้สูงวัยในช่วงทศวรรษ 1980 เราก็เลยรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มาก ๆ ในการที่ได้บันทึกภาพคนกลุ่มนี้ไว้

+++++++++

 

ไปร่วมชมการบันทึกเทปรายการวิทยุ THE ART HOURS ON TOUR IN BANGKOK ของ BBC ผู้ชมมากมายเกินคาด ชอบที่ผู้จัดรายการนี้สามารถพูดถึงประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเทศไทยได้หลายประเด็นภายในเวลา 2 ชั่วโมง ทั้งเรื่องมาตรา 112, การสังหารหมู่ในวันที่ 6 ต.ค. 1976, การสังหารหมู่คนเสื้อแดงในเดือนพ.ค. 2010, ซีรีส์วาย, ลักษณะเฉพาะ ๆ ของแฟน ๆ ซีรีส์วาย, ลักษณะนิสัยของคนไทย, ความเคร่งครัดด้านกฎระเบียบในโรงเรียนไทย, สถานะและบทบาทของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และภูตผีปีศาจในสังคมไทย ฯลฯ แต่ไม่แน่ใจว่าประเด็นเหล่านี้จะถูกตัดทอนไปมากน้อยแค่ไหนเวลาได้ออกอากาศจริง เพราะเขาใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการบันทึกเทป แต่จะตัดทอนเนื้อหาให้เหลือเพียง 1 ชั่วโมงเมื่อออกอากาศทางวิทยุ #AHOTBKK

Wednesday, June 11, 2025

PETER PRZYGODDA

 

เปิดดูวิดีโอเทปม้วนเก่า พบว่าตัวเองเคยอัดบางฉากจากหนังเรื่อง DEAD CALM (1989, Phillip Noyce, Australia, A+30) เก็บไว้ด้วย ตอนมันมาฉายทางรายการ BIG CINEMA ของช่อง 7 โดยเราอัดเก็บไว้เฉพาะบางฉากที่ Billy Zane ถอดเสื้อ 55555

https://web.facebook.com/jit.phokaew/videos/1847459329166744

 

พบว่าเราเคยอัดวิดีโอเทปบางฉากจากหนังเรื่อง FULL MOON IN NEW YORK (1989, Stanley Kwan, Hong Kong, A+30) เก็บไว้ด้วย ตอนที่หนังเรื่องนี้มาฉายทางช่อง 9 อสมท. เมื่อราว 30 กว่าปีก่อน ถือเป็นหนึ่งในหนังฮ่องกงที่เราชอบมากที่สุดตลอดกาล จางม่านอวี้กับจางอ้ายเจียในหนังเรื่องนี้สุดยอดมาก ๆ เสียดายที่ภาพในวิดีโอเทปมันเสื่อมสภาพไปแล้ว

https://web.facebook.com/jit.phokaew/videos/1075488777830924

 

เราเคยดูหนังของ Zeki Demirkubuz แค่เรื่องเดียว ซึ่งก็คือเรื่อง INNOCENCE (1997) ที่เราได้ดูในวันที่ 21 ต.ค. 2005 ในงาน WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK เราชอบหนังเรื่องนั้นอย่างรุนแรงมาก ๆ

 

เราชอบ A HANDFUL OF RICE (1940, Paul Fejos + Gunnar Skoglund, Sweden, A+30) อย่างสุดขีดมาก ๆ หนังเรื่องนี้เคยติดอันดับ 38 ในลิสท์หนังที่เราชื่นชอบที่สุดที่ได้ดูในปี 2015 ด้วย

++++++++

ฟังเทป “กระโปกคู่บุญ...ผมกับคุณก็เลยคู่กัน” ของ MAN ON FILM จบแล้ว รื่นรมย์มาก ๆ ชอบมากที่พูดถึงการกำกับภาพในหนังของ Apichatpong Weerasethakul ด้วย ที่ต่อต้านความสมบูรณ์แบบ และต้องปรับให้มันเบี้ยวออกไปจากภาพที่สมบูรณ์แบบ เพื่อ “เปิดโอกาสให้ภาพมันหายใจ”

 

ชอบมากที่พูดถึงความยากในการเขียนถึง “ดนตรีในภาพยนตร์” ด้วย เพราะเรารู้สึกว่าอะไรต่าง ๆ ในภาพยนตร์ที่มัน “ยากที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร” นี่แหละ ที่มันน่าสนใจ (ซึ่งตรงข้ามกับ “เนื้อเรื่อง” หรือ “เหตุการณ์ในเรื่อง” หรือ “message ที่ต้องการบอกกับผู้ชม” ที่เขียนเล่าเป็นตัวอักษรได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้น “หนังไม่เล่าเรื่อง” ก็เลยกลายเป็นหนึ่งในแนวหนังที่เราชอบมากที่สุด 55555)

 

พูดถึง “คู่บุญ” แล้ว เรารู้สึกว่าคู่บุญที่เราอยากอ่านบทความเกี่ยวกับเขามากที่สุด ก็คือการทำงานร่วมกันระหว่าง Wim Wenders กับ Peter Przygodda ซึ่งเป็นนักตัดต่อขาประจำของเขา

 

ซึ่งเราก็ไม่ได้รู้สึกว่า การตัดต่อในหนังของ Wim Wenders มีความพิเศษหรืออะไรหรอกนะ 55555 เพียงแต่ว่าชื่อ Peter Przygodda นี่เป็นหนึ่งในชื่อที่เราเห็นบ่อยที่สุดในภาพยนตร์ที่เราเคยดูเลยมั้ง เพราะว่านอกจากเขาจะตัดต่อหนังจำนวนมากให้ Wim Wenders แล้ว เขายังตัดต่อหนังให้ Werner Schroeter, Ula Stockl, Reinhard Hauff, Frank Ripploh, Peter Handke, Romuald Karmakar, Volker Schlöndorff, Hans-Jürgen Syberberg, German Kral และ Hans W. Geissendörfer ด้วย เพราะฉะนั้นพอพูดถึง “มือตัดต่อ” เราก็เลยนึกถึงชื่อ Peter Przygodda เป็นลำดับแรก เพราะการดูหนังที่สถาบันเกอเธ่ ซอยสาทร 1 ทำให้เราได้เห็นชื่อเขาบนจอภาพยนตร์เป็นประจำ 55555

  

Monday, June 09, 2025

A MYSTERIOUS TV SERIES I WATCHED IN THE 1980S

 

แชมพูที่ผมใช้อยู่ตอนนี้ยี่ห้อ ชีววิถี สูตรใบหมี่-อัญชัน แล้วผมก็ซื้อแชมพูยี่ห้อ เขาค้อทะเลภู สูตรอัญชัน มาสำรองไว้ใช้ด้วยครับ

++++++

เพื่อนของแม่หมีเพิ่งกลับจากไปเที่ยว ลูกหมีเลยได้ของฝากเป็นคุ้กกี้กับผ้าเช็ดมือ PADDINGTON IN PERU

+++++++++++

เมื่อวันเสาร์หลังจากเราดูหนัง 3 เรื่องที่หอภาพยนตร์ ศาลายาเสร็จ เราก็เดินไปกินข้าวเย็นที่ร้าน RABBIT CAFÉ SALAYA ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับหอภาพยนตร์ ร้านนี้เปิดวันจันทร์ถึงเสาร์จนถึง 20.00 น. แต่ร้านนี้ปิดวันอาทิตย์นะ

+++++++

เราจดบันทึกไว้ว่า ในช่วงราวปี 1993 เราได้ดูหนังเรื่อง “ผู้หญิงเลือดพล่าน” ซึ่งน่าจะเป็นหนังฮ่องกงที่ตั้งชื่อหนังว่า “ผู้หญิงเลือดพล่าน” โดยเราได้ดูหนังเรื่องนี้ทางวิดีโอหรือไม่ก็ทางทีวี แต่ไม่ได้ดูในจอภาพยนตร์

 

ปัญหาก็คือว่า เราจำไม่ได้เลยว่า หนังเรื่องนั้นมันคือเรื่องอะไร นำแสดงโดยใคร แล้วค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตก็ไม่เจอด้วย เพราะ google บอกว่า ชื่อหนังเรื่อง “ผู้หญิงเลือดพล่าน” มันคือเรื่อง BOUND (1996) ซึ่งแสดงว่ามันคงเป็นชื่อหนังที่ซ้ำกัน เพราะเราได้ดูหนังเรื่อง “ผู้หญิงเลือดพล่าน” ในราวปี 1993 เพราะฉะนั้นมันต้องไม่ใช่เรื่อง BOUND อย่างแน่นอน

 

มีใครรู้ไหมว่า หนังเรื่อง “ผู้หญิงเลือดพล่าน” ที่เราได้ดูในราวปี 1993 มันคือเรื่องอะไร เราจะได้ลงข้อมูลใน letterboxd ได้ถูกต้อง

 

ตอนนี้ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของเราคือหนังเรื่อง FATAL LOVE (1993, Kin Lo, Hong Kong) ที่นำแสดงโดย Michael Wong แต่เราก็จำไม่ได้แล้วว่า เราเคยดูเรื่อง FATAL LOVE แล้วยัง เหมือนจะเคยดูแล้ว แต่มันคือเรื่องเดียวกับ “ผู้หญิงเลือดพล่าน” หรือเปล่า

 

แล้วเราจดไว้ด้วยว่า ในช่วงทศวรรษ 1980 เราเคยดูละครโทรทัศน์เรื่อง “ชีวิต” ซึ่งตอนนี้เราก็จำไม่ได้แล้วว่า ละครโทรทัศน์เรื่องนั้นมันคือเรื่องอะไร ของชาติอะไร 555555 มีใครจำได้มั้ยว่า ในช่วงทศวรรษ 1980 ละครโทรทัศน์เรื่อง “ชีวิต” มันคือเรื่องอะไร

Sunday, June 08, 2025

QUEER FILMS ACCORDING TO MY NAME

 

ดีใจสุดขีดที่วันนี้ได้ดู THE NEIGHBOR’S WIFE AND MINE (1931, Heinosuke Gosho, Japan, 56min, A+30) ซึ่งเป็นหนังเสียงสมบูรณ์แบบเรื่องแรกของญี่ปุ่น และ TIPSY LIFE (1933, Sotoji Kimura, Japan, 77min, A+30) ซึ่งเป็นหนังเพลงเรื่องแรกของญี่ปุ่น

 

ตอนนี้ก็เลยทำให้อยากดู “หนังสีเรื่องแรกของญี่ปุ่น” มาก ๆ ซึ่งก็คือ CARMEN COMES HOME (1951, Keinosuke Kinoshita) ที่นำแสดงโดย Hideko Takamine ดาราคู่บุญของ Mikio Naruse และ Chishu Ryu ดาราคู่บุญของ Yasujiro Ozu

 

จริง ๆ แล้วก็อยากดู “หนังสีเรื่องแรก” ของประเทศต่าง ๆ มาก ๆ แต่เข้าใจว่าหนังสีเรื่องแรกของหลาย ๆ ประเทศน่าจะหายสาบสูญกันไปเกือบหมดแล้ว ยกเว้น CARMEN COMES HOME ที่น่าจะยังคงหาดูได้ และ KARNAVAL CVETOV (1935, Nikolai Ekk, documentary, 47min) หนังสีเรื่องแรกของสหภาพโซเวียต ที่เราเห็นมีให้ดูในยูทูบ แต่มันไม่มีซับไตเติลภาษาอังกฤษ

 

หนังสีเรื่องแรกของประเทศอื่น ๆ ที่เราอยากดู แต่ไม่รู้ว่าฟิล์มหายสาบสูญไปแล้วยัง

 

1. สามปอยหลวง (1940, ร้อยตรี ทองอิน บุณยเสนา) อันนี้คือหนังสีเรื่องแรกของไทยหรือเปล่า เราไม่แน่ใจ

 

2. SAIRANDHRI (1933, V. Shantaram, India) หนังสีเรื่องแรกของอินเดีย

 

3. REMORSE AT DEATH (1948, Fei Mu, China, 60min) หนังสีเรื่องแรกของจีน

+++++++++++

ต้อนรับ PRIDE MONTH ด้วยการเลือกชื่อหนัง queer สุดโปรดตามตัวอักษรในชื่อของเราเอง (เราดัดแปลงเกมนี้มาจากเกมที่เพื่อนคนอื่น ๆ เล่นกัน โดยเราเอาเกมนั้นมาดัดแปลงกฎใหม่ตามใจตัวเราเอง 55555)

 

JIT PHOKAEW

 

J = JEFFREY (1995, Christopher Ashley, USA)

 

I = THE IGNORANT FAIRIES (2001, Ferzan Özpetek, Italy)

 

T = THIRTY YEARS OF ADONIS (2017, Scud, Hong Kong)

 

P = PEPI, LUCI, BOM AND OTHER GIRLS LIKE MOM (1980, Pedro Almodóvar, Spain)

 

H = THE HOURS AND TIMES (1991, Christopher Munch, USA)

 

O = OTTO; OR, UP WITH DEAD PEOPLE (2008, Bruce LaBruce, Germany/Canada)

 

K = KISS OF THE SPIDER WOMAN (1985, Hector Babenco, Brazil)

 

A = THE ADVENTURES OF PRISCILLA, QUEEN OF THE DESERT (1994, Stephan Elliott, Australia)

 

E = EDWARD II (1991, Derek Jarman, UK)

 

W = THE WOUNDED MAN (1983, Patrice Chéreau, France)

Friday, June 06, 2025

WIFE! BE LIKE A ROSE!

 

“หนังที่มีหัวจิตหัวใจ”

 

กราบตีน WIFE! BE LIKE A ROSE! (1935, Mikio Naruse, Japan, A+30) อย่างถึงที่สุด ดูแล้วแทบร้องไห้ งดงามที่สุด ตายห่าคาจอไปเลย เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีสิทธิลุ้นอันดับหนึ่งประจำปีนี้

 

ตัวละคร Oyuki (Yuriko Hanabusa) ใน WIFE! BE LIKE A ROSE! นี่นึกว่าต้องปะทะกับตัวละครของ “ศรีไศล สุชาตวุฒิ” ใน “แก้ว” (1980, Piak Poster) ในฐานะ “หนึ่งในตัวละครหญิงที่เราชอบที่สุดตลอดกาล”

 

สรุปว่าในบรรดาผู้กำกับหนังญี่ปุ่นยุคนั้น เราชอบ Mikio Naruse อันดับหนึ่ง, Kenji Mizoguchi อันดับสอง, Akira Kurosawa อันดับสาม และ Yasujiro Ozu อันดับสี่ (เราชอบ “สไตล์” หนังของ Ozu มากกว่าสไตล์หนังของ Kurosawa แต่เราไม่ “อิน” กับตัวละครในหนังของ Ozu) แต่เรายังไม่เคยดูหนังของ Hiroshi Shimizu กับ Sadao Yamanaka นะ

 

สำหรับเราแล้ว หนังเรื่อง WIFE! BE LIKE A ROSE! คือคำนิยามของคำว่า “หนังที่มีหัวจิตหัวใจ” ของจริง ถ้าหากให้เราจัดฉายหนังเรื่องนี้ควบกับหนังเรื่องอื่นๆ เราก็จะจัดฉายมันควบกับ “หนังที่มีหัวจิตหัวใจ” ที่เกี่ยวข้องกับรักสามเส้า หรืออะไรทำนองนั้น ดังต่อไปนี้

 

1. SUNRISE (1927, F. W. Murnau)

 

2.THE THINGS OF LIFE (1970, Claude Sautet, France)

 

3.GAEW แก้ว (1980, Piak Poster)

 

4. AND THEN (1985, Yoshimitsu Morita)

 

5. THE HEART OF ME (2002, Thaddeus O’Sullivan, UK)

 

6. JERICHOW (2008, Christian Petzold, Germany)

Wednesday, June 04, 2025

ETCHED IN MEMORY

 

อยู่ดี ๆ เมื่อคืนเราก็ฝันว่าลูกหมีมาร้องเพลง HANASHI KAKETAKATTA (I WANTED TO TALK TO YOU) (1987, Yoko Minamino) ให้เราฟัง ประหลาดมาก งงว่าความฝันนี้มาได้อย่างไร เพราะเราเองก็ไม่ได้ฟังเพลงนี้มานานแล้ว

https://www.youtube.com/watch?v=wZX5TuC28cM

++++++++++

ปกติหนังเรื่องไหนที่เราเคยดูแล้วในรูปแบบวิดีโอเทป เราจะขี้เกียจไปดูอีกในโรงภาพยนตร์ ยกเว้นเรื่อง THE MIRROR (Andrei Tarkovsky) นี่แหละที่เราเคยดูแล้วในรูปแบบวิดีโอเทปจากร้านแว่น จตุจักรเมื่อราว 20-25 ปีก่อน แต่เราก็ยังคงตั้งความหวังมาจนถึงปัจจุบันนี้ว่า จะมีคนนำหนังเรื่องนี้มาเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล

+++++++

เวลาเราใช้ Facebook มันชอบขึ้นโฆษณากางเกงในชายเข้ามาในฟีดเรา เราก็รู้สึกว่า “มันยังพอรู้ใจเรา” แต่เวลาเราเข้าไปอ่านเว็บไซต์ข่าวของบางสำนักข่าว แล้วมันชอบขึ้นโฆษณา “บ้าน ราคาเริ่มต้น 125 ล้านบาท” เราก็สงสัยว่า ระบบยิงโฆษณามันใช้อะไรคิดคะ กูจะเอาเงิน 125 ล้านบาทมาจากไหน มึงลดราคาเหลือ 1.25 ล้านบาทก่อนค่ะ แล้วค่อยยิงโฆษณาเข้ามาให้กูดู 55555

++++

 

ETCHED IN MEMORY เธอในความทรงจำ (2025, วรวรรณ ขิมสมุทร, queer film, 29min, A+25)

 

ชอบที่หนังเรื่องนี้เป็นทั้งหนังเกย์ + หนังแวมไพร์ ที่มีการพูดถึง “พุทธทาสภิกขุ” ด้วย 55555 คือการผสมหนังเกย์กับหนังแวมไพร์เข้าด้วยกันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเราก็เคยดู QUEEN OF THE DAMNED (2002, Michael Rymer, A+30) และ RED WINE IN THE DARK NIGHT (2015, Tanwarin Sukkhapisit, A+25) มาแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราประทับใจที่สุดในหนังเกย์แวมไพร์เรื่องนี้ ก็เลยกลายเป็นการที่ตัวละครในหนังพูดคุยกันเรื่อง “พุทธทาสภิกขุ”

+++++

 

เราไปงานฉายหนังของ ICT SILPAKORN ครั้งแรกในวันที่ 6 เม.ย. 2012 หรือเมื่อ 13 ปีที่แล้ว แต่เราก็ไม่ได้ไปดูงานนี้ทุกปีนะ คิดถึงอดีตมาก ๆ

 

BACTERIA (2024, Bundit Thianrat, 18min, A+30)

 

เห็นใน Facebook มีระบบ subscription ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ยังไม่เคยจ่ายเงิน subscribe ให้เพจไหนเลย แต่มาวันนี้เราก็เลยตัดสินใจจ่ายเงิน subscribe ให้เพจ “ทหารสายกล้าม” เป็นเพจแรก เราก็เลยอยากรู้ว่า เพื่อน ๆ มีการจ่ายเงิน subscribe ให้ใครใน Facebook กันบ้างคะ มีอะไรน่า subscribe กันอีกบ้าง

+++

 

BACTERIA (2024, Bundit Thianrat, 18min, A+30)

 

1. จริง ๆ แล้วสิ่งที่เราชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้คือ “process การทำขนมปัง sour dough” (ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด) เพราะเหมือนเราไม่เคยเห็นสิ่งนี้ในหนังเรื่องอื่น ๆ มาก่อน เราก็เลยชอบจุดนี้มากที่สุดในหนัง และเราก็เลยแอบเสียดายที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้อธิบาย process การทำขนมปัง sour dough อย่างละเอียดกว่านี้ 55555 ส่วนเนื้อหาของหนังที่เป็นเรื่องของ “ความขัดแย้งและการประนีประนอมกันระหว่างคนสองรุ่น” นั้น เราว่ามันก็ดี แต่เราว่ามันดูลอย ๆ ไปหน่อยสำหรับเรา เหมือนหนังมันอมพะนำมากเกินไปหน่อยในจุดนี้ ส่วนเรื่องประเด็นการเมืองในหนังนั้น เราดูแล้วก็ยอมรับว่า เราอาจจะไม่เข้าใจหนังเรื่องนี้ในจุดนี้ เพราะว่าถ้าหากไม่มีการใส่ฉากในช่วง closing credits เข้ามา เราก็คงไม่คิดว่าหนังเรื่องนี้มีประเด็นการเมืองแอบแฝงอยู่ด้วย 55555

 

2. นอกจากส่วนที่เป็น process การทำขนมปังแล้ว เราก็ชอบ “ความประณีต” ในหนังเรื่องนี้นะ เหมือนหนังมันมีความประณีตในการคิดฉากแต่ละฉากและในการเรียงร้อยมันออกมาน่ะ ตัวอย่างของฉากที่ชอบมากก็อย่างเช่นในช่วงนาทีที่ 5 ที่ timer ดังขึ้นมา แล้วตัวละครลุง (ปาโมช แสงศร) เหมือนมีอาการโรคหัวใจ (ไม่รู้ว่าเราเข้าใจถูกหรือเปล่า) เหมือนหนังเรื่องนี้ใช้บางช็อตที่เล่าเหตุการณ์ได้ทั้งในส่วนของโฟร์กราวด์และแบคกราวด์ได้ในฉากเดียวกันน่ะ คือในตอนแรกเราจะเห็นลุงกำลังเตรียมขนมปังในแบคกราวด์ และเห็น space ของพื้นที่บริเวณนั้น ซึ่งดูค่อนข้างแคบ ก่อนที่ภาพจะเปลี่ยนมาโฟกัสที่โฟร์กราวด์เมื่อ timer ดังขึ้น แล้วเราก็เห็นตัวละครหลาน (อวัช รัตนะปิณฑะ) ทำหน้าตาคับข้องใจอยู่ที่โฟร์กราวด์ของฉาก โดยที่มีลุงทำอาการปวดหัวใจอยู่ในแบคกราวด์ของฉาก

 

3. ชอบความคล้องจองกันระหว่างฉากเปิดกับฉากปิดของหนังด้วย เหมือนเป็นการส่งผ่านอะไรบางอย่างจากตัวละครหนึ่งไปสู่ตัวละครหนึ่ง และจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งได้อย่างงดงาม

 

4.อีกสิ่งที่ชอบสุดขีดในหนัง คือการที่หนังเหมือนรีดเค้นพลังทางการแสดงของปาโมชกับอวัชออกมาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่นาทีที่ 11 เป็นต้นไป คือเหมือนหนังเรื่องนี้ใช้ดาราดังมาแสดง (เมื่อเทียบกับหนังสั้นไทยโดยทั่วไป) และก็เป็นการใช้อย่างคุ้มค่ามาก ๆ ไม่เสียของ นักแสดงทั้งสองเล่นได้ดีสุดขีดมาก ๆ

 

5. หลังจากที่เราเขียนถึงจุดที่เราชอบสุดขีดในหนังเรื่องนี้ไปแล้ว ต่อไปนี้เราก็จะเขียนถึงจุดที่เรา “ไม่แน่ใจ” ว่าเราชอบหรือไม่ชอบในหนังเรื่องนี้นะ 555 คือหนังเรื่องนี้จริงๆ แล้วทำตามกฎหลักของเราที่ว่า “ตัวละครแต่ละตัวมีชีวิตมาก่อนที่หนังจะเริ่มต้นขึ้น”

 

ซึ่งตัวละครหลักทั้งสองตัวในหนังเรื่องนี้ ดูแล้วก็เชื่อได้อย่างเต็มที่ว่า “มีชีวิตมาก่อนที่หนังจะเริ่มต้นขึ้น” จริง ๆ แต่เราแอบรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ปิดบังข้อมูลของตัวละครมากเกินไปหน่อยหรือเปล่า เราดูแล้วก็เลยงงๆ และอาจจะทำให้เราขาด “อารมณ์ร่วม” ไปกับตัวละครด้วย

 

แต่เราก็ไม่คิดว่าอันนี้เป็น “ข้อเสีย” ของหนังนะ เพราะเราก็ยังคงชอบหนังเรื่องนี้มากในระดับ A+30 อยู่ดี เพียงแต่เราก็ยอมรับว่า เราดูแล้วก็แอบสงสัยในส่วนของเนื้อหาบางส่วนของหนังน่ะ อย่างเช่น

 

5.1 ลุงกับหลานมีเรื่องขัดแย้งอะไรกันมาก่อนหน้านี้ เรื่องวิธีการทำขนมปัง หรือเรื่องทัศนคติทางการเมือง หรือเรื่องอะไร พวกเขาโกรธอะไรกันมาก่อนหน้านี้

 

คือเหมือนพอหนังไม่ได้บอกชัด ๆ เกี่ยวกับจุดนี้ เราดูแล้วก็เลยงง ๆ น่ะ และก็เลยกลายเป็นว่า เราอินกับ “การต่อสู้ของตัวละครเพื่อทำขนมปังให้เสร็จทันเวลา” มากกว่าที่จะอินกับ “การเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างลุงกับหลาน” เพราะเราดูแล้วก็ไม่รู้หรือไม่แน่ใจว่า ลุงกับหลานมีเรื่องขัดแย้งอะไรกัน

 

5.2 หลานบาดเจ็บเพราะอะไร แล้วหลาน “โด่งดัง” เพราะอะไร

 

คือถ้าหากไม่มีการใส่ฉากทางการเมืองเข้ามาใน closing credits เราก็คงจะจินตนาการไปแล้วว่า หลานเป็น “นักซิ่งมอเตอร์ไซค์ชื่อดัง” อะไรทำนองนี้ เขาเลยบาดเจ็บที่ขาในช่วงต้นเรื่อง 55555

 

5.3 การใส่ฉากทางการเมืองเข้ามาในช่วง closing  credits ก็เป็นอะไรที่ intriguing ดี คือเหมือนมันช่วยเพิ่มความหมายที่น่าสนใจให้กับหนัง แต่ดูแล้วเราก็ยังงง ๆ อยู่ดี เพราะเราก็ไม่รู้ว่า การที่ตัวละครลุง “เลือกทางนั้น” จนทำให้หลานโกรธ มันคืออะไร ลุงเลือกทำอะไร แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับการเมืองหรือเปล่า

 

คือจุดเหล่านี้เป็นจุดที่เรา “ไม่แน่ใจ” ว่าเราชอบหรือไม่ชอบในหนังเรื่องนี้นะ คือเราว่าการที่หนังเลือกที่จะ “ไม่บอกอะไรหลาย ๆ อย่าง” มันก็ไม่ใช่ข้อเสียอะไร เพราะมันก็ช่วยสร้างความค้างคาใจให้เราได้ดี และกระตุ้นความคิดของเราได้เป็นอย่างดี แต่บางทีมันก็ส่งผลให้เราไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร และไม่มีอารมณ์ร่วมกับหนังตามไปด้วยน่ะ

 

เหมือนหนังบางเรื่องเลือกใช้วิธีการคล้าย ๆ กันนี้ แล้วเราก็ยังคงชอบมากอยู่ดีนะ อย่างเช่น PERFECT DAYS (2023, Wim Wenders) ที่หนังไม่บอกอดีตของตัวละครพระเอก และ THOSE WHO LOVE ME CAN TAKE THE TRAIN (1998, Patrice Chéreau, France) ที่ตัวละครบางตัวในหนังตบตีกันอย่างรุนแรงสุดขีดมาก ๆ เพราะพวกเขาเคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อนที่หนังจะเริ่มต้นขึ้น และหนังก็ไม่บอกและไม่เล่าด้วยว่า พวกเขาเคยมีเรื่องขัดแย้งอะไรกันมาก่อน 5555 แต่คือหนังทั้งสองเรื่องนี้เป็นหนังที่ยาวกว่า 2 ชั่วโมงน่ะ เพราะฉะนั้นถึงแม้เราจะกังขาและสงสัยกับอดีตของตัวละครบางตัวในหนังสองเรื่องนี้ หนังสองเรื่องนี้มันก็มีเนื้อหาในส่วนอื่น ๆ ที่เปิดให้เรามีอารมณ์ร่วมหรือสนุกกับมันไปด้วยมาก ๆ ได้ เพราะฉะนั้น “อดีตของตัวละครที่หนังไม่ยอมเล่า” ก็เลยเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญไปโดยปริยาย แต่ในส่วนของ BACTERIA นั้น พอหนังมันสั้นมาก และความขัดแย้งระหว่างลุงกับหลาน (ที่หนังไม่ยอมเล่า) มันเหมือนมีความสำคัญต่อหนัง เราก็เลยสงสัยว่า เอ๊ะ จริง ๆ แล้วการเลือกใช้วิธีการแบบนี้มันดีหรือเปล่านะ

 

แต่เราก็แอบเดาว่า หนังเรื่องนี้อาจจะต้องการเน้นการส่ง message เรื่องการปรับตัวเข้าหากันระหว่างคนสองรุ่นก็ได้นะ เพราะฉะนั้นรายละเอียดเรื่องความขัดแย้งก็เลยอาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะสิ่งที่สำคัญคือการปรับตัวหรือเรียนรู้ซึ่งกันและกัน คือถ้าหากหนังเล่ารายละเอียดตรงจุดนี้มากเกินไป มันก็เสี่ยงได้เหมือนกันที่คนดูแต่ละคนจะ take side ว่าจะเข้าข้างลุงหรือหลาน แล้ว message ตรงนี้ก็อาจจะถูกลดทอนความสำคัญลง แต่พอหนังเลือกที่จะสร้างความคลุมเครือตรงจุดนี้ message ตรงนี้ก็อาจจะชัดขึ้น

 

สรุปได้ว่า เราเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า การที่หนังเรื่องนี้ไม่ยอมเล่าอะไรหลาย ๆ อย่าง เป็นวิธีการที่ดีแล้วหรือไม่ คือตอนนี้เราก็ชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ น่ะแหละ และดูแล้วมันก็ “ค้างคาใจ” ดีกับสิ่งที่หนังไม่ยอมเล่า แต่เราก็ยอมรับว่า เราก็อาจจะไม่ได้ “รู้สึกมีอารมณ์ร่วม” ไปกับตัวละครด้วยเช่นกัน เพราะเราไม่รู้ว่า พวกเขาโกรธอะไรกัน

++++

LOTTE IN WEIMAR (1975, Egon Günther, East Germany, 119min) เปิดฉายให้ดูฟรีออนไลน์ หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกจากเยอรมันตะวันออกที่ได้เข้าชิงรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ โดยตัวหนังดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของ Thomas Mann (DEATH IN VENICE)

+++++++

 

สรุปหนังที่ได้ดูในวันที่ 1 – 2 JUNE 2025

 

SUNDAY 1 JUNE

 

1. THE 4 RASCALS (2025, Tran Thanh, Vietnam, 132min, A+30)

 

ดูที่ MAJOR RATCHAYOTHIN รอบ 11.30 น.

 

ดีใจที่มีคนนำหนังเวียดนามมาลงโรงฉายในไทยเป็นระยะ ๆ Tran Quoc Anh พระเอกหนังเรื่องนี้หล่อมาก ฉันตกหลุมรักเขาอย่างรุนแรง ชอบประเด็นนึงในหนังเรื่องนี้ด้วย นั่นก็คือหนังเรื่องนี้เหมือนจะเกลียด “สาวสวยไร้สมอง ที่ใช้ประโยชน์จากความสวยของตัวเองไปวัน ๆ” เพราะฉะนั้นตัวละครนางเอกของหนังเรื่องนี้ ที่ “ทำตัวสวยไปวัน ๆ” ก็เลยต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม

 

2. THE RITUAL (2025, David Midell, horror, 98min, A+30)

 

ดูที่ MAJOR RATCHAYOTHIN รอบ 14.20 น.

 

เกลียดความกล้องสั่นตลอดเวลาในหนังเรื่องนี้ แต่ชอบ “ความจริงจัง” บางอย่างในหนังเรื่องนี้ ดูแล้วนึกถึง THE EXORCIST: BELIEVER (2023, David Gordon Green, A+30) ในแง่ที่ว่า พิธีกรรมไล่ผีในหนังทั้งสองเรื่องนี้ เหมือนไม่ได้ “ดำรงอยู่เพื่อสร้างความสนุกตื่นเต้นระทึกขวัญ” ให้แก่ผู้ชม แต่เหมือนมันดำรงอยู่ด้วยเหตุผลอื่น ๆ

 

3. PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE (2025, Chartchai Ketnust, A+30)

 

ดูที่ MAJOR RATCHAYOTHIN รอบ 16.50 น.

 

กลายเป็นหนังที่เราชอบมากที่สุดของคุณ Chartchai ไปเลย ชอบมากกว่า FROM BANGKOK TO MANDALAY (2016), THE MOTHER (2019) และ MAN SUANG (2023) ชอบการทำหนังย้อนยุคแบบค่อนข้าง minimal แบบนี้ (ถ้าหากเทียบกับหนังของท่านมุ้ยหรือหนัง epic ของต่างประเทศ), ชอบที่หนังเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน, ชอบความเป็นหนังทดลองที่พร่าเลือนเส้นแบ่งระหว่างละครเวที, ชีวิตนอกโรงละคร, อดีต และปัจจุบันเข้าด้วยกัน, ชอบความแสดงตัวตลอดเวลาว่า สิ่งที่เห็นเป็นเพียงการแสดง เป็นเพียงจินตนาการจากคนยุคต่าง ๆ ที่มองย้อนเข้าไปในอดีต และเป็นเรื่องที่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจริงในอดีต และชอบทัศนคติของหนัง

 

ในแง่นึงดูแล้วแอบนึกถึง MEGALOPOLIS (2024, Francis Ford Coppola) ในแง่ที่ว่า เวลาเราดูหนังสองเรื่องนี้ เราจะรู้ตัวตลอดเวลาว่าเรากำลังดูหนังอยู่ เหมือนหนังมันไม่ได้พยายาม “ทำให้สมจริง” แต่พยายาม “ทำให้มันไม่สมจริง” และเราชอบอะไรแบบนี้อย่างสุดขีด

 

4. KRAKEN (2025, Nikolay Lebedev, Russia, 134min, A+30)

 

ดูที่ MAJOR RATCHAYOTHIN รอบ 20.00 น.

 

ในที่สุดก็เจอหนัง mainstream ของรัสเซียที่เราชอบในระดับทัดเทียมกับหนัง mainstream ของฮอลลีวู้ด, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, อินเดีย, จีน 55555 คือเหมือนหนังอาร์ตของรัสเซียนี่มันยอดเยี่ยมกระเทียมดองอยู่แล้ว แต่หนัง mainstream ของรัสเซียนี่เท่าที่เราดูมา เหมือนยังสู้ของฮอลลีวู้ดกับเกาหลีใต้ไม่ได้ จนกระทั่งมาเจอเรื่องนี้ที่มันเข้าทางเรามาก ๆ

 

ชอบ “ความไม่เร่งร้อน” ของหนังเรื่องนี้ด้วย ดูแล้วนึกถึง THE ABYSS (1989, James Cameron), THE HUNT FOR RED OCTOBER (1990, John McTiernan), CRIMSON TIDE (1995, Tony Scott) อะไรพวกนี้ด้วย รู้สึกว่าหนังมันดูสนุกโดยที่ไม่ต้องกระตุ้นคนดูให้รู้สึกหีแทบแตกตลอดเวลา ซึ่งจะแตกต่างจากหนังยุคนี้อย่าง MISSION: IMPOSSIBLE – THE FINAL RECKONING (2025, Christopher McQuarrie, 169min, A+30) และ MEG 2: THE TRENCH (2023, Ben Wheatley) ที่พยายามกระตุ้นคนดูตลอดเวลา

 

 

หนังที่ได้ดูในวันที่ 2 JUNE

 

1. NINTAMA RANTARO: INVINCIBLE MASTER OF THE DOKUTAKE NINJA (2025, Masaya Fujimori, Japan, animation, A+25)


ดูที่ PARAGON รอบ 14.00

 

2. ABOUT FAMILY (2024, Yang Woo-seok, South Korea, A+30)

 

ดูที่ PARAGON รอบ 16.30

 

ชอบการโยงไปถึงสงครามเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ในทศวรรษ 1950

 

สรุปว่า ในบรรดา 6 เรื่องนี้ เราเรียงตามลำดับความชอบได้ดังนี้

 

1. PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE (2025, Chartchai Ketnust, A+30)

 

2. KRAKEN (2025, Nikolay Lebedev, Russia, 134min, A+30)

 

3. ABOUT FAMILY (2024, Yang Woo-seok, South Korea, A+30)

 

4. THE 4 RASCALS (2025, Tran Thanh, Vietnam, 132min, A+30)

 

5. THE RITUAL (2025, David Midell, horror, 98min, A+30)

 

6. NINTAMA RANTARO: INVINCIBLE MASTER OF THE DOKUTAKE NINJA (2025, Masaya Fujimori, Japan, animation, A+25)

 

พอดู PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE (2025, Chartchai Ketnust, A+30) ที่เราชอบสุดขีดแล้วเราก็เลยจินตนาการเล่น ๆ ว่า ถ้าหากเราต้องฉายหนังเรื่องนี้ควบกับหนังเรื่องอื่น ๆ เราก็คงจะเลือกหนังต่อไปนี้มาฉายควบด้วย

 

1.THE ASHES AND GHOSTS OF TAYUG 1931 (2017, Christopher Gozum, Philippines, A+25)

 

เพราะหนังฟิลิปปินส์เรื่องนี้กับ PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE ต่างก็เล่าเรื่องของ “วิธีการที่ศิลปินยุคปัจจุบันพยายามจะถ่ายทอดเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์” เหมือนกัน แทนที่จะเล่าถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา

 

2. EDWARD II (1991, Derek Jarman, UK)

 

เพราะมันเป็นหนังย้อนยุคประวัติศาสตร์ที่ minimal มาก ๆ, เน้นความไม่สมจริง และมีฉากร้องเพลงเหมือนกัน

 

3. THE FALSE SERVANT (2000, Benoît Jacquot, France)

 

เพราะมันเป็นหนังที่เลือนเส้นแบ่งระหว่างละครเวทีกับนอกละครเวทีเหมือนกัน

 

4. LANCELOT OF THE LAKE (1974, Robert Bresson, France)

 

เพราะมันเป็นหนังย้อนยุคที่ดู minimal เหมือนกัน

 

5. LUDWIG – REQUIEM FOR A VIRGIN KING (1972, Hans-Jürgen Syberberg, West Germany)

 

เพราะมันเป็นหนังย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์ที่เน้นความไม่สมจริง และเน้นความกึ่งละครเวทีเหมือนกัน

 

6. MOHENJO DARO (2016, Ashutosh Gowariker, India)

 

นี่คือหนังที่เป็นขั้วตรงข้ามกับ PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE เพราะมันเป็นหนังที่เลือกวิธีทางการเล่าเรื่องที่ตรงกันข้ามกับ PHRA RUANG เพราะหนังอินเดียเรื่องนี้เลือกที่จะ “เล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา” ตามขนบหนังพีเรียดอิงประวัติศาสตร์โดยทั่วไป โดยไม่ได้พูดถึง “วิธีการที่คนในยุคปัจจุบันพยายามจะ deal กับประวัติศาสตร์ หรือพยายามจะ represent ประวัติศาสตร์” และหนังอินเดียเรื่องนี้ก็มีความ maximalist ตามขนบหนังบอลลีวู้ด เน้นความเริ่ด ฉูดฉาดบาดตา สนุกสนาน เร้าอารมณ์ ในขณะที่ PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE ดู minimal กว่ามาก ๆ

 

อย่างไรก็ดี เราคิดว่าถึงแม้ form และวิธีการของ “หนังอิงประวัติศาสตร์” สองเรื่องนี้จะแตกต่างจากกันอย่างสิ้นเชิง หนังสองเรื่องนี้ก็ฉายควบกันได้ เพราะว่า MOHENJO DARO พูดถึง “ต้นตระกูลของคนในอินเดีย” เมื่อ 4000 กว่าปีก่อน ในขณะที่ PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE พูดถึงต้นราชวงศ์ในอาณาจักรสุโขทัย และหนังทั้งสองเรื่องนี้พูดถึง “ปัญหาเรื่องเขื่อน” ในอดีตเหมือน ๆ กัน

 

เราก็เลยคิดว่า ถ้าหาก PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE เลือกใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบธรรมดา แทนที่จะทำออกมาคล้ายหนังทดลองแบบที่เป็นอยู่นี้ หนังเรื่องนั้นก็อาจจะออกมาแบบ MOHENJO DARO นี่แหละ

 

7. MOSES AND AARON (1975, Danièle Huillet, Jean-Marie Straub, West Germany)

 

เพราะมันเป็นหนังเพลงย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์เหมือนกัน และจงใจให้คนดูรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้กำลังดูเหตุการณ์ในอดีต แต่กำลังดู “ความพยายามของคนยุคปัจจุบันในการสร้างฉาก fiction ของเหตุการณ์ในอดีต”

 

8. SECRET LOVE IN PEACH BLOSSOM LAND (1992, Stan Lai, Taiwan)

 

เพราะมันเป็นหนังที่เลือนเส้นแบ่งระหว่างละครเวทีกับนอกละครเวทีเหมือนกัน

 

9. SHAKESPEARE MUST DIE (2012, Ing K., 172 min)

 

เพราะมันเป็นหนังที่พร่าเลือนเส้นแบ่งระหว่างละครเวทีกับนอกละครเวทีเหมือนกัน

 

10. 3RD WORLD HERO (2000, Mike De Leon, Philippines, A+30)

 

เพราะหนังทั้งสองเรื่องนี้ตั้งคำถามต่อ “ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวีรบุรุษของชาติ” เหมือนกัน

 

ส่วนอันนี้เป็นความเห็นเพิ่มเติมของเราเกี่ยวกับ PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE ที่เราเคยแปะไปแล้วก่อนหน้านี้:

 

กลายเป็นหนังที่เราชอบมากที่สุดของคุณ Chartchai ไปเลย ชอบมากกว่า FROM BANGKOK TO MANDALAY (2016), THE MOTHER (2019) และ MAN SUANG (2023) ชอบการทำหนังย้อนยุคแบบค่อนข้าง minimal แบบนี้ (ถ้าหากเทียบกับหนังของท่านมุ้ยหรือหนัง epic ของต่างประเทศ), ชอบที่หนังเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน, ชอบความเป็นหนังทดลองที่พร่าเลือนเส้นแบ่งระหว่างละครเวที, ชีวิตนอกโรงละคร, อดีต และปัจจุบันเข้าด้วยกัน, ชอบความแสดงตัวตลอดเวลาว่า สิ่งที่เห็นเป็นเพียงการแสดง เป็นเพียงจินตนาการจากคนยุคต่าง ๆ ที่มองย้อนเข้าไปในอดีต และเป็นเรื่องที่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจริงในอดีต และชอบทัศนคติของหนัง

 

ในแง่นึงดูแล้วแอบนึกถึง MEGALOPOLIS (2024, Francis Ford Coppola) ในแง่ที่ว่า เวลาเราดูหนังสองเรื่องนี้ เราจะรู้ตัวตลอดเวลาว่าเรากำลังดูหนังอยู่ เหมือนหนังมันไม่ได้พยายาม “ทำให้สมจริง” แต่พยายาม “ทำให้มันไม่สมจริง” และเราชอบอะไรแบบนี้อย่างสุดขีด

 

Sunday, June 01, 2025

ICT 2025 DAY 3 AND 4


ในวันศุกร์ที่ 30 พ.ค. 2025 เราได้ดูหนังของ ICT SILPAKORN ไป 13 เรื่อง ซึ่งจริง ๆ หนังที่ฉายมี 14 เรื่อง แต่มีเรื่องนึงที่เราเผลอหลับไประหว่างดู ก็เลยได้ดูแค่ 13 เรื่อง 55555

 

ในบรรดา 13 เรื่องที่ได้ดู มีอยู่ 7 เรื่องที่เราชอบสุดขีด (หรือชอบในระดับ A+30) ซึ่งเรียงตามลำดับความชอบได้ดังนี้

 

1.SUNGTOM สังข์ทอม...ลูกแม่ (2025, แพรวา ซำปฏิ, A+30)

 

กราบมาก ดูแล้วนึกถึงหนังแบบ ARABIAN NIGHTS (1974, Pier Paolo Pasolini, Italy)

 

2.SPIRITS OF THE SACRED (2025, พรลภัส สัณฑมาศ, A+30)

 

เป็นหนังเรื่องที่สองของ ICT ในปีนี้ที่พูดถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ต.ค. 2519 หลังจากที่ ANAM (2025, ธนกร ปัญจปภาวิน) ก็พูดถึงเหตุการณ์เดียวกัน และหนังทั้งสองเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้น่าประทับใจอย่างสุดขีดทั้งสองเรื่อง

 

3.THE RAW PANORAMA ผืนผ้าแห่งความฝัน (2025, พีรดา จุลวรรณโณ, A+30)

 

ประทับใจมาก ๆ ในการสร้างหนังจากบทกวีของ Sylvia Plath

 

4.THE DOOR (2025, พิชญาพัชร์ มั่นสวัสดิ์, A+30)

 

หลอนแบบไม่มีคำอธิบาย

 

5.LINGERING MEMORIES ระหว่างทาง กลับบ้าน (2025, นฤพล ศรีเมือง, A+30)

 

ดีงามมาก ๆ ในความเป็นหนังสยองขวัญ แต่พอทุกอย่างในหนังดูเหมือนมีคำอธิบายที่น่าพึงพอใจ เราก็เลยแอบชอบ THE DOOR มากกว่าหน่อยนึง 55555

 

6.สายลมไม่ผันแปร (2025, พรพิมล ปทุม, A+30)

 

นี่มันหนังที่ตั้งใจทำส่ง CCCL FILM FESTIVAL หรือเปล่า 55555

 

7. CUMMING SOON (2025, สุกฤษฎิ์ ลอยเลิศฤทธิ์, A+30)

 

เหมือนเราเคยได้ยินว่ามีเพื่อน ๆ ใน facebook บางคนโดน blackmail แบบนี้ เราก็เลยชอบที่มีการหยิบยก “ภัยในชีวิตจริง” ที่ใกล้ตัวแบบนี้ขึ้นมาสร้างเป็นหนัง

 

ในที่สุดร่างกายของเราก็เริ่มล้า ในวันเสาร์ที่ 31 พ.ค. 2025 เราก็เลยได้ดูหนังของ ICT SILPAKORN ไปแค่ 12 เรื่อง จากที่ฉายไป 14 เรื่อง โดยเราไม่ได้ดู 2 เรื่องสุดท้าย เพราะร่างกายของเราเริ่มไม่ไหวแล้ว 55555

 

ในบรรดา 12 เรื่องที่ได้ดู มีหนังที่เราชอบสุด ๆ (หรือชอบในระดับ A+30) อยู่ 8 เรื่อง เรียงตามลำดับความชอบได้ดังนี้

 

 

1. FROG’S INTERLUDE (2025, ธีมาพร คุ้มกระโทก, A+30)

 

2. HAPPY NEW YEAR  แฮปเปียนิวยี่ (2025, ธนวรรณ สุขสมวุฒิ, A+30)

 

3. THE BLUE SUNSHINE LOVE รัก...ฉันเหงาในเมืองใหญ่ (2025, ภาคิณ ดำศรี, queer film, A+30)

 

4.MISSING DOG บ็อก บ็อก โบ้ (2025, กัญญารัตน์ เจียมวิจิตร, A+30)

 

5.WELFARE อันตรธาน (2025, ณัฐวรรณ จุ้ยกล่อม, A+30)

 

6.FOREMOST ช้าลงกว่านี้ (2025, ภูบดี สรสิริ, queer film, A+30)

 

7.OH! MY SUNSHINE (2025, ธนภรณ์ อภัยดุสิต, A+30)

 

8.HERESY (2025, ภรัณยู แสนภูมี, A+30)