เห็นใน Facebook มีระบบ subscription
ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ยังไม่เคยจ่ายเงิน subscribe ให้เพจไหนเลย แต่มาวันนี้เราก็เลยตัดสินใจจ่ายเงิน subscribe ให้เพจ “ทหารสายกล้าม” เป็นเพจแรก เราก็เลยอยากรู้ว่า เพื่อน ๆ
มีการจ่ายเงิน subscribe ให้ใครใน Facebook กันบ้างคะ มีอะไรน่า subscribe กันอีกบ้าง
+++
BACTERIA (2024, Bundit Thianrat, 18min, A+30)
1. จริง ๆ แล้วสิ่งที่เราชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้คือ
“process การทำขนมปัง sour dough” (ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด)
เพราะเหมือนเราไม่เคยเห็นสิ่งนี้ในหนังเรื่องอื่น ๆ มาก่อน
เราก็เลยชอบจุดนี้มากที่สุดในหนัง และเราก็เลยแอบเสียดายที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้อธิบาย
process การทำขนมปัง sour dough อย่างละเอียดกว่านี้
55555 ส่วนเนื้อหาของหนังที่เป็นเรื่องของ “ความขัดแย้งและการประนีประนอมกันระหว่างคนสองรุ่น”
นั้น เราว่ามันก็ดี แต่เราว่ามันดูลอย ๆ ไปหน่อยสำหรับเรา เหมือนหนังมันอมพะนำมากเกินไปหน่อยในจุดนี้
ส่วนเรื่องประเด็นการเมืองในหนังนั้น เราดูแล้วก็ยอมรับว่า เราอาจจะไม่เข้าใจหนังเรื่องนี้ในจุดนี้
เพราะว่าถ้าหากไม่มีการใส่ฉากในช่วง closing credits เข้ามา
เราก็คงไม่คิดว่าหนังเรื่องนี้มีประเด็นการเมืองแอบแฝงอยู่ด้วย 55555
2. นอกจากส่วนที่เป็น process การทำขนมปังแล้ว เราก็ชอบ “ความประณีต” ในหนังเรื่องนี้นะ เหมือนหนังมันมีความประณีตในการคิดฉากแต่ละฉากและในการเรียงร้อยมันออกมาน่ะ
ตัวอย่างของฉากที่ชอบมากก็อย่างเช่นในช่วงนาทีที่ 5 ที่ timer ดังขึ้นมา แล้วตัวละครลุง (ปาโมช แสงศร) เหมือนมีอาการโรคหัวใจ
(ไม่รู้ว่าเราเข้าใจถูกหรือเปล่า) เหมือนหนังเรื่องนี้ใช้บางช็อตที่เล่าเหตุการณ์ได้ทั้งในส่วนของโฟร์กราวด์และแบคกราวด์ได้ในฉากเดียวกันน่ะ
คือในตอนแรกเราจะเห็นลุงกำลังเตรียมขนมปังในแบคกราวด์ และเห็น space ของพื้นที่บริเวณนั้น ซึ่งดูค่อนข้างแคบ
ก่อนที่ภาพจะเปลี่ยนมาโฟกัสที่โฟร์กราวด์เมื่อ timer ดังขึ้น
แล้วเราก็เห็นตัวละครหลาน (อวัช รัตนะปิณฑะ) ทำหน้าตาคับข้องใจอยู่ที่โฟร์กราวด์ของฉาก
โดยที่มีลุงทำอาการปวดหัวใจอยู่ในแบคกราวด์ของฉาก
3.
ชอบความคล้องจองกันระหว่างฉากเปิดกับฉากปิดของหนังด้วย เหมือนเป็นการส่งผ่านอะไรบางอย่างจากตัวละครหนึ่งไปสู่ตัวละครหนึ่ง
และจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งได้อย่างงดงาม
4.อีกสิ่งที่ชอบสุดขีดในหนัง
คือการที่หนังเหมือนรีดเค้นพลังทางการแสดงของปาโมชกับอวัชออกมาอย่างเต็มที่
โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่นาทีที่ 11 เป็นต้นไป คือเหมือนหนังเรื่องนี้ใช้ดาราดังมาแสดง
(เมื่อเทียบกับหนังสั้นไทยโดยทั่วไป) และก็เป็นการใช้อย่างคุ้มค่ามาก ๆ ไม่เสียของ
นักแสดงทั้งสองเล่นได้ดีสุดขีดมาก ๆ
5. หลังจากที่เราเขียนถึงจุดที่เราชอบสุดขีดในหนังเรื่องนี้ไปแล้ว
ต่อไปนี้เราก็จะเขียนถึงจุดที่เรา “ไม่แน่ใจ” ว่าเราชอบหรือไม่ชอบในหนังเรื่องนี้นะ
555 คือหนังเรื่องนี้จริงๆ แล้วทำตามกฎหลักของเราที่ว่า “ตัวละครแต่ละตัวมีชีวิตมาก่อนที่หนังจะเริ่มต้นขึ้น”
ซึ่งตัวละครหลักทั้งสองตัวในหนังเรื่องนี้
ดูแล้วก็เชื่อได้อย่างเต็มที่ว่า “มีชีวิตมาก่อนที่หนังจะเริ่มต้นขึ้น” จริง ๆ
แต่เราแอบรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ปิดบังข้อมูลของตัวละครมากเกินไปหน่อยหรือเปล่า
เราดูแล้วก็เลยงงๆ และอาจจะทำให้เราขาด “อารมณ์ร่วม” ไปกับตัวละครด้วย
แต่เราก็ไม่คิดว่าอันนี้เป็น “ข้อเสีย”
ของหนังนะ เพราะเราก็ยังคงชอบหนังเรื่องนี้มากในระดับ A+30 อยู่ดี
เพียงแต่เราก็ยอมรับว่า เราดูแล้วก็แอบสงสัยในส่วนของเนื้อหาบางส่วนของหนังน่ะ
อย่างเช่น
5.1 ลุงกับหลานมีเรื่องขัดแย้งอะไรกันมาก่อนหน้านี้
เรื่องวิธีการทำขนมปัง หรือเรื่องทัศนคติทางการเมือง หรือเรื่องอะไร พวกเขาโกรธอะไรกันมาก่อนหน้านี้
คือเหมือนพอหนังไม่ได้บอกชัด ๆ เกี่ยวกับจุดนี้
เราดูแล้วก็เลยงง ๆ น่ะ และก็เลยกลายเป็นว่า เราอินกับ “การต่อสู้ของตัวละครเพื่อทำขนมปังให้เสร็จทันเวลา”
มากกว่าที่จะอินกับ “การเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างลุงกับหลาน” เพราะเราดูแล้วก็ไม่รู้หรือไม่แน่ใจว่า
ลุงกับหลานมีเรื่องขัดแย้งอะไรกัน
5.2 หลานบาดเจ็บเพราะอะไร แล้วหลาน “โด่งดัง”
เพราะอะไร
คือถ้าหากไม่มีการใส่ฉากทางการเมืองเข้ามาใน closing
credits เราก็คงจะจินตนาการไปแล้วว่า หลานเป็น “นักซิ่งมอเตอร์ไซค์ชื่อดัง”
อะไรทำนองนี้ เขาเลยบาดเจ็บที่ขาในช่วงต้นเรื่อง 55555
5.3 การใส่ฉากทางการเมืองเข้ามาในช่วง closing
credits ก็เป็นอะไรที่ intriguing
ดี คือเหมือนมันช่วยเพิ่มความหมายที่น่าสนใจให้กับหนัง
แต่ดูแล้วเราก็ยังงง ๆ อยู่ดี เพราะเราก็ไม่รู้ว่า การที่ตัวละครลุง “เลือกทางนั้น”
จนทำให้หลานโกรธ มันคืออะไร ลุงเลือกทำอะไร แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับการเมืองหรือเปล่า
คือจุดเหล่านี้เป็นจุดที่เรา “ไม่แน่ใจ”
ว่าเราชอบหรือไม่ชอบในหนังเรื่องนี้นะ คือเราว่าการที่หนังเลือกที่จะ “ไม่บอกอะไรหลาย
ๆ อย่าง” มันก็ไม่ใช่ข้อเสียอะไร เพราะมันก็ช่วยสร้างความค้างคาใจให้เราได้ดี
และกระตุ้นความคิดของเราได้เป็นอย่างดี แต่บางทีมันก็ส่งผลให้เราไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร
และไม่มีอารมณ์ร่วมกับหนังตามไปด้วยน่ะ
เหมือนหนังบางเรื่องเลือกใช้วิธีการคล้าย ๆ
กันนี้ แล้วเราก็ยังคงชอบมากอยู่ดีนะ อย่างเช่น PERFECT DAYS (2023, Wim
Wenders) ที่หนังไม่บอกอดีตของตัวละครพระเอก และ THOSE WHO
LOVE ME CAN TAKE THE TRAIN (1998, Patrice Chéreau, France) ที่ตัวละครบางตัวในหนังตบตีกันอย่างรุนแรงสุดขีดมาก
ๆ เพราะพวกเขาเคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อนที่หนังจะเริ่มต้นขึ้น และหนังก็ไม่บอกและไม่เล่าด้วยว่า
พวกเขาเคยมีเรื่องขัดแย้งอะไรกันมาก่อน 5555 แต่คือหนังทั้งสองเรื่องนี้เป็นหนังที่ยาวกว่า
2 ชั่วโมงน่ะ เพราะฉะนั้นถึงแม้เราจะกังขาและสงสัยกับอดีตของตัวละครบางตัวในหนังสองเรื่องนี้
หนังสองเรื่องนี้มันก็มีเนื้อหาในส่วนอื่น ๆ ที่เปิดให้เรามีอารมณ์ร่วมหรือสนุกกับมันไปด้วยมาก
ๆ ได้ เพราะฉะนั้น “อดีตของตัวละครที่หนังไม่ยอมเล่า” ก็เลยเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญไปโดยปริยาย
แต่ในส่วนของ BACTERIA นั้น พอหนังมันสั้นมาก และความขัดแย้งระหว่างลุงกับหลาน
(ที่หนังไม่ยอมเล่า) มันเหมือนมีความสำคัญต่อหนัง เราก็เลยสงสัยว่า เอ๊ะ จริง ๆ
แล้วการเลือกใช้วิธีการแบบนี้มันดีหรือเปล่านะ
แต่เราก็แอบเดาว่า หนังเรื่องนี้อาจจะต้องการเน้นการส่ง
message เรื่องการปรับตัวเข้าหากันระหว่างคนสองรุ่นก็ได้นะ
เพราะฉะนั้นรายละเอียดเรื่องความขัดแย้งก็เลยอาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญ
เพราะสิ่งที่สำคัญคือการปรับตัวหรือเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
คือถ้าหากหนังเล่ารายละเอียดตรงจุดนี้มากเกินไป มันก็เสี่ยงได้เหมือนกันที่คนดูแต่ละคนจะ
take side ว่าจะเข้าข้างลุงหรือหลาน แล้ว message ตรงนี้ก็อาจจะถูกลดทอนความสำคัญลง แต่พอหนังเลือกที่จะสร้างความคลุมเครือตรงจุดนี้
message ตรงนี้ก็อาจจะชัดขึ้น
สรุปได้ว่า เราเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า การที่หนังเรื่องนี้ไม่ยอมเล่าอะไรหลาย
ๆ อย่าง เป็นวิธีการที่ดีแล้วหรือไม่ คือตอนนี้เราก็ชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ น่ะแหละ
และดูแล้วมันก็ “ค้างคาใจ” ดีกับสิ่งที่หนังไม่ยอมเล่า แต่เราก็ยอมรับว่า เราก็อาจจะไม่ได้
“รู้สึกมีอารมณ์ร่วม” ไปกับตัวละครด้วยเช่นกัน เพราะเราไม่รู้ว่า พวกเขาโกรธอะไรกัน
++++
LOTTE IN WEIMAR (1975, Egon Günther, East Germany, 119min) เปิดฉายให้ดูฟรีออนไลน์
หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกจากเยอรมันตะวันออกที่ได้เข้าชิงรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์
โดยตัวหนังดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของ Thomas Mann (DEATH IN VENICE)
+++++++
สรุปหนังที่ได้ดูในวันที่ 1 – 2 JUNE
2025
SUNDAY 1 JUNE
1. THE 4 RASCALS (2025, Tran Thanh, Vietnam, 132min, A+30)
ดูที่ MAJOR RATCHAYOTHIN รอบ
11.30 น.
ดีใจที่มีคนนำหนังเวียดนามมาลงโรงฉายในไทยเป็นระยะ
ๆ Tran Quoc Anh พระเอกหนังเรื่องนี้หล่อมาก ฉันตกหลุมรักเขาอย่างรุนแรง
ชอบประเด็นนึงในหนังเรื่องนี้ด้วย นั่นก็คือหนังเรื่องนี้เหมือนจะเกลียด “สาวสวยไร้สมอง
ที่ใช้ประโยชน์จากความสวยของตัวเองไปวัน ๆ” เพราะฉะนั้นตัวละครนางเอกของหนังเรื่องนี้
ที่ “ทำตัวสวยไปวัน ๆ” ก็เลยต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม
2. THE RITUAL (2025, David Midell, horror,
98min, A+30)
ดูที่ MAJOR RATCHAYOTHIN รอบ
14.20 น.
เกลียดความกล้องสั่นตลอดเวลาในหนังเรื่องนี้ แต่ชอบ
“ความจริงจัง” บางอย่างในหนังเรื่องนี้ ดูแล้วนึกถึง THE EXORCIST:
BELIEVER (2023, David Gordon Green, A+30) ในแง่ที่ว่า
พิธีกรรมไล่ผีในหนังทั้งสองเรื่องนี้ เหมือนไม่ได้ “ดำรงอยู่เพื่อสร้างความสนุกตื่นเต้นระทึกขวัญ”
ให้แก่ผู้ชม แต่เหมือนมันดำรงอยู่ด้วยเหตุผลอื่น ๆ
3. PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE
(2025, Chartchai Ketnust, A+30)
ดูที่ MAJOR RATCHAYOTHIN รอบ
16.50 น.
กลายเป็นหนังที่เราชอบมากที่สุดของคุณ Chartchai
ไปเลย ชอบมากกว่า FROM BANGKOK TO MANDALAY (2016), THE
MOTHER (2019) และ MAN SUANG (2023) ชอบการทำหนังย้อนยุคแบบค่อนข้าง
minimal แบบนี้ (ถ้าหากเทียบกับหนังของท่านมุ้ยหรือหนัง epic ของต่างประเทศ), ชอบที่หนังเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน,
ชอบความเป็นหนังทดลองที่พร่าเลือนเส้นแบ่งระหว่างละครเวที, ชีวิตนอกโรงละคร, อดีต
และปัจจุบันเข้าด้วยกัน, ชอบความแสดงตัวตลอดเวลาว่า สิ่งที่เห็นเป็นเพียงการแสดง
เป็นเพียงจินตนาการจากคนยุคต่าง ๆ ที่มองย้อนเข้าไปในอดีต และเป็นเรื่องที่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจริงในอดีต
และชอบทัศนคติของหนัง
ในแง่นึงดูแล้วแอบนึกถึง MEGALOPOLIS
(2024, Francis Ford Coppola) ในแง่ที่ว่า เวลาเราดูหนังสองเรื่องนี้
เราจะรู้ตัวตลอดเวลาว่าเรากำลังดูหนังอยู่ เหมือนหนังมันไม่ได้พยายาม “ทำให้สมจริง”
แต่พยายาม “ทำให้มันไม่สมจริง” และเราชอบอะไรแบบนี้อย่างสุดขีด
4. KRAKEN (2025, Nikolay Lebedev, Russia,
134min, A+30)
ดูที่ MAJOR RATCHAYOTHIN รอบ
20.00 น.
ในที่สุดก็เจอหนัง mainstream ของรัสเซียที่เราชอบในระดับทัดเทียมกับหนัง mainstream ของฮอลลีวู้ด, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, อินเดีย, จีน 55555 คือเหมือนหนังอาร์ตของรัสเซียนี่มันยอดเยี่ยมกระเทียมดองอยู่แล้ว
แต่หนัง mainstream ของรัสเซียนี่เท่าที่เราดูมา เหมือนยังสู้ของฮอลลีวู้ดกับเกาหลีใต้ไม่ได้
จนกระทั่งมาเจอเรื่องนี้ที่มันเข้าทางเรามาก ๆ
ชอบ “ความไม่เร่งร้อน” ของหนังเรื่องนี้ด้วย
ดูแล้วนึกถึง THE ABYSS (1989, James Cameron), THE HUNT FOR RED OCTOBER
(1990, John McTiernan), CRIMSON TIDE (1995, Tony Scott) อะไรพวกนี้ด้วย
รู้สึกว่าหนังมันดูสนุกโดยที่ไม่ต้องกระตุ้นคนดูให้รู้สึกหีแทบแตกตลอดเวลา
ซึ่งจะแตกต่างจากหนังยุคนี้อย่าง MISSION: IMPOSSIBLE – THE FINAL
RECKONING (2025, Christopher McQuarrie, 169min, A+30) และ MEG
2: THE TRENCH (2023, Ben Wheatley) ที่พยายามกระตุ้นคนดูตลอดเวลา
หนังที่ได้ดูในวันที่ 2 JUNE
1. NINTAMA RANTARO: INVINCIBLE MASTER
OF THE DOKUTAKE NINJA (2025, Masaya Fujimori, Japan, animation, A+25)
ดูที่ PARAGON รอบ 14.00
2. ABOUT FAMILY (2024, Yang Woo-seok,
South Korea, A+30)
ดูที่ PARAGON รอบ 16.30
ชอบการโยงไปถึงสงครามเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ในทศวรรษ
1950
สรุปว่า ในบรรดา 6 เรื่องนี้ เราเรียงตามลำดับความชอบได้ดังนี้
1. PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE
(2025, Chartchai Ketnust, A+30)
2. KRAKEN (2025, Nikolay Lebedev, Russia,
134min, A+30)
3. ABOUT FAMILY (2024, Yang Woo-seok,
South Korea, A+30)
4. THE 4 RASCALS (2025, Tran Thanh,
Vietnam, 132min, A+30)
5. THE RITUAL (2025, David Midell, horror,
98min, A+30)
6. NINTAMA RANTARO: INVINCIBLE MASTER OF THE DOKUTAKE NINJA
(2025, Masaya Fujimori, Japan, animation, A+25)
พอดู PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE
(2025, Chartchai Ketnust, A+30) ที่เราชอบสุดขีดแล้วเราก็เลยจินตนาการเล่น
ๆ ว่า ถ้าหากเราต้องฉายหนังเรื่องนี้ควบกับหนังเรื่องอื่น ๆ เราก็คงจะเลือกหนังต่อไปนี้มาฉายควบด้วย
1.THE ASHES AND GHOSTS OF TAYUG 1931
(2017, Christopher Gozum, Philippines, A+25)
เพราะหนังฟิลิปปินส์เรื่องนี้กับ PHRA
RUANG: RISE OF THE EMPIRE ต่างก็เล่าเรื่องของ “วิธีการที่ศิลปินยุคปัจจุบันพยายามจะถ่ายทอดเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์”
เหมือนกัน แทนที่จะเล่าถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา
2. EDWARD II (1991, Derek Jarman, UK)
เพราะมันเป็นหนังย้อนยุคประวัติศาสตร์ที่
minimal มาก ๆ, เน้นความไม่สมจริง และมีฉากร้องเพลงเหมือนกัน
3. THE FALSE SERVANT (2000, Benoît
Jacquot, France)
เพราะมันเป็นหนังที่เลือนเส้นแบ่งระหว่างละครเวทีกับนอกละครเวทีเหมือนกัน
4. LANCELOT OF THE LAKE (1974, Robert
Bresson, France)
เพราะมันเป็นหนังย้อนยุคที่ดู minimal เหมือนกัน
5. LUDWIG – REQUIEM FOR A VIRGIN KING
(1972, Hans-Jürgen Syberberg, West Germany)
เพราะมันเป็นหนังย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์ที่เน้นความไม่สมจริง
และเน้นความกึ่งละครเวทีเหมือนกัน
6. MOHENJO DARO (2016, Ashutosh Gowariker,
India)
นี่คือหนังที่เป็นขั้วตรงข้ามกับ PHRA
RUANG: RISE OF THE EMPIRE เพราะมันเป็นหนังที่เลือกวิธีทางการเล่าเรื่องที่ตรงกันข้ามกับ
PHRA RUANG เพราะหนังอินเดียเรื่องนี้เลือกที่จะ “เล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา”
ตามขนบหนังพีเรียดอิงประวัติศาสตร์โดยทั่วไป โดยไม่ได้พูดถึง “วิธีการที่คนในยุคปัจจุบันพยายามจะ
deal กับประวัติศาสตร์ หรือพยายามจะ represent ประวัติศาสตร์” และหนังอินเดียเรื่องนี้ก็มีความ maximalist ตามขนบหนังบอลลีวู้ด เน้นความเริ่ด ฉูดฉาดบาดตา สนุกสนาน เร้าอารมณ์
ในขณะที่ PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE ดู minimal กว่ามาก ๆ
อย่างไรก็ดี เราคิดว่าถึงแม้ form และวิธีการของ “หนังอิงประวัติศาสตร์”
สองเรื่องนี้จะแตกต่างจากกันอย่างสิ้นเชิง หนังสองเรื่องนี้ก็ฉายควบกันได้ เพราะว่า
MOHENJO DARO พูดถึง “ต้นตระกูลของคนในอินเดีย” เมื่อ 4000
กว่าปีก่อน ในขณะที่ PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE
พูดถึงต้นราชวงศ์ในอาณาจักรสุโขทัย และหนังทั้งสองเรื่องนี้พูดถึง “ปัญหาเรื่องเขื่อน”
ในอดีตเหมือน ๆ กัน
เราก็เลยคิดว่า ถ้าหาก PHRA RUANG: RISE
OF THE EMPIRE เลือกใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบธรรมดา แทนที่จะทำออกมาคล้ายหนังทดลองแบบที่เป็นอยู่นี้
หนังเรื่องนั้นก็อาจจะออกมาแบบ MOHENJO DARO นี่แหละ
7. MOSES AND AARON (1975, Danièle
Huillet, Jean-Marie Straub, West Germany)
เพราะมันเป็นหนังเพลงย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์เหมือนกัน
และจงใจให้คนดูรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้กำลังดูเหตุการณ์ในอดีต แต่กำลังดู “ความพยายามของคนยุคปัจจุบันในการสร้างฉาก
fiction ของเหตุการณ์ในอดีต”
8. SECRET LOVE IN PEACH BLOSSOM LAND (1992,
Stan Lai, Taiwan)
เพราะมันเป็นหนังที่เลือนเส้นแบ่งระหว่างละครเวทีกับนอกละครเวทีเหมือนกัน
9. SHAKESPEARE MUST DIE (2012, Ing K.,
172 min)
เพราะมันเป็นหนังที่พร่าเลือนเส้นแบ่งระหว่างละครเวทีกับนอกละครเวทีเหมือนกัน
10. 3RD WORLD HERO (2000, Mike De Leon,
Philippines, A+30)
เพราะหนังทั้งสองเรื่องนี้ตั้งคำถามต่อ “ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวีรบุรุษของชาติ”
เหมือนกัน
ส่วนอันนี้เป็นความเห็นเพิ่มเติมของเราเกี่ยวกับ
PHRA RUANG: RISE OF THE EMPIRE ที่เราเคยแปะไปแล้วก่อนหน้านี้:
กลายเป็นหนังที่เราชอบมากที่สุดของคุณ Chartchai
ไปเลย ชอบมากกว่า FROM BANGKOK TO MANDALAY (2016), THE
MOTHER (2019) และ MAN SUANG (2023) ชอบการทำหนังย้อนยุคแบบค่อนข้าง
minimal แบบนี้ (ถ้าหากเทียบกับหนังของท่านมุ้ยหรือหนัง epic ของต่างประเทศ), ชอบที่หนังเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน,
ชอบความเป็นหนังทดลองที่พร่าเลือนเส้นแบ่งระหว่างละครเวที, ชีวิตนอกโรงละคร, อดีต
และปัจจุบันเข้าด้วยกัน, ชอบความแสดงตัวตลอดเวลาว่า สิ่งที่เห็นเป็นเพียงการแสดง
เป็นเพียงจินตนาการจากคนยุคต่าง ๆ ที่มองย้อนเข้าไปในอดีต และเป็นเรื่องที่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจริงในอดีต
และชอบทัศนคติของหนัง
ในแง่นึงดูแล้วแอบนึกถึง MEGALOPOLIS
(2024, Francis Ford Coppola) ในแง่ที่ว่า เวลาเราดูหนังสองเรื่องนี้
เราจะรู้ตัวตลอดเวลาว่าเรากำลังดูหนังอยู่ เหมือนหนังมันไม่ได้พยายาม “ทำให้สมจริง”
แต่พยายาม “ทำให้มันไม่สมจริง” และเราชอบอะไรแบบนี้อย่างสุดขีด