Wednesday, November 12, 2025

SENKOH (2025, Anwa Yako, 20min, A+30)

 

THE GREAT CONSPIRACY (1980, Pao Hsueh-li, Taiwan) นำแสดงโดย เหมียวเข่อซิ่ว ที่เคยโด่งดังจากบท ต๊กโกวหงส์ใน กระบี่ไร้เทียมทาน และบท "มารชมพู" ใน ยอดยุทธจักรมังกรฟ้า

+++

LOOK CLOSELY ENOUGH (2025, Warat Bureephakdee, A+30) ถือเป็นหนึ่งในหนังไทยที่เราชื่นชอบมากที่สุดที่ได้ดูในปีนี้ ประสาทแดกมาก ๆ 55555

+++

กรี๊ดดดดดด นึกถึงช่วงเวลาในปี 1988-1989 ที่เราต้องไปยืนดูมิวสิควิดีโอของ Debbie Gibson ที่ "ร้านแมงป่อง" กับ "ร้านลูกแมว" ในห้างมาบุญครอง อยากย้อนเวลากลับไปช่วงนั้นจริง ๆ

++++

ชอบภาพวาดของ Li Songsong อย่างสุดขีด เหมือนเป็นภาพที่ "เห็นด้วยตา" แต่ส่งความรู้สึกไปที่ "มือ" เรา คือเหมือนมือเราได้ลูบไล้พื้นผิวที่ขรุขระของภาพเหล่านั้นไปด้วย ขณะที่เรามองภาพเหล่านั้น (อันนี้เป็นความรู้สึกของตัวเราเองคนเดียวนะ คนอื่น ๆ อาจจะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับเรา)

++++

SENKOH (2025, Anwa Yako, 20min, A+30)

ตบสนั่น ฝันประกาย

 

1. เราชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุด ๆ เมื่อพิจารณาจาก “บริบทของหนังไทย” และ “บริบทของหนังสั้นไทย” แต่ถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็น “หนังญี่ปุ่น” เราจะรู้สึกเฉย ๆ กับหนังเรื่องนี้ในทันที 55555 คือถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็น “หนังญี่ปุ่น” ระดับความรู้สึกชอบของเราอาจจะลดลงมาเหลือเพียง A+15 หรือ A+ อะไรทำนองนี้

 

คือเราชอบที่หนังเรื่องนี้พูดถึงกีฬาปิงปองอย่างมี passion กับตัวกีฬานั้นจริง ๆ น่ะ และเหมือนผู้สร้างหนังเรื่องนี้มีความรู้เกี่ยวกับกีฬาปิงปองประมาณนึง ซึ่งเราว่าสิ่งนี้ทำให้มันแตกต่างจากหนังไทยหลาย ๆ เรื่อง เพราะว่าไทยไม่ค่อยมีหนังเกี่ยวกับ “กีฬา” หรือถ้าหากมีหนังกีฬาอยู่บ้าง ส่วนใหญ่มันก็เป็นหนังเกี่ยวกับ “นักกีฬาที่มีตัวตนจริง” อย่างเช่น THE IRON LADIES สตรีเหล็ก (2000, Yongyoot Thongkongtoon), โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง TEE SHOT: ARIYA JUTANUGARN (2019, Tanawat Aiemjinda), HUGBY BAN BAK (2019, Bin Bunluerit, A+30) และหนังสารคดีต่าง ๆ เกี่ยวกับนักมวยไทย

 

เพราะฉะนั้นพอ SENKOH มันพูดถึงกีฬาปิงปอง หนังเรื่องนี้ก็เลยโดดเด่นขึ้นมาในทันทีในบรรดา “หนังไทย” เพราะว่าหนังกีฬาของไทยมีเป็นจำนวนน้อย และหนังไทยที่เกี่ยวกับปิงปองเท่าที่เราเคยดูมา ก็มีแต่ “หนังโรแมนติก” ที่ตัวละครมาเล่นปิงปองกัน คือโต๊ะปิงปองในหนังสั้นไทยเหล่านี้ไม่ได้เป็น “สถานที่แข่งขัน” แต่เป็นสถานที่ให้หนุ่มสาวได้มาตกหลุมรักกัน (ใครจำได้บ้างว่า มันคือหนังโรแมนติกเรื่องอะไร ที่พระเอกนางเอกมาเล่นปิงปองกัน) เราก็เลยรู้สึกว่า SENKOH มันโดดเด้งมาก ๆ เพราะนี่น่าจะเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่เราเคยดูเลยมั้ง ที่ตัวละครเล่นปิงปองกันอย่างจริงจัง (แต่เราไม่ได้ดูละครโทรทัศน์ของไทยมานานราว 30 ปีแล้วนะ เราก็เลยไม่มีความรู้เกี่ยวกับ ละครโทรทัศน์ไทยที่พูดถึงกีฬา)

 

แต่ถ้าหาก SENKOH เป็น “หนังญี่ปุ่น” เราก็คงไม่ว้าวมากเท่านี้ เพราะญี่ปุ่นมีการผลิตหนังและละครโทรทัศน์เกี่ยวกับ “กีฬา” ออกมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน และหนังญี่ปุ่นเหล่านี้ต่างก็แสดงให้เห็นถึง “ความรู้ลึก รู้จริง” ของผู้สร้างหนังเกี่ยวกับตัวกีฬานั้น ๆ ซึ่งรวมถึงหนังเกี่ยวกับปิงปองเรื่อง MIXED DOUBLES (2017, Junichi Ishikawa, A+30) และ PING PONG (2002, Fumihiko Sori) เราก็เลยรู้สึกว่า ถ้าหาก SENKOH เป็นหนังญี่ปุ่น เราก็คงจะเฉย ๆ กับหนังเรื่องนี้ในระดับนึง 55555

 

2. ชอบที่หนังมันพูดถึง “ชีวิตที่ผ่านเลยไป” ของตัวละครด้วย ตัวละครที่เติบโตขึ้น และมองย้อนกลับไปในอดีต และพบว่าเส้นทางชีวิตของตัวเองอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เคยคาดหวังไว้ในอดีต อะไรทำนองนี้ (ถ้าหากเราจำไม่ผิดนะ)

 

ในแง่นึงเราก็เลยรู้สึกว่า SENKOH นี่อาจจะเหมาะฉายควบกับหนังเรื่อง PING PONG BATH STATION (1998, Gen Yamakawa) ได้ด้วยเหมือนกัน เพราะว่าPING PONG BATH STATION เป็น “หนังชีวิต หนังดราม่าที่มีความเกี่ยวข้องกับปิงปอง” ส่วน SENKOH นั้นเป็น “หนังเกี่ยวกับกีฬาปิงปอง ที่พูดถึงชีวิตมนุษย์ด้วย” หนังสองเรื่องนี้ก็เลยเหมือนเป็น “หนังชีวิต + หนังกีฬาปิงปอง” ผสมอยู่รวมกันเหมือนกัน

 

3. หนังอีก 2 เรื่องที่เราว่าเหมาะฉายควบกับ SENKOH ก็คือ THE COLOR OF MONEY (1986, Martin Scorsese, A+30) และ CHALLENGERS (2024, Luca Guadagnino, A+30) เพราะว่าหนังทั้ง 3 เรื่องนี้เป็น “หนังกีฬา” ที่มี “พระเอก 2 คน” เหมือนกัน โดยไม่มีใครเป็นผู้ร้าย พระเอกทั้งสองคนเหมือนเป็นฝ่ายดีที่มีฝีมือทัดเทียมกันเหมือนกัน

 

เหมือนใน THE COLOR OF MONEY และ CHALLENGERS นั้น หนังจบลงด้วยการที่ให้พระเอกสองคนแข่งขันกัน แล้วหนังก็ตัดจบไป โดยไม่บอกคนดูว่า ตกลงแล้วในบรรดาพระเอก 2 คนนี้ ใครเก่งกว่ากันกันแน่

 

แต่เราจำตอนจบของ SENKOH ไม่ได้แล้ว เหมือน SENKOH ก็จบคล้าย ๆ กันนี้หรือเปล่านะ เราไม่แน่ใจ

 

4. เราขอสนับสนุนให้มีการสร้างหนังไทยเกี่ยวกับ “นักกีฬาชาย” ออกมาอีกเยอะ ๆ ค่ะ อยากให้มีคนทำ “หนังสารคดี” เกี่ยวกับ “นักรักบี้โรงเรียนวชิราวุธ” อะไรแบบนี้มาก ๆ 55555

++++

 

RIP TATSUYA NAKADAI (1932-2025)

 

เขาหล่อสุดขีดเลย เราอยากได้เขามาก ๆ ในหนังเรื่อง WHEN A WOMAN ASCENDS THE STAIRS (1960, Mikio Naruse), YOJIMBO (1961, Akira Kurosawa), HARAKIRI (1962, Masaki Kobayashi) และ KWAIDAN (1964, Masaki Kobayashi)

++++

Favorite Music Video: BIG HOLLOW MAN (1987) -- Danielle Dax

https://www.youtube.com/watch?v=zqhym59ypUI

 

เราเคยดู THE RIVER ของไฉ่มิ่งเหลียงตอนมันมาฉายที่สมาคมฝรั่งเศส ถนนสาทรใต้เมื่อราว 20 กว่าปีก่อน แต่ก็กะจะดูอีกรอบในเทศกาลหนังไต้หวันปีนี้ เพราะเป็นหนังที่รู้สึกอยากดูซ้ำ

 

Tuesday, November 11, 2025

DAISY BY DANIELLE DAX

 

I worship Kate Bush and this music video. เราชอบมิวสิควิดีโอเพลง CLOUDBUSTING นี้อย่างสุดขีด ถือเป็น "หนังไซไฟ" เรื่องนึงได้เลย เรายังจำได้ว่า ตอนที่เรากับเพื่อนดูมิวสิควิดีโอเพลงนี้เมื่อ 30 ปีก่อน เพื่อนเราพูดว่า "เห็นหน้าเคท บุชแล้วนึกถึง ธิติมา สังขพิทักษ์"

 

มิวสิควิดีโอนี้กำกับโดย Julian Doyle แต่ conceived by Terry Gilliam

https://www.youtube.com/watch?v=pllRW9wETzw&list=RDpllRW9wETzw&start_radio=1

 

54 (2025, Wuttichai Buranakittipinyo, documentary, 29min, A+30)

 

ชอบมาก ๆ เหมาะฉายควบกับ CREMATION DAY (2017, Napasin Samkaewcham)  และ DID YOU SEE THE HOLE THAT MOM DIG? หอมสุวรรณ (2023, Pobwarat Maprasob, A+30) เพราะหนังทั้ง 3 เรื่องนี้เป็นหนังสารคดีที่ตัวผู้กำกับนำเสนอหรือสัมภาษณ์แม่หรือยาย/ย่าของตนเอง และแม่/ยาย/ย่า นี้ก็เป็นคนที่ “ผ่านร้อนผ่านหนาว” มาอย่างหนัก หรือมีประสบการณ์ชีวิตที่น่าสนใจ

++++

 

หลายคนในภาพนี้ก็ยังคงอยู่ในวงการภาพยนตร์จนถึงปัจจุบัน เพราะ Apichatpong ก็ยังคงทำหนังอยู่, คุณ Phaisit Phanphruksachat ก็กำกับภาพยนตร์เรื่อง “ถล่มรังแม่ตุ้ม สำนักงานกะทิ” ที่ฉายในเทศกาลหนังสั้นมาราธอนในปี 2022, คุณวิชิต หอยิ่งสวัสดิ์ กำกับภาพยนตร์เรื่อง LUODONG COMMONALITY: PEOPLE, PUBLIC, AND EVERYDAY ORDINARINESS ที่ฉายในเทศกาลหนังสั้นมาราธอนในปี 2024 และคุณสุพงศ์ จิตต์เมือง ก็กำกับภาพยนตร์เรื่อง THE RETURNING วนเวียน (2025, 30min, A+30) ที่เพิ่งฉายในงาน Wildtype ในวันที่ 21 ก.ย. 2025

+++

 

ช่วงนี้เราทยอยเอาชื่อหนังที่เคยดูในวัยเด็กไปแปะลงใน letterboxd ของเรา ก็เลยทำให้เราเพิ่งรู้ว่า

 

1. Scarlett Johansson เคยแสดงในหนังเรื่อง JUST CAUSE (1995, Arne Glimcher)

 

2. ชาลี ไตรรัตน์ เคยแสดงในหนังเรื่อง ONCE UPON A TIME...THIS MORNING (1994, Bhandit Rittakol, A+30)

 

3. Thora Birch (AMERICAN BEAUTY, THE CHRONOLOGY OF WATER) เคยแสดงในหนังเรื่อง PATRIOT GAMES (1992, Phillip Noyce)

++++

 

ดิฉันก็เคยดูหนังที่โรงหนังในห้างเมอร์รี่คิงส์ ปิ่นเกล้าเหมือนกันนะคะ ดีใจมาก ๆ ที่เราเคยไปเยือนโรงหนังในห้างนี้ โดยตอนนั้นเราได้ไปดูหนังเรื่อง CHANGING PARTNERS (1992, Chin Wing-keung, Hong Kong) ที่นำแสดงโดย อู๋จินหยู (Sandra Ng) หนังเรื่องนี้เป็นหนังปี 1992 แต่เพิ่งมาลงโรงฉายในไทยในช่วงปลายปี 1996

+++

อยากดูทั้ง POPCORN, DEMONS (1985, Lamberto Bava, Italy) และ PORNO (2019, Keola Racela) และก็อยากดู CLOSED CIRCUIT (1978, Giuliano Montaldo, Italy) ด้วย เพราะมันเป็นหนังสยองขวัญที่เนื้อเรื่องเกิดในโรงหนังเหมือนกัน

 

ส่วนหนังกลุ่มนี้ที่เราเคยดูแล้วชอบสุดขีดก็คือ LAST SCREENING (2011, Laurent Achard, France) กับ ANGUISH (1987, Bigas Luna, Spain)

 

Edit เพิ่ม: หนังเรื่อง CUT (2000, Kimble Randall) ที่นำแสดงโดย Molly Ringwald เราก็ชอบ แต่เหมือนมันเป็นหนังสยองขวัญเกี่ยวกับ “การทำหนัง” แต่เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดในโรงหนัง ถ้าหากเราจำไม่ผิดนะ

 

ส่วน “ฉากสยองขวัญในโรงหนัง” ที่ติดตาเรามากที่สุดก็คือ ฉากเปิดของ SCREAM 2 (1997, Wes Craven, A+30)

+++

 

Favorite Lyrics: DAISY (1990) by Danielle Dax

 

เราเพิ่งได้ฟังเพลงนี้จากอัลบัม BLAST THE HUMAN FLOWER แล้วก็พบว่า เนื้อเพลงมันรุนแรงมาก เนื้อเพลงพูดถึงหญิงสาวชื่อ “เดซี่” ที่เอาปืนยิงหญิงสาวอีกคนตาย แล้วคนทั้งเมืองก็เลยออกตามล่าเดซี่ แต่หญิงสาวผู้ร้องเพลงนี้ประกาศว่า เธอเข้าข้างเดซี่ เธอเข้าใจเดซี่ และเธอจะช่วยเหลือเดซี่อย่างสุดชีวิต

 

คือรู้ว่า ถ้าหากเนื้อเพลงเพลงนี้ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ หนังเรื่องนี้จะต้องเข้าทางเราอย่างสุดขีดแน่นอน เพราะเนื้อเพลงเพลงนี้แสดงให้เห็นว่า มันต้องมีตัวละครหญิงที่รุนแรงสุดขีดอย่างน้อย 3 ตัวในเรื่อง ซึ่งได้แก่ เดซี่, ผู้หญิงที่เคยทำเลว ๆ ใส่เดซี่จนถูกเดซี่ยิงตาย และผู้หญิงที่พร้อมจะช่วยเหลือเดซี่

 

กราบตีน Danielle Dax ค่ะ

 

Daisy, I know you didn’t mean it but you got her
Oh honey they say you took along a pistol and you shot her

And now the word is out in town
They will come and drag you down
Take away your pride
Take away your liberty

I will give you sympathy
Anything you want of me
I will give you all of my heart

I will give you sanctuary
Everything is safe with me
You have got a hold of my heart

Daisy, they say she made your life not worth the living
Oh but you took it with dignity and pride you were forgiving

But then she pushed you just too far
Broke through your resolve at last
Something gave inside
Something I’m afraid to see

I will give you sympathy
Anything you want of me
I will give you all of my heart

 

Monday, November 10, 2025

ALL THE PAINS FROM FILM FESTIVALS IN 1998-2025

 

ช่วงนี้เราก็ยังคงหยิบเทปเพลงเก่า ๆ มาฟังเป็นครั้งคราว เราชอบอัลบัมนี้มาก ๆ SWEPT (1991) ของ Julia Fordham จากค่าย EMI เพลงที่ชอบที่สุดในอัลบัมนี้น่าจะเป็นเพลง TIED

 

เทปมีอายุ 34 ปีแล้ว แต่ยังฟังได้ดีอยู่เลย ขอบพระคุณ EMI ค่ะ

 

เนื้อเพลง TIED

 

Tie a yellow ribbon round your heart
Counted every moment we're apart
It's been five long years since you've been here
Tie a yellow ribbon

Beyond the realm of dignity
Beyond imagination, please forgive me
How long, how long, how long, how long will it be?
It's a tragedy

Tie a yellow ribbon round your heart
Counted every moment we're apart
It's been five long years since you've been here
Tie a yellow ribbon

What happened to humanity?
There is no understanding such insanity
Hold on, hold on, hold on please if you can
In that troubled land

Tie a yellow ribbon round your heart
Counted every moment we're apart
It's been five long years since you've been here
Tie a yellow ribbon round your heart

++++

 

I’M STUCK (2025, Sirapat Aroon, 21min, A+25)

++++++++

ส่วนเราเคยดู FRANKENSTEIN เวอร์ชั่นของ Kenneth Branagh กับ Paul Morrissey

+++++++++

 

ALL THE PAINS FROM FILM FESTIVALS IN 1998-2025

 

มาจดบันทึกความทรงจำว่า เราฟังเทป “เทศกาลหนัง พังกระโปก!” ของ Man on Film จบแล้ว งดงามที่สุด ดีใจมาก ๆ ที่มีการพูดคุยกันถึงเทศกาล Bangkok International Film Festival 2025 กันอย่างเต็มที่ เพราะเราชอบหนังในเทศกาล BKKIFF 2025 อย่างรุนแรงมาก ถือได้ว่าเป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่เลือกหนังได้ตรงใจเรามากที่สุดในชีวิต cinephile ของเราเลย คือแค่มีงาน retrospective ของ Harun Farocki กับ Ryusuke Hamaguchi นี่ก็กราบตีนอย่างสุด ๆ แล้ว และหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เลือกมาในงาน ทั้ง DRY LEAF, AGON, DRACULA, RESURRECTION, GOD WILL NOT HELP, I ONLY REST IN THE STORM, DIRECTOR’S DIARY, etc. นี่ก็ตรงใจเราอย่างถึงที่สุด

 

เหมือนการจัด International Film Festival ใน Bangkok แบบนี้คือ “ช่วงเวลาที่เรามีความสุขที่สุด” ในแต่ละปีน่ะ ตั้งแต่ Bangkok Film Festival ของ Brian Bennett ในปี 1998 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน คือเราเป็นคนฐานะยากจนที่ไม่มีเงินเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะฉะนั้น “ความสุขสูงสุด” ของเราในแต่ละปี ก็คือการได้ลางานเพื่อไปหมกตัวใน Bangkok Film Festival (1998-2004), World Film Festival of Bangkok (2003-2024) และ Bangkok International Film Festival (2003-2025) นี่แหละ

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยดีใจมาก ๆ ที่ podcast นี้พูดคุยกันถึง BKKIFF 2025 มันเหมือนเป็นการช่วยจดบันทีกความทรงจำที่มีต่อเทศกาลนี้ และถ้าหากวันหนึ่งวันใดในอนาคต เราอยากรำลึกถึง “ช่วงเวลาที่เรามีความสุขมากที่สุดในปี 2025” เราก็อาจจะเปิด podcast นี้ฟังอีก เพราะมันได้ช่วยบันทึกความทรงจำที่มีต่ออะไรต่าง ๆ ในเทศกาลนี้เอาไว้แล้ว

 

ชอบมาก ๆ ที่ podcast นี้มีการพูดถึงปัญหาต่าง ๆ ในเทศกาลเอาไว้ด้วย เผื่อถ้าหากมีการจัดเทศกาลหนังแบบนี้อีก ทางผู้จัดงานจะได้หาทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีก (เราหวังว่าอย่างนั้นนะ)

 

ส่วนตัวเรานั้น เราก็พบว่าเทศกาล BKKIFF 2025 มีปัญหาเยอะมากเช่นกัน แต่เราไม่ค่อยได้เขียนถึงปัญหาในเทศกาลนี้ เพราะว่าเพื่อน ๆ ได้เขียนถึงไปหมดแล้ว เราก็เลยไม่ต้องเขียนซ้ำอีก 55555 และพอเราฟัง podcast นี้ เราก็เลยพบว่า เรา “โชคดี” มาก ๆ ด้วยใน 2 เหตุการณ์ด้วยกัน นั่นก็คือ

 

1. เราดู DIRECTOR’S DIARY (2025, Aleksandr Sokurov, Russia, documentary, 5hrs 5mins, A+30) ในการฉายรอบที่สอง ซึ่งการฉายราบรื่นดี ไม่มีปัญหาอะไร เราก็เลยดูหนังเรื่องนี้อย่างมีความสุขสุดขีดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 

แต่พอเราฟัง podcast นี้ เราก็เลยพบว่า ในการฉายรอบแรกนั้น ซับไตเติลภาษาไทยมันวิ่งนำหน้าตัวหนังไปราว 15 นาทีในช่วงครึ่งหลังของหนัง หนักมาก ๆ คือเหมือนซับไตเติลภาษาไทยขึ้นตัวอักษรอะไรก็ตามมาให้เราอ่าน เราจำเป็นต้องรออีก 15 นาทีแล้วเราถึงจะค่อยเห็นภาพที่มันซิงค์กับซับไตเติลนั้น นึกว่าบ้า

 

ก็เลยถือว่าเป็นโชคดีของเราที่ไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในการฉายรอบแรก เห็นใจคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในรอบแรกมาก ๆ

 

2. เราได้ดู ON THE ROAD (2025, David Pablos, Mexico, A+30) ในรอบที่ซับไตเติลภาษาอังกฤษ+ภาษาไทย ไม่ซิงค์กับภาพบนจออย่างรุนแรงเช่นกัน เหมือนซับไตเติลมันมาช้ากว่าภาพราว 1-5 นาทีในบางช่วง อะไรทำนองนี้ คือบางครั้งซับก็ไล่ตามภาพทัน แต่ในหลาย ๆ ครั้งซับก็ขึ้นช้ากว่าภาพนานหลายนาที

 

แต่อันนี้ก็เป็นโชคดีของเรา ที่เคยเรียนภาษาสเปนเมื่อ 30 ปีก่อน เพราะฉะนั้นตอนที่เราดู ON THE ROAD เราก็เลยพยายามทบทวนภาษาสเปนที่เคยเรียนมา แล้วก็พยายามจับคำภาษาสเปนที่ตัวละครพูด เพื่อจะได้นำมาเชื่อมโยงกับซับไตเติลที่ขึ้นตามมาในอีก 5 นาทีต่อมา 55555 เราก็เลยไม่ได้อารมณ์เสียอย่างรุนแรงมากนัก แต่เราก็เห็นด้วยว่า เหตุการณ์แบบนี้มันถือเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงมาก และถ้าหากเราไม่เคยเรียนภาษาสเปนมาก่อน เราก็คงอารมณ์เสียอย่างรุนแรงขณะที่ดูหนังเรื่องนี้เช่นกัน

 

สรุปว่า โดยรวม ๆ แล้ว เรารู้สึกว่า BKKIFF 2025 มีปัญหาเยอะมาก แต่อาจจะเป็นเพราะเราดวงดี เราก็เลยไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากปัญหาในงานนี้มากนัก แต่เราก็ขอสนับสนุนให้ทุกคนช่วยกันพูดและเขียนถึงปัญหาในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ กันต่อไปนะ เพราะการพูดและเขียนถึงปัญหาเหล่านี้จะได้ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดแบบนี้ขึ้นอีก

 

เนื่องจากเพื่อน ๆ ได้พูดและเขียนถึงปัญหาต่าง ๆ มากมายใน BKKIFF 2025 ไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็เลยขอจดบันทึกความทรงจำถึงปัญหาร้ายแรงที่เราเคยเจอในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ในปีก่อน ๆ แทนแล้วกัน

 

1. โดยส่วนตัวแล้ว เรา “อารมณ์เสีย” กับ World Film Festival of Bangkok 2024 มากกว่า BKKIFF 2025 ซึ่งอันนี้มันเป็นเรื่องของ “ดวง” จริง ๆ เหมือนช่วง WFFBKK 2024 นั้น เป็นช่วงที่เรา “ดวงซวย”

 

คือใน WFFBKK 2024 นั้น มันมีการฉายภาพยนตร์เรื่อง REVOLVING ROUNDS (2024, Johann Lurf + Christina Jauernik, Austria, A+30) ที่เป็นหนังสามมิติ แล้วเหมือนทางโรง SF CENTRAL WORLD มีปัญหาเหี้ยห่าอะไรก็ไม่รู้ ก็เลยเปลี่ยน “โรงฉาย” หนังเรื่องนี้ถึง 2 ครั้ง และสร้างปัญหาให้กับเราที่ซื้อตั๋วล่วงหน้าไปแล้ว ต้องคอยเอาตั๋วไปเปลี่ยนใหม่

 

เหมือนตอนที่มีประกาศเปลี่ยนโรงครั้งแรก เราก็เลยเอาตั๋วที่ซื้อมาแล้วไปเปลี่ยนเป็นตั๋วสำหรับโรงใหม่ ซึ่งก็ทำให้เราเสียเวลามาก

 

แล้วพอถึงวันฉายจริง 13 พ.ย. 2024 ก็มีประกาศเปลี่ยนโรงฉายใหม่อีก เราก็เลยจะเอาตั๋วไปเปลี่ยนอีกครั้ง แต่พนักงาน SF ในชั้นขายตั๋วบอกว่าไม่ต้องเปลี่ยนตั๋ว เราสามารถเอาตั๋วที่มีอยู่แล้วไปเข้าโรงใหม่ได้เลย

 

แต่พอเรายื่นตั๋วหนังนี้เพื่อจะเข้าไปดูหนังในโรง พนักงาน SF ตรงทางเข้าโรงหนังกลับไม่ให้เราเข้าไปดูหนัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พนักงาน SF มันไม่มีการประสานงานกันเลย เราก็เลยโมโหมาก ๆ โกรธสุดขีดมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เราควบคุมอารณ์ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว เราก็เลยแผดเสียงใส่พนักงานอย่างรุนแรง จนในที่สุดพนักงานก็ปล่อยให้เราเข้าไปดูหนังได้ แต่เราก็ยังคงโกรธเกลียดและไม่ให้อภัยเหตุการณ์นี้มาจนถึงปัจจุบัน

 

เพราะฉะนั้นถึงแม้ BKKIFF 2025 จะมีปัญหาเหี้ยห่ามากมายเพียงใด แต่โดยส่วนตัวแล้ว ดิฉันก็โกรธเกลียดและชิงชังการทำงานของพนักงาน SF ในช่วง WFFBKK 2024 มากกว่าค่ะ (มันควรจะประสานงานกันให้ดีกว่านี้ไหม) ซึ่งอันนี้มันเป็นเรื่องของดวงจริง ๆ เหมือนช่วง BKKIFF 2025 เป็นช่วงที่เรา “ดวงดี” แต่ช่วง WFFBKK 2024 เป็นช่วงที่เรา “ดวงซวย”

 

2. ช่วง Bangkok Film Festival ในปี 1998-2000 มีการประกาศตารางฉายหนังล่วงหน้าก็จริง แต่ก็เหมือนชอบมีการปรับเปลี่ยนตารางหนังที่จะฉายไปเรื่อย ๆ ในแต่ละวันในเทศกาลนะ เหมือนมีการโยกย้ายรอบฉายหนังบางเรื่อง หรือมีการ cancel หนังบางเรื่องอย่างกะทันหัน ถ้าจำไม่ผิด ช่วงนั้นเราก็เลย paranoid ต้องคอยมายืนจ้องตารางฉายหนังที่ติดไว้หน้าโรงหนังใน Emporium ในทุก ๆ วันของเทศกาล เพื่อตรวจสอบดูว่ามันมีการโยกย้ายรอบฉายอะไรบ้าง เราจะได้ปรับแผนใหม่ได้ แล้วยุคนั้นมันเป็นยุคที่ไม่มีการสื่อสารกันทางอินเทอร์เน็ตด้วย และเป็นยุคที่โทรศัพท์มือถือยังไม่แพร่หลายด้วย (เราเพิ่งซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกในชีวิตในปี 2006) เพราะฉะนั้นคนดูก็เลยต้องมาตรวจสอบตารางฉายกันหน้าโรงหนังเท่านั้นเพื่อดูว่ามีการโยกย้ายรอบหนังอะไรบ้าง

 

3. ในปี 2008 มีการจัด “เทศกาลหนังทดลองกรุงเทพ ครั้งที่ 5” ในหลาย ๆ สถานที่ฉาย ซึ่งรวมถึงที่ Esplanade Ratchada

 

ในวันที่ 26 มี.ค. 2008 เรากับเพื่อนก็เลยไปที่ Esplanade Ratchada เพื่อจะดูหนังทดลองในโปรแกรม BEFF CORE – TRACK CHANGES แต่พอเราไปจะซื้อตั๋วหนังที่ชั้นสอง พนักงานตรงชั้นขายตั๋วของ Esplanade ก็บอกเราว่า “หนังรอบนี้สำหรับ VIP เท่านั้นค่ะ” เรากับเพื่อนก็เลยต้องกลับบ้าน ไม่ได้ดูหนังทดลองในโปรแกรมนี้เลย

 

แล้วหลังจากนั้นเราก็พบว่า จริง ๆ แล้วมันมีการฉายหนังทดลองนี้ให้ดู “ฟรี” และเพื่อน ๆ ของเราหลายคนก็ได้เข้าไปดู คือคนที่จะดูหนังทดลองนี้ ต้องขึ้นไปขอตั๋วจากเจ้าหน้าที่ใน “ชั้น 3” คือถ้าหากใครขึ้นไป “ชั้น 3” ก็จะได้ตั๋วหนังทดลองโปรแกรมนี้แล้วเข้าไปดูหนังได้ฟรี แต่ถ้าหากใครไปถามพนักงาน Esplanade ชั้นสอง พนักงานชั้นสองก็จะบอกว่า “รอบนี้สำหรับ VIP เท่านั้น” แล้วก็จะไม่ได้เข้าไปดูหนัง ต้องกลับบ้านมือเปล่า อย่างเช่นเรากับเพื่อน

 

คือปัญหาแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง มันประสานงานกันยังไงเนี่ย เหี้ยมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เรายังคงจำเหตุการณ์นี้ได้ไม่ลืมแม้เวลาจะผ่านมานาน 17 ปีแล้ว

 

4. และปัญหาที่ทำให้เราอารมณ์เสียตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ก็คือการจัดงาน retrospective ของ Ulrike Ottinger ใน World Film Festival of Bangkok 2005 ในงานนั้นมีการจัดฉายหนังหลายเรื่องของ Ottinger ด้วยฟิล์ม 35 มม.

 

แต่ปัญหาก็คือว่า หนังทุกเรื่องในโปรแกรมนี้ของ Ottinger เป็นหนังเยอรมันที่ไม่มีซับไตเติลภาษาอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าพนักงานในบริษัทของ Ottinger ที่เยอรมนี ส่งฟิล์มมาผิด คือแทนที่เขาจะส่งฟิล์มหนัง 35 มม.แบบที่มีซับไตเติลมาให้ เขากลับส่งฟิล์มที่ไม่มีซับเติลมาให้ ทั้ง MADAME X: AN ABSOLUTE RULER (1975, A+30), FREAK ORLANDO (1981, A+30), DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS (1984, A+30), JOAN OF ARC OF MONGOLIA (1989, A+30) และ TWELVE CHAIRS (2004, 3hrs 18mins)

 

ตอนนั้นเราก็เลยได้ดู MADAME X: AN ABSOLUTE RULER , FREAK ORLANDO , DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS  และ JOAN OF ARC OF MONGOLIA ในแบบไม่มีซับไตเติล เพราะเราซื้อตั๋วล่วงหน้าไปแล้ว แต่เราไม่ได้ดู TWELVE CHAIRS เพราะพอมันไม่มีซับไตเติล เราก็เลยขี้เกียจดู

 

เราเจ็บแค้นกับเหตุการณ์นี้มาก ๆ ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา แต่ความแค้นของเราเพิ่งทุเลาลงในช่วงที่โรคโควิดระบาดหนักในปี 2020-2021 เพราะในช่วงนั้นทางเมืองนอกมีการฉาย MADAME X: AN ABSOLUTE RULER , FREAK ORLANDO , DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS  และ JOAN OF ARC OF MONGOLIA ให้คนทั่วโลกได้ดูฟรีออนไลน์แบบมีซับไตเติลภาษาอังกฤษ เราก็เลยได้ดูหนัง 4 เรื่องนี้แบบมีซับไตเติลในที่สุด

 

แต่เราก็ยังคงไม่ได้ดู TWELVE CHAIRS (2004, 3hrs 18mins) แบบมีซับไตเติลภาษาอังกฤษอยู่ดีนะ เพราะฉะนั้นความแค้นที่เกิดขึ้นในปี 2005 ก็เลยยังไม่หมดสิ้นไป

 

5. นอกจากปัญหาของ “เทศกาลภาพยนตร์” แล้ว ในบางครั้งเราก็เจอปัญหาจาก “พนักงาน/เจ้าหน้าที่” ของสถานที่ฉายหนังด้วย

 

ปัญหาที่เราเคยเจอก็คือ ในช่วงที่ Filmvirus จัดฉายหนังที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปีแรก ๆ นั้น มีบางครั้งที่เราเดินทางไปดูหนัง แต่เจ้าหน้าที่ห้องสมุดไม่ให้เราเข้าไป โดยบอกเราว่า “วันนี้ไม่มีการฉายหนัง” เราก็เลยงงว่า มันมีการยกเลิกรอบฉายกะทันหันเหรอ ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้เลย ยุคนั้นน่าจะเป็นช่วงราว ๆ ปี 2000 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือยังไม่แพร่หลาย เราต้องติดตามข่าวสารรอบฉายเหล่านี้จากทาง “หนังสือพิมพ์” เป็นหลัก เราก็เลยต้องเดินทางกลับบ้านมือเปล่า อุตส่าห์ฝ่ารถติดมาถึงม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจ้นทร์ แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ดูหนังแต่อย่างใด

 

แล้วเราก็มารู้ในภายหลังว่า จริง ๆ แล้ววันนั้นมันมีการฉายหนังในห้องสมุด แต่อีเจ้าหน้าที่ห้องสมุดนี่แหละ ที่เสือกมาโกหกเรา ไม่ยอมให้เราเข้าไปดูหนัง

 

แล้วในรอบฉายสัปดาห์ต่อ ๆ มา เราก็เดินทางไปดูหนังที่ห้องสมุดนี้อีก แล้วก็เจออีเจ้าหน้าที่ห้องสมุด บอกเราว่า “วันนี้ไม่มีการฉายหนัง” อีกเหมือนเดิม เราก็เลยยอมจ่ายเงิน 20 บาท เพื่อเข้าไปใช้บริการห้องสมุดในฐานะคนนอก (ในยุคนั้น คนนอกม.ธรรมศาสตร์ ต้องจ่ายเงิน 20 บาท แล้วจะเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดได้ แต่ถ้าหากบอกว่า “มาดูหนัง” ก็จะได้เข้าห้องสมุดฟรี) แล้วพอเราจ่ายเงิน 20 บาทไปแล้ว และเข้าไปในห้องสมุดได้แล้ว เราก็เลยไปบอกเจ้าหน้าที่ที่ห้องฉายหนัง ว่ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่ห้องฉายหนังก็เลยขึ้นมาบอกเจ้าหน้าที่ตรงทางเข้าห้องสมุดว่า วันนี้มันมีการฉายหนังจริง ๆ แล้วเจ้าหน้าที่ห้องสมุดก็เลยคืนเงิน 20 บาทให้กับเรา เหมือนอีเจ้าหน้าที่ห้องสมุดอ้างว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น (ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง) เป็นเพราะไม่มีคนบอกเธอมาก่อนว่า วันนี้มีการฉายหนัง

 

6. เราขอจดบันทึกปัญหาอีกอย่างนึงด้วย ซึ่งถือว่าเป็น “ปัญหาความผิดพลาดที่ส่งผลดีต่อตัวเราเองอย่างไม่คาดฝัน” 55555 คือในยุคนั้นหนังแต่ละเรื่องมักฉายด้วยฟิล์ม 16 มม. และ 35 มม. และเราเข้าใจว่า พอมันฉายด้วยม้วนฟิล์มแบบนี้ มันก็เลยตรวจสอบได้ยากว่า ทางเมืองนอกส่งฟิล์มมา “ถูกเรื่อง” หรือเปล่า

 

และก็มีอยู่ 2 ครั้ง ที่ทางเมืองนอกส่งฟิล์มภาพยนตร์มา “ผิดเรื่อง” แต่เรื่องที่ส่งมาผิด กลับเป็นหนังที่ดีกว่าที่วางโปรแกรมไว้เสียอีก 55555

 

6.1 ใน Bangkok Film Festival ปี 2000 เราซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปดูหนังเรื่อง SEDUCING MAARYA (2000, Hunt Hoe, Canada/India) ในวันที่ 24 ก.ย.ปี 2000 แต่พอเข้าไปในโรงแล้ว ทางผู้จัดงานก็มาประกาศในโรงหนังว่า พอแกะกล่องฟิล์มออกมาแล้ว ก็พบว่า ทางเทศกาลหนังอะไรสักอย่างที่เมืองนอกส่งหนังมาผิดเรื่อง ทางเมืองนอกส่งหนังเรื่อง UNDER THE PALMS (1999, Miriam Kruishoop, Netherlands, A+30) มาแทน เพราะฉะนั้นทางเทศกาลก็เลยฉาย UNDER THE PALMS แทน ส่วนใครที่ไม่อยากดูหนังเรื่องนี้ก็ refund ตั๋วได้

 

เราตัดสินใจดู UNDER THE PALMS ไป และก็พบว่าชอบหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงสุดขีด เราก็เลยเขียนความเห็นที่มีต่อหนังเรื่องนี้ลงใน IMDB ด้วย

 

ทางเทศกาล Bangkok Film Festival ประกาศจัดรอบฉาย SEDUCING MAARYA ใหม่ในวันที่ 28 ก.ย.ปี 2000 โดยให้ Hunt Hoe หิ้วฟิล์มหนังเรื่องนี้จากแคนาดามากรุงเทพด้วยตัวเอง (หรืออะไรทำนองนี้) เราก็เลยซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปดู SEDUCING MAARYA และก็พบว่า เราชอบ UNDER THE PALMS มากกว่าเยอะเลย 55555 สรุปว่าการส่งฟิล์มหนังมาผิดเรื่องช่วยให้เราได้ดูหนังที่ชอบสุดขีดโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

6.2 ในปี 1998 ทางสถาบันเกอเธ่ ซอยสาทร 1 ประกาศจัดงาน Rainer Werner Fassbinder Retrospective โดยมีหนังเรื่อง ALI: FEAR EATS THE SOUL (1974) ฉายด้วย

 

แต่พอเรากับเพื่อน ๆ เดินทางไปดูหนังเรื่องนี้ที่เกอเธ่ เจ้าหน้าที่เกอเธ่ก็มาประกาศในโรงหนังว่า ทางเมืองนอกส่งฟิล์มหนังมาผิดเรื่อง ส่งเรื่อง CALM PREVAILS OVER THE COUNTRY (1975, Peter Lilienthal, West Germany, A+30) มาแทน เพราะฉะนั้นทางเกอเธ่ก็เลยจำเป็นต้องฉาย CALM PREVAILS OVER THE COUNTRY ในวันนั้น เราก็เลยได้ดูหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นหนังที่เราชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป เหมือนตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราพบว่าหนังมันมี wavelength ที่ประหลาดมากจนเราจูนไม่ติด แต่พอดูจบแล้ว และหวนคิดถึงหนังเรื่องนี้ทีไร เราก็ยิ่งชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

 

และในอีกหลายสัปดาห์ต่อมา เราก็ได้ดู ALI: FEAR EATS THE SOUL ที่สถาบันเกอเธ่ ซึ่งก็เป็นหนังที่เราชอบอย่างรุนแรงสุดขีดเหมือนกัน แต่เราอาจจะชอบ CALM PREVAILS OVER THE COUNTRY ในระดับที่มากกว่าหรือเท่ากับ ALI: FEAR EATS THE SOUL

 

เหมือน “การส่งฟิล์มหนังมาผิดเรื่อง” ในครั้งนั้น ช่วยให้เราได้ดูหนังที่หาดูได้ยากมาก และเป็นหนังที่เราชอบสุดขีด ซึ่งก็ถือเป็นโชคดีของเราไป เพราะในปัจจุบันนี้ การหาดูหนังของ Fassbinder น่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่การหาดูหนังของ Peter Lilienthal ยังคงเป็นเรื่องที่ยากมาก

+++

 

Favorite Soundtrack from CRAYON SHIN-CHAN THE MOVIE: SUPER HOT! THE SPICY KASUKABE DANCERS (2025, Masakazu Hashimoto, Japan, animation, A+30) ดีใจสุดขีดที่หนังชินจังภาคนี้นำเอาเพลง DANGER ZONE ของ Kenny Loggins มาใช้ด้วย ซึ่งเราเดาว่าการใช้เพลงนี้ในชินจังในฉากนั้นคงเป็นการจงใจ tribute ให้หนังเรื่อง TOP GUN (1986, Tony Scott, A+30) ส่วนฉากอื่น ๆ ในหนังชินจังภาคนี้คงเป็นการ tribute ให้หนังเรื่องอื่น ๆ ตั้งแต่ RRR (2022, S.S. Rajamouli, India, A+30) ไปจนถึง MISSION: IMPOSSIBLE

 

ดีใจที่เพลง DANGER ZONE ได้รับยอดวิวไปแล้ว 136 ล้านวิว แต่ถ้าหากพูดถึงเพลงประกอบหนังเรื่อง TOP GUN แล้ว เพลงที่เราชอบที่สุดน่าจะเป็น MIGHTY WINGS ของ Cheap Trick

https://www.youtube.com/watch?v=siwpn14IE7E&list=RDsiwpn14IE7E&start_radio=1

++++

 

DORAEMON: NOBITA’S ART WORLD TALES (2025, Yukiyo Teramoto, Japan, animation, A+30) นี่ถือเป็น one of my most favorite films I saw in 2025 เลย ด้วยเหตุผลที่ส่วนตัวมาก ๆ เพราะว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เราร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง ทั้งในตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ในวันที่ 24 ต.ค. และทุกครั้งที่เรานึกถึงหนังเรื่องนี้ในช่วง 16 วันที่ผ่านมา ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรหนังเรื่องนี้ถึงทำให้เราร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง

 

คือเราร้องห่มร้องไห้ในฉากที่โนบิตะหลุดเข้าไปในภาพวาดโง่ ๆ ของตัวเอง แล้วเจอกับโดเรมอน “เวอร์ชั่นต๊อกต๋อย” (ตามเสียงพากย์ภาษาไทย) หรือที่เราขอเรียกว่า “โดเรมอนในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอก” น่ะ มันเป็นโดเรมอนที่แทบไม่เหลือสภาพความเป็นโดเรมอนอีกต่อไปแล้ว เป็นโดเรมอนที่สิ้นไร้ไม้ตอก จะพังมิพังแหล่มาก ๆ แต่โดเรมอนตัวนั้นก็ยังคงเปี่ยมด้วยความรักและความหวังดีต่อโนบิตะ และพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะช่วยชีวิตของโนบิตะเอาไว้ให้ได้

 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เราถึงร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรงให้กับฉากนี้ และเราก็ร้องไห้ทุกครั้งที่นึกถึงฉากนี้ในช่วง 16 วันที่ผ่านมา เราเดาว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะว่า “โดเรมอนในสภาพจะพังมิพังแหล่” นั้น มันทำให้เรานึกถึง “ลูกหมี” ของเรา มันเหมือนความรักความผูกพันระหว่างโนบิตะกับโดเรมอนในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอกนั้น มันทำให้นึกถึงความรักความผูกพันระหว่างเรากับตุ๊กตาหมีของเรา

 

เราก็เลยขอยกให้ DORAEMON: NOBITA’S ART WORLD TALES (2025, Yukiyo Teramoto, Japan, animation, A+30) เป็นหนึ่งในหนังที่เราชอบที่สุดที่ได้ดูในปีนี้ และก็ถือเป็นหนึ่งในโดเรมอนภาคที่เราชอบมากที่สุด โดยแข่งกับภาค DORAEMON: NOBITA’S DIARY ON THE CREATION OF THE WORLD (1995, Tsutomu Shibayama, Japan, animation, A+30) ที่เราชอบสุดขีดเหมือนกัน

 

อีกสาเหตุนึงที่ทำให้เราชอบภาค NOBITA’S ART WORLD TALES เป็นเพราะว่า ในภาคนี้โนบิตะแทบไม่มีโอกาสได้แสดง “ความโง่” และ “ความขี้เกียจ” ออกมาด้วยน่ะแหละ 55555 เพราะเราเกลียดผู้ชายที่ “โง่” และ “ขี้เกียจ” มาก ๆ และเราก็มีปัญหากับพฤติกรรมนี้ของโนบิตะทุกครั้งในโดเรมอนแต่ละภาค แต่พอในภาค ART WORLD TALES นี้ โนบิตะแทบไม่ได้แสดงนิสัยแบบนี้ออกมา มันก็เลยช่วยให้เรามีความสุขกับการดูหนังเรื่องนี้มาก ๆ

 

จริง ๆ แล้วเราชอบ “บทภาพยนตร์” ของ  DORAEMON: NOBITA’S ART WORLD TALES (2025, Yukiyo Teramoto, Japan, animation, A+30) กับ CRAYON SHIN-CHAN THE MOVIE: SUPER HOT! THE SPICY KASUKABE DANCERS (2025, Masakazu Hashimoto, Japan, animation, A+30) อย่างรุนแรงมาก ๆ ด้วย เพราะว่าในบทหนังสองเรื่องนี้ ผู้เขียนบทเหมือนแอบหยอดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ในช่วงต้นเรื่อง ซึ่งดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่มีความสำคัญอะไรทั้งสิ้น แต่อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่สลักสำคัญที่ถูกหยอดไว้เรื่อย ๆ ในระหว่างที่เนื้อเรื่องดำเนินไปนี่แหละ กลับกลายเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างรุนแรงในฉากไคลแมกซ์ของหนัง 2 เรื่องนี้ ซึ่งเราก็ชอบอะไรแบบนี้มาก ๆ

 

 

Sunday, November 09, 2025

CHOOSING FILMS TO WATCH IN A FILM FESTIVAL IS LIKE STOCK PICKING

 

ตัดสินใจถูกที่เราเลือกดู LANDMARKS (2025, Lucrecia Martel, Argentina, documentary, A+30) แทนที่จะไปดู KOKUHO ในวันสุดท้ายของ BKKIFF 2025 (15 ต.ค.) เพราะเราเก็งไว้แล้วว่า โอกาสที่จะได้ดู KOKUHO ในโรงใหญ่ในอนาคต มันสูงกว่าโอกาสที่จะได้ดู LANDMARKS ในอนาคต บางทีเราก็แอบรู้สึกว่าการเลือกดูหนังใน "เทศกาลภาพยนตร์" ก็เหมือนกับการเล่นหุ้น ต้องเก็งว่าหุ้นตัวไหน (หรือหนังเรื่องไหน) ควรเข้าช้อนซื้อ (หรือควรดู) ในเวลาไหน เพราะทุนทรัพย์ (หรือเวลาในการดูหนังในช่วงเวลานั้น ๆ) มีจำกัด ถ้าเก็งกำไรได้ถูก (หรือเลือกดูหนังได้ถูกเรื่อง) ก็โชคดีไป 55555

 

Edit เพิ่ม: เรามี “ทุนด้านสุขภาพ” จำกัดด้วย เราไม่สามารถนอนดึกมาก ๆ เหมือนคนอื่น ๆ ได้ เราก็เลยไม่ได้ดู LANDMARKS ในรอบดึกของวันที่ 14 ต.ค. เรามาดูในวันที่ 15 ต.ค.แทน (โดยตอนนั้นเราต้องเลือกว่าจะดู LANDMARKS หรือ KOKUHO ในเย็นวันที่ 15 ต.ค.) แต่ถ้าหากใครมี “ทุนด้านสุขภาพ” สูง เขาก็สามารถดูได้ทั้ง LANDMARKS ในรอบดึกของวันที่ 14 ต.ค. และดู KOKUHO ในวันที่ 15 ต.ค.ได้ หรืออาจจะเปรียบเทียบได้ว่า เราไม่สามารถลงทุนได้มากเท่ากับนักลงทุนบางท่านที่มีเงินทุนมากกว่าเรา (หรือมีสุขภาพดีกว่าเรา) 55555

+++

 

กิน Chapati เพื่อเป็นพลีแด่หนังเรื่อง CRAYON SHIN-CHAN THE MOVIE: SUPER HOT! THE SPICY KASUKABE DANCERS (2025, Masakazu Hashimoto, Japan, animation, A+30) พอดูหนังเรื่องนี้จบแล้วทำให้อยากกิน Chapati อย่างรุนแรง

 

ส่วนแกงข้าง ๆ คือ paneer makhani creamy

+++

 

BLESSED (2025, Chatnapa Amornratpipat, 29min, A+25)

 

1. ชอบการคิดค้นลัทธิประหลาด ๆ อะไรแบบนี้แล้วเอามาใส่ไว้ในหนัง

 

2. ชอบความระหองระแหงระหว่างแม่กับลูกสาวในหนังเรื่องนี้ด้วย

 

3. นึกว่าต้องฉายควบกับ THE POWER OF THE UNIVERSE พลังจักรวาล (2018, Kullapat Klatanakan, documentary, A+30) และ LOURDES (2009, Jessica Hausner, Austria, A+30) เพราะหนังทั้ง 3 เรื่องพูดถึงความเชื่อในการรักษาโรคโดยอาศัยพลังเหนือธรรมชาติเหมือนกัน

++++

 

หลังจากดู “อาถรรพ์สมองผี” (1983, Lo Lieh, Hong Kong, A+30) และหนังหลาย ๆ เรื่องของ Kuei Chih-hung ไปแล้ว ก็เลยทำให้อยากดูหนัง cult ของฮ่องกงในทศวรรษ 1970-1980 อีกหลายเรื่องมาก ๆ มั่นใจว่ามันต้องมีหนังเฮี้ยน ๆ อีกมากมาย และควรมีคนจัดเทศกาลภาพยนตร์รีโทรหนัง cult ของฮ่องกงเหล่านี้

 

ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงเรื่องนี้ด้วย THRILLING BLOODY SWORD (1981, Chang Hsin-yi) หนังเรื่องนี้มีให้ดูในยูทูบนะ แต่เรายังไม่ได้ดู เราดูแค่ trailer แล้วก็กราบตีนมาก ๆ นึกว่าต้องปะทะกับหนังของ “สมโพธิ แสงเดือนฉาย” ทำไมหนังยุคนั้นมันถึง cult ได้ขนาดนี้

 

คือแค่เห็นโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ก็รู้ว่าต้องเข้าชิงรางวัล BEST COSTUME DESIGN อย่างแน่นอน 55555

++++

 

กินอาหารเวียดนามเพื่อเป็นพลีแด่หนังเรื่อง KY NAM INN (2025, Leon Le, Vietnam, A+30), ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ที่น่ารักมาก ๆ และ Lien Binh Phat ดาราหนุ่มสุดหล่อของหนังเรื่องนี้

 

พอกินแล้วก็เลยพบว่า ตัวเองชอบผักแพวมาก ๆ

 

ฉันรักเขา Lien Binh Phat ดารานำของ KY NAM INN (2025, Leon Le, Vietnam, A+30)

 

ภาพไม่ได้มาจากหนังเรื่องนี้นะ

+++

 

หนังสั้นเรื่อง SON ของ Micha Volders ผู้กำกับชาวเบลเยียม ได้ฉายใน Itaewon Film Festival นำแสดงโดย วชร กัณหา

https://www.instagram.com/p/DOqNeZUCKT3/

 

Saturday, November 08, 2025

BONE VOYAGE

 

BONE VOYAGE (2025, Suppachai Jantimee, 23min, A+/A)

 

1. หนังมีไอเดียสร้างสรรค์ที่ดีมาก เราชอบที่ไอเดียด้านเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้มันดูแปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร และเราว่าจุดนี้จะเป็นจุดสำคัญที่ช่วยให้เราจดจำหนังเรื่องนี้ได้เป็นเวลานาน

 

2. แต่เสียดายที่เราไม่ซื้อไอเดียของหนังเรื่องนี้น่ะ คือเราชอบ “ความแปลกใหม่” ของมัน แต่โดยส่วนตัวแล้วเราเป็นคนที่ไม่เชื่อว่าวิญญาณจะถูกผูกติดอยู่กับเถ้ากระดูก เราก็เลยรู้สึกก้ำกึ่งกับไอเดียของหนังเรื่องนี้

 

3. แล้วพอมันเป็นหนังที่พูดถึงความรักความผูกพันระหว่างสมาชิกครอบครัว เราก็ไม่อินกับหนังไปเลย 55555 ซึ่งจุดนี้ไม่ใช่ความผิดของหนังแต่อย่างใด

 

4. แต่ก็ชอบที่หนังเรื่องนี้มันมีฉากหน้าเป็นหนังผีแอบเสิร์ด ตลกหน่อย ๆ ประหลาดหน่อย ๆ แต่จริง ๆ แล้วหนังมันคงสะท้อนชีวิตของผู้คนโดยทั่วไปที่พอสูญเสียพ่อหรือแม่ คนคนนั้นคงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง หรือต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อรับมือกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นให้ได้

+++

ต้องรอถึง 1 ม.ค.กว่าจะได้ดู You and Idol Pretty Cure the Movie: For You! Our Kirakilala Concert! (2025, Hiroyuki Yoshino, Japan, animation, 71min) แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะจะได้ไม่ชนกับเทศกาลหนังสั้น

 

อยากดูหนังเรื่องนี้อย่างสุดขีด "น้ำฝน น้ำค้าง น้ำร้อน" (1988, Michael Mak) นำแสดงโดย จงฉู่หง, จางม่านอวี้, เจิ้นอวี้หลิง นึกว่าต้องรีบจองบทว่าเราจะรับบทเป็นใครในหนังเรื่องนี้ ก่อนที่จะถูกเพื่อนกะเทยแย่งบทไป

Friday, November 07, 2025

LOST CAT (2025, Thanabat Wiphachon, 22min, A+30)

 

SENSES OF CINEMA ออนไลน์ฉบับใหม่มีบทความน่าอ่านเยอะแยะมากมาย อย่างเช่น

 

1. บทความ 2 ชิ้นเกี่ยวกับมิวสิควิดีโอของ Madonna

 

2. บทความ 2 ชิ้นที่วิเคราะห์มิวสิควิดีโอของ Kylie Minogue โดยเฉพาะ MV เพลง WHAT DO I HAVE TO DO

 

3. บทความเกี่ยวกับหนังดี ๆ หลายเรื่องในเทศกาลภาพยนตร์ Locarno ซึ่งหนังเหล่านี้ต่างก็เพิ่งเข้ามาฉายในเทศกาล BKKIFF และเป็นหนังที่จะติดอันดับประจำปีของเราอย่างแน่นอน อย่างเช่น GOD WILL NOT HELP, DRACULA (Radu Jude), DRY LEAF, “TWO SEASONS, TWO STRANGERS”

 

4. และที่เราร้องกรี๊ดสุดเสียง ก็คือบทความเกี่ยวกับหนังเรื่อง RESURRECTION (2025, Bi Gan, China, A+30) เพราะเรามองว่าหนังเรื่องนี้มันพูดถึงความกังวลเรื่อง Death of Cinema และตัวบทความนี้ก็น่าจะพูดถึงประเด็นเดียวกัน แต่เรายังไม่ได้อ่านบทความนี้นะ

 

เนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความนี้ของ Wang Xinyuan


Resurrection invites the audience to reflect on cinema as a way of world-perceiving, its origin, and its future. The dialogue with André Bazin could be made out in the last camera movement of the single-shot sequence: in the foreground is the young couple, whose romance just survived the last night of the last century; in the background the boat window frames a CinemaScope aspect ratio, the “cinematic” aspect ratios adopted by the previous three stories: a frame-within-a-frame, a mise-en-abyme (centripetal), but also a window-within-a-window, a cache placed over the sunrise scene on the river (centrifugal). This composition therefore creates a cinema/reality dichotomy within the film. As the camera slowly moves towards the window, gradually expanding the aspect ratios, filling the view with the pink rays of the sunrise, Resurrection manages to take us beyond the screen, to confront us with the millennial daybreak of a “post-cinematic” world, perceived by senses in secret transformation.

++++

 

ตอนนั้นมีการจัด KING HU RETROSPECTIVE อย่างไม่เป็นทางการ เราก็เลยได้ดูหนังหลาย ๆ เรื่องของ King Hu ในงานนี้ และส่งผลให้ THE FATE OF LEE KHAN (1973, King Hu, Hong Kong/Taiwan) ติดอันดับ 7 ของเราประจำปี 2011

+++

 

LOST CAT (2025, Thanabat Wiphachon, 22min, A+30)

 

1. ชอบหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรง ชอบที่หนังมันนำเสนอตัวละครที่เหมือนประสบปัญหาหลายอย่างในชีวิตพร้อม ๆ กัน ซึ่งได้แก่ แมวหาย, ว่างงาน และต้องสานสัมพันธ์กับพ่อ

 

เหมือนอย่างที่เราเคยเขียนไปหลายครั้งแล้วว่า เราชอบหนังทำนองนี้เพราะมันทำให้นึกถึงชีวิตของตัวเราเองที่อาจจะประสบปัญหาหลายอย่างประดังประเดเข้ามาในเวลาเดียวกันน่ะ ทั้งปัญหาครอบครัว, การเงิน, การทำงาน, สุขภาพ, อุบัติเหตุ, ตบกับเพื่อน, หาผัวไม่ได้, ตบกับเพื่อนบ้าน, ตบกับแม่ค้า, etc. เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่ค่อยชอบหนังที่พยายามลดทอนความซับซ้อนของชีวิตลงเพื่อให้เหลือประเด็นหลักประเด็นเดียวอะไรทำนองนี้ เรามักจะชอบหนังที่นำเสนออะไรต่าง ๆ ที่เหมือนไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับประเด็นหลักมากกว่า เพราะเราว่าหนังแบบนี้นี่แหละที่ตรงกับชีวิตเรา

 

2. เราดูหนังเรื่องนี้ผ่านมานานหลายสัปดาห์แล้ว เราก็เลยจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่ถ้าหากเราจำไม่ผิด เรารู้สึกเหมือนกับว่า สิ่งที่มีความสำคัญ หรือสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจ ต่อตัวพระเอก จริง ๆ แล้วก็คือ “แมว” ไม่ใช่ “พ่อบังเกิดเกล้า” ของพระเอกหรือเปล่านะ ถ้าหากเราจำผิดเราก็ต้องขออภัยด้วย

 

3. จำได้ว่าเราชอบฉากพระเอกคุยกับพ่อมาก ๆ แต่เราจำรายละเอียดในฉากนั้นไม่ได้แล้ว

 

4. อยากให้มีคนทำ retrospective ภาพยนตร์ที่แสดงโดย “สายฟ้า ตันธนา” แล้ววิเคราะห์ “บทบาทของพ่อ/ผู้ชายวัยกลางคนในสังคมไทย” จากหนังเหล่านี้ 55555

+++

 

ฉันรักเขา Ben Wang from THE LONG WALK (2025, Francis Lawrence, A+30)

 

รู้สึกเฉย ๆ กับ Ben Wang มาก ๆ ตอนที่เขาเล่นเป็นพระเอกใน KARATE KID: LEGENDS (2025, Jonathan Entwistle, A-) แต่ทำไมพอเขามาเล่นเป็นตัวประกอบใน THE LONG WALK เรากลับรู้สึกว่าเขาน่ารักมาก ๆ ชอบเวลาที่เขาเดินงุด ๆ พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะก้าวเดินต่อไป บางทีอาจจะเป็นที่ “ตัวละคร” ที่เขาเล่น ที่ทำให้เรารู้สึกชอบเขาอย่างรุนแรงขนาดนี้

 

เป็นเรื่องบังเอิญดีที่เราได้ดู THE LONG WALK ในเวลาไล่เลี่ยกับ BEFORE YOUR EYES – VIETNAM (1981, Harun Farocki, A+30), THE MASTERMIND (2025, Kelly Reichardt, A+30) และ PRIMITIVE WAR (2025, Luke Sparke, A+15) เพราะหนังทั้ง 4 เรื่องนี้พูดถึงสงครามเวียดนามในแง่มุมที่ไม่ซ้ำกันเลย เหมือนหนังทั้ง 4 เรื่องนี้ช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกัน 55555

 

1. THE MASTERMIND พูดถึงประชาชนที่เป็น ignorant ในช่วงสงครามเวียดนาม

 

2. THE LONG WALK ทำให้เรานึกถึงผู้ชายสหรัฐจำนวนหนึ่งที่เข้าร่วมสงครามเวียดนามเพราะถูกเกณฑ์ทหาร และเพราะถูกแรงกดดันต่าง ๆ จากสังคม และพวกเขาเผชิญกับความยากลำบากอย่างแสนสาหัสในช่วงสงคราม

 

3. PRIMITIVE WAR แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันนี้บาดแผลที่สังคมได้รับจากสงครามเวียดนามหายดีในระดับหนึ่งแล้ว สิ่งนี้ก็เลยนำมาใช้เป็นฉากหลังในหนังแฟนตาซีแบบนี้ได้ 555 (ในขณะที่เรายังไม่เห็นว่า เหตุการณ์ 9/11 ถูก exploit แบบนี้ ซึ่งบางทีอาจจะเป็นเพราะว่า บาดแผลจากเหตุการณ์ 9/11 ยังไม่หายสนิท)

 

4. BEFORE YOUR EYES – VIETNAM แสดงให้เห็นถึงประชาชนกลุ่มที่ต่อต้านสงครามเวียดนาม และหนังเหมือนเน้นสำรวจว่า ทำไมประชาชนกลุ่มนี้ถึง “ไม่มีความสุข” ทั้ง ๆ ที่เวียดนามเหนือเป็นฝ่ายชนะในสงคราม

  

Thursday, November 06, 2025

CHINA TIMELINE UPDATE

 เริ่มงงว่าละครทีวีฮ่องกงที่เราดูตอนเด็ก ๆ เนื้อเรื่องมันเกิดในยุคไหน ก็เลยลองทำตารางเวลาดู โดยเอามาจาก wikipedia 55555 บางอันไม่ใช่ชื่อเรื่องของ “ละคร” นะ แต่เป็นอะไรในละครที่เรามักได้ยินชื่อบ่อย ๆ เราก็เลยเอาชื่อมาใส่ไว้ด้วย


ปีที่ลงไว้ก็ไม่ใช่ปีที่เนื้อเรื่องเกิดนะ แต่ส่วนใหญ่เป็นปีของจักรพรรดิในยุคนั้น บางอันก็เป็นปีเกิด-ปีตาย บางอันก็เป็นปีครองราชย์ หรือบางอันก็เป็นปีของราชวงศ์ที่เนื้อเรื่องเกิด หรือบางอันก็เป็นปีอะไรสักปีในยุคของเนื้อเรื่องนั้นหรือบุคคลคนนั้น ขึ้นอยู่กับว่า wikipedia ให้ข้อมูลอะไรไว้ 55555

--ตำราพิชัยสงครามซุนวู (BC 600)

--ขงจื๊อ (BC 551-479)

--ไซซี (BC 506)

--หวังเจาจวิน (BC 39)
ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก

--จิ๋นซีฮ่องเต้ (BC 260-210)

--ม่านประเพณี THE LOVERS (1994, Tsui Hark) เนื้อเรื่องเกิดในราชวงศ์จิ้น (AD266-240)

--สามก๊ก + เตียวเสี้ยน (AD 220-280)
SHADOW (2018, Zhang Yimou)

--เจ้าหญิง Liu Chuyu ราชวงศ์หลิวซ่ง ในยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ เสียชีวิตในปี 466

--ปรมาจารย์ ตั๊กม้อ
คริสต์ศตวรรษที่ 6 จักรพรรดิเหลียงอู่ (502-549) ราชวงศ์เหลียง

--ศึกลำน้ำเลือด (1986) THE GRAND CANAL
ปลายราชวงศ์สุย (581-618)

--พระถังซัมจั๋ง (602-664)

--ซิยิ่นกุ้ย (614-683)
ราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง

--บูเช็กเทียน (624-705)

--พระนางจามเทวี (633-731)
อันนี้ก็ไม่เกี่ยวกับละครฮ่องกง แต่อยากรู้ว่าอยู่ตรงจุดไหนใน timeline ปรากฏว่าอยู่ยุคเดียวกับบูเช็กเทียนและพระถังซัมจั๋งด้วย รุนแรงมาก

--หยางกุ้ยเฟย (719-756)
จักรพรรดิเสวียนจง ราชวงศ์ถัง

--CHANG AN (2023, Xie Junwei, Zou Jing, China, animation, 168min, A+30)
เนื้อเรื่องเกิดในยุคราชวงศ์ถัง ยุคเดียวกับ “หยางกุ้ยเฟย” เพราะตัวละครพูดถึงหยางกุ้ยเฟยเป็นระยะ ๆ โดยเนื้อหาของหนังกินเวลานานหลายสิบปี และครอบคลุมช่วงกบฏ An Lushan (755-763 AD)

--CURSE OF THE GOLDEN FLOWER (2006, Zhang Yimou)
ราชวงศ์ถัง 618-907

--THE BANQUET (2006, Feng Xiaogang)
ปลายราชวงศ์ถัง + ยุคห้าราชวงศ์

--14 นางสิงห์เจ้ายุทธจักร
จักรพรรดิซ่งไท่จง ราชวงศ์ซ้องเหนือ ครองราชย์ 976-997

--เปาบุ้นจิ้น (999-1062 )
ราชวงศ์ซ้อง

--8 เทพอสูรมังกรฟ้า
ราชวงศ์ซ้อง

--GENGHIS KHAN
1155-1227

--มังกรหยก
ราชวงศ์ซ้องใต้ สิ้นสุด1279

--จางซันฟง
1247-1459 อายุมากกว่า 200 ปี?????
ราชวงศ์ซ้อง, หยวน, หมิง

--ANDREI RUBLEV (1966, Andrei Tarkovsky)
1360-1430
อันนี้ไม่ใช่ละครทีวีฮ่องกง แต่มันพูดถึงการรุกรานของชาวมองโกลในรัสเซีย เราก็เลยอยากรู้ว่ามันอยู่ยุคไหน

--พระเจ้าติโลกราช (1409-1487)
อันนี้ก็อยากรู้ว่าถ้าเทียบกันแล้วจะอยู่ตรงจุดไหนใน timeline เพราะเห็น wikipedia บอกว่าจักรพรรดิจีนแห่งราชวงศ์หมิงยกย่องพระเจ้าติโลกราช

--กระบี่ไร้เทียมทาน + ยอดยุทธจักรมังกรฟ้า
ราชวงศ์หมิง (1368-1644)

--ศึกสองนางพญา (1981) PRINCESS CHEUNG PING
ปลายราชวงศ์หมิง (สิ้นสุด1644)

--อุ้ยเสี่ยวป้อ
จักรพรรดิคังซี (1661-1722) ราชวงศ์ชิง

--PETER THE GREAT (1986, miniseries)
RUSSIA, 1672-1725
อันนี้ก็ไม่ใช่ละครฮ่องกง แต่เราอยากรู้ว่ามันอยู่ยุคไหน

--ศึกสายเลือด
ราชวงศ์ชิง จักรพรรดิยงเจิ้ง ครองราชย์ 1722-1735

--จอมใจจอมยุทธ์
เฉียนหลงฮ่องเต้ (1711-1796) ราชวงศ์ชิง

--THE WARLORDS (2007, Peter Chan, Wai-Man Yip)
1860s ราชวงศ์ชิง

--หวงเฟยหง
1847-1924

--BODYGUARDS AND ASSASSINS (2009, Teddy Chan)
1905 (ซุนยัดเซ็น)

--Ip Man
1893-1972

--SHAOLIN (2011, Benny Chan)
1920s

HANS-JURGEN SYBERBERG

 

HANS-JURGEN SYBERBERG

 

เห็นพี่สนธยาเขียนถึง Hans-Jurgen Syberberg เราก็เลยขอจดบันทึกความทรงจำที่เรามีต่อผู้กำกับท่านนี้บ้าง เราชอบ Hans-Jurgen Syberberg อย่างรุนแรงมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ และก็เห็นด้วยกับพี่สนธยามาก ๆ ที่ว่า หนังของเขาเทียบกับหนังของ Jean-Marie Straub + Daniele Huillet ได้เลย เพราะหนังของเขามีการ quote บทประพันธ์คลาสสิคต่าง ๆ มากมาย และมีลักษณะความเป็นหนังทดลองสูงมาก เพราะในหนังหลาย ๆ เรื่องของเขานั้น เราจะไม่ได้เห็นตัวละครออกมาแสดงบทบาทตามเนื้อเรื่องโดยตรง แต่เราจะเห็นตัวละครออกมา “เล่าเรื่องด้วยปาก” แล้วให้ผู้ชมจินตนาการภาพตามเนื้อเรื่องที่ตัวละครเล่าออกมาจากปาก ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด

 

แต่ถ้าหากเทียบกับ Straub/Huillet แล้ว เราว่าหนังของ Syberberg ดูง่ายกว่าเยอะมากเลยนะ ดู “บันเทิง” กว่าหนังของ Straub/Huillet มาก ๆ แต่อันนี้เป็นการเทียบกันโดยรวมจากหนังเพียงไม่กี่เรื่องที่เราเคยดูมานะ เพราะถ้าหากเทียบกันแบบเรื่องต่อเรื่องแล้ว หนังบางเรื่องของ Straub/Huillet อย่างเช่น MOSES AND AARON (1975) เราว่าก็ดูแล้วบันเทิงกว่า PARSIFAL (1982, Hans-Jurgen Syberberg, West Germany, 4hrs 15mins, A+30) 55555

 

ในส่วนของคนที่ไม่เคยดูหนังของ Syberberg มาก่อนนั้น เราว่าหนังที่เด็กรุ่นใหม่น่าจะเคยดู แล้วทำให้เรานึกถึง Syberberg อย่างรุนแรง ก็คือ TESLA (2020, Michael Almereyda, A+30) คือถ้าหากคุณเคยดู TESLA แล้วชอบหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงเหมือนเรา คุณก็อาจจะชอบหนังของ Syberberg ได้ไม่ยาก เพราะว่าหนังของ Syberberg บางเรื่อง มันเล่าถึง “บุคคลในประวัติศาสตร์” แต่มันเป็นหนังที่ “เน้นความไม่สมจริงอย่างรุนแรง” มันเป็นหนังที่จงใจทำให้ทุกอย่างในหนัง “ดูผิดยุคผิดสมัย” ไปหมด เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมคิดถึงความเชื่อมโยงระหว่างอดีตเมื่อ 100-200 ปีก่อนกับปัจจุบัน หรือกระตุ้นให้ผู้ชมคิดถึงพัฒนาการอย่างต่อเนื่องของสิ่งต่าง ๆ ในช่วง 100-200 ปีที่ผ่านมา

 

คือในหนังเรื่อง TESLA นั้น เนื้อหาของหนังมันอาจจะเกิดขึ้นเมื่อราว 100 กว่าปีก่อน แต่เราจะเห็นอะไรต่าง ๆ ที่ไม่ใช่สิ่งของในยุคนั้นปรากฏอยู่ในหนังอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งรวมถึงเพลงต่าง ๆ ด้วย และความจงใจผิดยุคผิดสมัยอะไรแบบนี้นี่แหละก็อยู่ในหนังของ Syberberg บางเรื่องด้วยเหมือนกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราชอบสุดขีดในหนังของ Syberberg

 

ในส่วนของหนังไทยนั้น เราว่า “พระร่วง มหาศึกสุโขทัย” (2025, Chartchai Ketnust, A+30) ก็มีบางจุดที่ทำให้นึกถึงหนังของ Syberberg เพราะหนังบางเรื่องของ Syberberg นำเสนอ “เหตุการณ์ในอดีตนานโพ้น” แต่ตัวหนังทำให้เรารู้สึกว่า เรา “กำลังดูละครเวทีอยู่ในยุคปัจจุบัน” และตัวหนังจะพยายามเชื่อมโยงอะไรต่าง ๆ ในอดีตให้เข้ากับอะไรต่าง ๆ ในปัจจุบัน และเราว่าอะไรแบบนี้ในหนังของ Syberberg ก็เป็นสิ่งที่พบได้ในหนังเรื่อง “พระร่วง มหาศึกสุโขทัย” ด้วยเหมือนกัน

 

หนังของ Syberberg ที่เราเคยดู

 

1. LUDWIG – REQUIEM FOR A VIRGIN KING (1972, 140min, A+30)

 

หนังเรื่องนี้นี่แหละที่ฉายควบกับ TESLA ได้เลย เพราะเนื้อหาของหนังมันพูดถึง King Ludwig (1845-1886) แห่งบาวาเรีย แต่เนื้อหาในหนังกลับพาดพิงไปถึงนาซี (ซึ่งน่าจะเพิ่งเกิดขึ้นในทศวรรษ 1930) และตัวละครในหนังก็พูดถึงศิลปินในยุคปัจจุบัน อย่างเช่น Werner Schroeter และ Niki de Saint Phalle ด้วย ซึ่งเราชอบความไม่สมจริง หรือความผิดยุคผิดสมัยแบบนี้อย่างรุนแรงมาก และเราว่ามันช่วยกระตุ้นให้เราคิดถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างแนวคิดทางการเมืองในแต่ละยุคสมัย และพัฒนาการทางศิลปะ อะไรทำนองนี้ด้วย

 

2. SYBERBERG FILMS BRECHT (1972, 91min)

 

Syberberg เคยใช้กล้อง 8 มิลถ่าย “ละครเวที” ของ Bertolt Brecht ในปี 1953 ก่อนจะนำฟุตเตจนั้นมาตัดต่อใหม่เป็นภาพยนตร์เรื่องนี้

 

ซึ่งเราว่า Syberberg ก็น่าจะได้รับอิทธิพลอย่างรุนแรงมาจาก Brecht เพราะหนังของ Syberberg มันทำให้ผู้ชมรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่ากำลังดูหนังอยู่จริง ๆ 55555

 

3. THEODOR HIRNEIS OR HOW TO BECOME A FORMER COURT COOK (1972, 84min, A+30)

 

This is one of my most favorite films of all time กราบตีนอย่างถึงที่สุดของชีวิต เราเคยดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกที่สถาบันเกอเธ่ในกรุงเทพในเดือนพ.ค. 2001 แล้วเราก็เขียนบรรยายความรู้สึกที่มีต่อหนังเรื่องนี้ลงใน imdb ในเดือนพ.ค. 2001 ด้วย แต่เราเขียนยาว เพราะฉะนั้นเราจะ copy สิ่งที่เราเขียนใน imdb มาแปะในส่วนท้ายของโพสท์นี้ก็แล้วกัน เผื่อใครขี้เกียจอ่านจะได้ไม่ต้องอ่านช่วงท้าย ๆ

 

หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องของ King Ludwig เหมือนหนังอีกเรื่องของ Syberberg แต่เล่าผ่านทางมุมมองของ “พ่อครัวประจำพระองค์” และหนังใช้วิธีการเล่าเรื่องที่เรากราบตีนมาก ๆ เพราะว่าแทนที่หนังเรื่องนี้จะจ้างนักแสดงหลายคนให้มารับบทเป็นเชื้อพระวงศ์ และแทนที่หนังเรื่องนี้จะสร้าง “ฉากปราสาทราชวังที่หรูหราสง่างามให้เหมือนกับในอดีต” หนังเรื่องนี้กลับใช้นักแสดงเพียงแค่คนเดียว และให้เขามาเดินเล่าเรื่องราวในอดีตไปเรื่อย ๆ ขณะที่เขาเดินเที่ยวชมปราสาท “ในยุคปัจจุบัน”

 

คือแทนที่หนังเรื่องนี้จะต้องลงทุนเป็นเงินหลายล้านมาร์คหรือดอลลาร์ไปกับ “ค่าเครื่องแต่งกาย”, “ค่าสร้างฉาก” และค่าจ้างนักแสดง หนังเรื่องนี้กลับไม่ต้องลงทุนไปกับอะไรพวกนี้เลย แต่เป็นหนังที่ใช้ “ทุนสมอง” ของจริง คือเป็นหนังที่มีการ research ประวัติศาสตร์มาเป็นอย่างดี เพื่อที่จะได้เขียนบท monologue ที่มีความยาว 80 นาทีให้ได้ดี แล้วก็มีการสำรวจสถานที่มาเป็นอย่างดี พอหนังจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้วโดยใช้ทุนสมองเป็นหลัก (แต่แน่นอนว่า การ research ข้อมูลอย่างหนักเพื่อที่จะเขียนบทให้ได้ดี ก็ต้องใช้เงินจำนวนหนึ่ง) หนังก็ถ่ายทำโดยให้นักแสดงคนเดียวพูดไปเรื่อย ๆ พร้อมกับเดินเที่ยวปราสาทราชวังไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง แต่ตัวหนังมันออกมาวิเศษสุดมาก ๆ ชนะหนัง period, หนัง costume drama อีกหลายพันหลายหมื่นเรื่องบนโลกนี้ไปเลย

 

แน่นอนว่า มีหนังไทยที่ทำออกมาคล้าย ๆ กันนี้เหมือนกัน และเป็นหนังที่เหมาะฉายควบกับหนังเรื่องนี้อย่างสุด ๆ นั่นก็คือหนังเรื่อง MANUS CHANYONG ONE NIGHT AT TALAENGGAENG ROAD (2008, Phaisit Phanphruksachat, 38min, A+30)

 

4. KARL MAY (1974, 3hrs 7mins, A+30)

 

5. HITLER: A FILM FROM GERMANY (1977, 7hrs 22mins, A+30)

 

สุดยอดภาพยนตร์ของจริง กราบตีนมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เราเคยเขียนเปรียบเทียบหนังเรื่องนี้กับละครเวทีเรื่อง “สีดา:ศรีราม?” ในปี 2005 ลง blog ของเราเองด้วยนะ เดี๋ยวเราจะ copy เนื้อหาส่วนนั้นมาแปะในช่วงท้าย ๆ ของโพสท์นี้

 

6. PARSIFAL (1982, 4hrs 15mins, A+30)

 

หนังโอเปร่าที่งดงามมาก ๆ

 

เราอยากดูหนังของ Syberberg อีกหลายเรื่องมาก ๆ โดยเฉพาะหนังเรื่อง THE NIGHT (1985) ที่มีความยาวเพียงแค่ 6 ชั่วโมง 7 นาที และเป็นหนังที่ส่งผลให้ Edith Clever ได้รับรางวัลเยอรมัน ฟิล์ม อวอร์ดสาขาดารานำหญิงยอดเยี่ยมด้วย โดยในหนังที่มีความยาว 6 ชั่วโมงเรื่องนี้ นางเอกจะทำหน้าที่อ่านงานเขียนต่าง ๆ ของ Johann Wolfgang von Goethe, Heinrich von Kleist, Plato, Friedrich Hölderlin, Novalis, Friedrich Nietzsche, Eduard Mörike, Richard Wagner, William Shakespeare, Martin Heidegger และ Samuel Beckett

 

ถ้าหากเราจำไม่ผิด (แต่อาจจะผิดก็ได้นะ) หนังเรื่อง THE NIGHT ได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ โดยเริ่มฉายตอน “เที่ยงคืน”!!!!!! ซึ่งส่งผลให้หนังฉายจบตอนราว ๆ 6 โมงเช้า และพอฉายจบแล้ว ผู้ชมหนังเรื่องนี้ก็ออกมานั่งกินครัวซองท์กันเป็นอาหารเช้าที่ริมชายหาด (จำไม่ได้แล้วว่า เราไปอ่านเกร็ดนี้มาจากหนังสือเล่มใด เราก็เลยไม่กล้ายืนยันว่าเราจำถูกหรือเปล่า 55555)

 

ตอนนี้ Syberberg ยังไม่ตายนะ เขาเกิดปี 1935 และตอนนี้ก็มีอายุเกือบ 90 ปีแล้ว หนังเรื่องล่าสุดของเขาคือ DEMMIN SONGS (2023) ซึ่งมีความยาวเพียงแค่ 3 ชม. 34 นาทีเท่านั้นเอง

+++++

 

อันนี้เป็นสิ่งที่เราเขียนเปรียบเทียบระหว่างหนังเรื่อง HITLER: A FILM FROM GERMANY กับละครเวทีเรื่อง “สีดา:ศรีราม?” ในปี 2005

 

“เมื่อวันเสาร์ได้ไปดูละครเวทีเรื่อง “สีดา: ศรีราม?” (พรรัตน์ ดำรุง, A+) ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬามาค่ะ ชอบสุดๆเลย สิ่งที่ชอบมากในละครเรื่องนี้ก็คือวิธีการนำเสนอที่น่าประทับใจมาก ดูละครเวทีเรื่องนี้แล้วนึกไปถึงหนังเรื่อง HITLER: A FILM FROM GERMANY (1978, HANS-JURGEN SYBERBERG, A+) ซึ่งจริงๆแล้วหนังกับละครเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรเหมือนกันเลย เพียงแต่ดิฉันรู้สึกว่าทั้งสองเรื่องนี้มัน “บ้าสะใจ” ดิฉันมากๆ และมันก็ทำให้ดิฉันรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดทั้งสองเรื่อง

ความรู้สึกบางส่วนที่มีต่อหนังและละครเวทีสองเรื่องนี้

--HITLER: A FILM FROM GERMANY ไม่ได้เล่าเรื่องชีวิตของฮิตเลอร์อย่างตรงไปตรงมา แต่เล่าถึงอะไรต่างๆมากมายนับไม่ถ้วนที่เกี่ยวข้องกับฮิตเลอร์ และเนื้อหาในหนังสามารถแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันได้หลายส่วน เพียงแต่ว่าทุกส่วนเกี่ยวข้องกับฮิตเลอร์เท่านั้นเอง

--“สีดา: ศรีราม?” ก็ไม่ได้ต้องการจะเล่าประวัติของนางสีดา แต่ดูเหมือนหนังต้องการจะพูดถึงอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องบทบาท, ภาพพจน์ และความคาดหวังที่มีต่อผู้หญิง โดยละครเวทีเรื่องนี้สามารถแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆได้หลายส่วนที่ดูเหมือนไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกัน

--HITLER: A FILM FROM GERMANY มีหลายส่วนที่มีลักษณะของละครเวที, มนตร์เสน่ห์ของละครเวที, “หมอกควัน” แห่งละครเวที, และมีการใช้เทคนิคการนำเสนอที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงของเรื่อง ในบางช่วงตัวละครก็ออกมาเล่นหุ่นเชิด, บางช่วงก็ให้นักดาราศาสตร์ (ถ้าจำไม่ผิด) มาบรรยายให้ผู้ชมฟัง, บางช่วงก็เลียนแบบหนังเรื่อง M, บางช่วงก็พูดถึงลูกน้องฮิตเลอร์, อีกช่วงก็ให้คนใช้ฮิตเลอร์มารำลึกอดีตให้ผู้ชมฟัง

--“สีดา: ศรีราม?” ก็มีเทคนิคการนำเสนอที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเช่นกัน บางช่วงก็ดูเหมือนหนังหลอนของ DEREK JARMAN, บางช่วงก็เป็นละครเวทีที่ตัวละครพูดคุยกันเอง, บางช่วงก็เป็นละครเวทีที่ให้ตัวละครออกมาพูดตรงๆกับผู้ชม (เรียกว่า monologue หรือเปล่า ดิฉันก็ไม่แน่ใจ), บางช่วงก็เป็นการร่ายรำ, บางช่วงก็ฉายสไลด์ แถมยังมีการใช้อะไรคล้ายๆหนังตะลุงมาประกอบด้วย

--แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ HITLER: A FILM FROM GERMANY ไม่ได้ทำให้ดิฉันรู้สึกตื่นตะลึงอย่างสุดขีดกับ “การแสดง” ของนักแสดงในเรื่อง แต่ตื่นตะลึงกับไอเดียของผู้กำกับหนัง ส่วน “สีดา: ศรีราม?” ทำให้ดิฉันรู้สึกตื่นตะลึงกับทั้งการกำกับและการแสดงเป็นอย่างมาก

สีดา:ศรีราม?” ใช้นักแสดงเยอะมาก บางคนก็อาจจะไม่ดีหรือไม่เด่นเท่าไหร่ แต่มีมากมายหลายคนทีเดียวที่เล่นได้ถูกใจดิฉันมากๆ มีอยู่สองคนที่แสดงอารมณ์ออกมาได้สุดขีดคลั่งจนน่าตกใจมาก, บางคนก็ดูสง่าดี และมีอยู่คนนึง (คนที่ออกมาร่ายรำ) ที่ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเธอเหมาะจะไปอยู่ในหนังของ MARGUERITE DURAS อย่างมากๆ เพราะเธอมีความนิ่งแบบทรงพลัง, ลึกลับ, น่ายำเกรง และดูเป็นเจ้าแม่มากๆ”

+++++

 

ส่วนอันนี้เป็นสิ่งที่เราเขียนถึงหนังเรื่อง THEODOR HIRNEIS OR HOW TO BECOME A FORMER COURT COOK ลงใน imdb ในปี 2001

An exceptionally pleasant and friendly mind trip

 

Though I like costume-period movies with lavish sets and all the extravaganza, I often wondered if the stories in those movies could be told in another way, if they could be told in a minimalist style, using shoestring budget, if the visual element of those movies really has to be breathtakingly beautiful and spectacular. Are there any other ways? I also wondered what the result would be like if one dared to take a different approach to tell the same story. After seeing `La fausse suivant' be Benoit Jacquot and `Theodor Hirneis,' I know I've found the answer, and I know I've found what I'm searching for. These two movies, the former presenting characters without sets, the latter presenting sets without characters, are as effective, funny, and entertaining as, if not more than, the best costume-period movies. `Theodor Hirneis' deserves a lot of praise not only because it represents the boldness of the director, not only because it is innovative, not only because it is `different', not only because it cost so little, but because it also has many other good things about it. I love many things in this movie, and what I'm writing here can represent only `a part' of its virtues.

I have to admit that I'm not familiar with `Syberberg' at all, so what's innovative in my point of view might be an old storytelling method used in many other movies that I've never seen. However, for me, this is the first time I encounter this method. This movie tells a story of a court cook under King Ludwig II based on the memoir of the cook. This memoir can be easily adapted to make a costume-period movie, but Syberberg didn't choose that way. He chose to have a narrator walking through many beautiful palaces in the present time, quoting the memoir and giving his own comments from time to time. All is said in monologue. Thus, this movie has both the feelings of seeing a documentary and reading a book at the same time, but it also gives so many other feelings.

One of the many good things about this movie is its humour. Because the memoir tells about the madness of King Ludwig, one can't help laughing a lot at his crazy activities, but still feels sympathy for his servants. Apart from this amusement which can also be achieved by a much-more-expensive costume-period movie, I am more impressed by what this movie can achieve, but costume-period movie can never achieve.

Though I can't understand 100 % of the English subtitles as I'm not a native English speaker, it is not difficult to follow the story of the cook and his King, and when can follow the story, one can see `the story' played out in his mind, in his own imagination. Thus, seeing this movie is like seeing two movies at the same time: one you see with your eyes, the other you envision in your mind. I have never experienced something like this before. How can the simplest technique in storytelling create something so extraordinary like this? A costume-period movie can only make me see or experience one movie, not two simultaneously.

For me, this kind of technique results in at least two great advantages that costume-period movies can never achieve. One is that you can see the differences between the movie you see and the movie you envision. Your eyes see the present, but your mind sees the past. Your eyes see the empty room, but your mind sees people in that room. Your eyes see a calm and peaceful atmosphere in the film, but your mind senses the turbulence, the tension, the fear, and the deadly mystery in the story. Your eyes see the smile and friendly attitude of the narrator, but your mind sees the madness of Ludwig and the sorrow state of people who had to work for him. This movie has proved that to tell effectively the absurdity of people who had too much power or money, you don't have to use much money. You can tell it by the cheapest way possible. However, this technique of contrasting the present and the past doesn't always make the audience feel bad for King Ludwig, because I think the contrast becomes most striking, the difference reaches its climax, when the narrator says,'Without the King, the magic is gone.'

The other advantage of this technique is that by letting the audience imagining by themselves, the audience have the same pleasure as they would have by reading the memoir. While most films don't give the audience a chance to imagine, this film provides plenty of chances, and seeing this film has become a unique experience of filmviewing--It's a liberation. While the film itself is a kind of liberation from the normal rules of filmmaking, the audience's power of imagination is also liberated. King Ludwig can look as handsome as you wish he could be; the food can look as delicious as you want it. What picture can satisfy you more than the picture in your own imagination? Everything you see in your mind corresponds to your desire. You don't have to complain about the lighting, the costumes, the faces of actors, as you'd probably do with costume-period movies. And the act of imagining also has some fun in itself. However, while I feel liberated seeing this film, I still feel the oppression of the King's servants at the same time.

Seeing this film somehow makes me feel like I want to compare films with food. While most films can be compared to 100%-ready food that the audience must consume it as it is, this film is like 50%-ready food. The filmmaker provides you the ingredients and invites you to help him cook (by envision another movie), and you have some fun already while cooking it. And because you cook it by yourself, the taste of the food will totally correspond to your taste (everything looks the way you want it to be in the movie you envision).

However, What I'm impressed the most in this film is some feelings I can't describe, something I can't explain. Apart from the feeling of liberation and the fun of imagining, at the same time I also feel as if this film gives me a warm and cosy place to rest. While most films make me feel as if I see a room full of many things, this film makes me feel as if I see a space, and this space welcomes me to go into it. Moreover, this film gives me pleasant, comfortable, and friendly feelings. Seeing this film makes me feel as if I just had a walk in a beautiful park with a friend - a friend who doesn't force me to think the way he wants. Hardly a film can make me feel as if it is a `friend.' I feel as if the task and role of filmmakers have been expanded by this film. The definition and realm of movies have been broadened. Film is not only a carrier of messages and themes. It can also be a friend of the audience, or maybe something more than a friend, something no word has yet been assigned to. And I don't know exactly where these feelings come from. Is it because it lets me imagine? Is it because of the smile and the characteristics of the narrator? Is it because of the story? I don't know which elements (ingredients) of this film (food) that makes me feel like this. Maybe it's because of the talent of the director--If food were film, he must be a real great cook.

 

ภาพจาก THE NIGHT ที่เราอยากดูอย่างสุดขีด