Wednesday, December 11, 2024

JOKER: FOLIE A DEUX

 Favorite Scene: ทุกฉากใน WOMAN OF THE HOUR (2024, Anna Kendrick, A+30) ที่ผู้ชายพยายามจะแตะเส้นผมนางเอก แล้วนางเอกข่มความไม่พอใจไว้ภายใน หรืออะไรทำนองนี้


คือเหมือนหนังฆาตกรโรคจิตหลาย ๆ เรื่องมันเน้นความรุนแรงน่ะ แต่เราว่าหนังเรื่องนี้มันละเอียดอ่อนกว่ามาก เราก็เลยอินกับหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงมาก

เหมาะฉายควบกับ MAXXXINE (2024, Ti West, A+30) อย่างรุนแรง เหมือนนางเอกในหนังทั้งสองเรื่องนี้มีบางจุดที่ตรงข้ามกัน แต่ทั้งสองมาเพื่อตบกับฆาตกรโรคจิตจริง ๆ

คือเรารู้สึกว่า นางเอกของ WOMAN OF THE HOUR เชื่อมโยงกับ "ตัวเราในโลกแห่งความเป็นจริง" (เจอฆาตกรโรคจิต กูหนีก่อน) ส่วนนางเอกของ MAXXXINE คือ "ตัวเราในแบบที่เราอยากจะเป็น" (ใครมาแหยมกะกู กูฆ่ามึง) 55555
---
อยากให้มีการสร้างหนัง “ขุนพันธ์ ปะทะ ธี่หยด” โดยที่มีตัวละครปอบหยิบ (ณัฐนี สิทธิสมาน) คอยให้ความช่วยเหลือขุนพันธ์อย่างลับ ๆ เพราะว่าอีผีธี่หยดมาแย่งพื้นที่ทำกินของปอบหยิบ
---
Favorite Actress: Nicolette Robinson from WOMAN OF THE HOUR (2024, Anna Kendrick, A+30)

เธอเล่นหนังชีวประวัติ Donna Summer ได้เลย
---
เหมือน DOC CLUB แอบจัด RETROSPECTIVE ของ Sissy Spacek เพราะdoc club เพิ่งฉาย MISSING (1982, Costa-Gavras)  กับ CARRIE (1976, Brian De Palma) ไป 55555

อยากให้ฉาย  3 WOMEN (1977, Robert Altman) กับ THE STRAIGHT STORY (1999, David Lynch) ด้วยเลย 55555
---
เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า เราเติบโตมากับการกิน "น้ำตาลปึก" เป็นก้อน ๆ ในวัยเด็ก แบบกัดก้อนน้ำตาลปึกกินเป็นก้อน ๆ เลย มีใครเคยทำแบบเดียวกับเราในวัยเด็กบ้าง แต่พอเราเริ่มเป็นวัยรุ่น เริ่มอยากมีผัว เราก็เลยกลัวอ้วน ไม่กล้ากินน้ำตาลปึกเป็นก้อน ๆ อีก
---
ตอนเห็นทศพล หมายสุขใน 4 KINGS 2 เราไม่ชอบเขาเลย เพราะสเปคของเราไม่ใช่แบบตัวละครที่เขาเล่นใน 4 KINGS 2 แต่พอเห็นเขาใน "หลวงพี่เท่ง COMEBACK" เราก็มอบหัวใจให้เขาในทันที 5555 คือเราไม่ได้ชอบ "นิส้ยของตัวละคร" ที่เขาเล่นใน  "หลวงพี่เท่ง COMEBACK" นะ แต่เราชอบบุคลิกหน้าตาท่าทางทรงผมการแต่งกายอะไรต่าง ๆ ของตัวละครตัวนั้น ฉันรักเขา
---
เพิ่งรู้ว่าหนังเรื่อง COME, COME, COME UPWARD (1989, Im Kwon-taek, SouthKorea, A+30) ที่เคยเข้ามาฉายที่ SF CENTRAL WORLD ในเทศกาลหนังพุทธศาสนา และติดอันดับ 7 ในลิสท์หนังสุดโปรดของเราประจำปี 2012 สร้างมาจากนิยายของ Han Sung-won  ซึ่งเป็นพ่อของ Han Kang เจ้าของรางวัลโนเบลประจำปีนี้ ดูหนังเรื่องนี้ได้ในยูทูบในเร็ว ๆ นี้
---
JOKER: FOLIE A DEUX (2024, Todd Phillips, A+30)

เพิ่งได้ดูวันนี้ ร้องห่มร้องไห้หนักมาก หนักมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไปสำหรับเรา ร้องห่มร้องไห้หนักพอ ๆ กับตอนดู MONSTER (2003, Patty Jenkins)

ฉากพระะเอกร้องเพลงที่โทรศัพท์สาธารณะนี่ถือเป็น ONE OF MY MOST FAVORITE SCENES OF ALL TIME  เลย อยากตัดต่อฉากนี้เข้ากับฉาก Margit Carstensen ร้องเพลงใน BREMEN FREEDOM (1972, Rainer Werner Fassbinder) ในฐานะ "ฉากร้องเพลงที่ทำให้เราหัวใจสลาย" เหมือนกัน

ชอบมากกว่าภาคแรกมาก ๆๆๆๆๆ

ขอยกให้ JOKER: FOLIE A DEUX เป็นหนึ่งในหนังที่ทำให้เรารู้สึกงดงามที่สุดและเจ็บปวดร้าวรานหัวใจที่สุดในชีวิตของเรา
---
หนึ่งในฉากที่เราประทับใจที่สุดในปีนี้ คือฉากที่ตัวละครใน "ปอบแม่ใหญ่แดง" (2024, Panupos Pongprates, A+20) คุยกันเรื่อง  DOPPELGANGER
---
เดาว่านี่ถ้ายังมีการสร้าง "หอแต๋วแตก" อยู่ คงมีฉาก แพนเค้ก แหกออกมาจากร่าง "ผีแพนเค้ก" เพื่อล้อ THE SUBSTANCE แล้ว 555
---
ชีวิต cinephile วันนี้ คือการแดกข้าวเช้าตอน 11.30 ที่ SILOM COMPLEX, ดูหนังสั้น 26  เรื่องในงาน WILDTYPE ที่  DOC CLUB & PUB (ไม่นับหนังสั้น 1 เรื่องที่เราหลับไป เพราะเคยดูมาก่อนหน้านี้แล้ว 3 รอบ 55555) และได้มาแดกอาหารอีกทีตอน 21.45 น.ที่ BURGER KING SILOM

รอบ DOC เราซื้อตั๋วสองอัน เพราะตอนแรกเราซื้อ A3 แล้วรู้สึกมัน "แสบตา" เราเลยซื้อ C8 แทน แต่อันนี้เป็นปัญหาเฉพาะดวงตาของเรานะ ที่ SENSITIVE กับแสงมากกว่าคนปกติ
---
ฉันรักเขา ทศพล หมายสุข from THE HOLY MAN: COMEBACK หลวงพี่เท่ง COMEBACK (2024, Teng Terdteong, Note Chernyim, A+10)
---
I, THE EXECUTIONER (2024, Ryoo Seung-wan, South Korea, A+30) มีฉากสำคัญตอนท้ายเครดิต อย่าลืมรอดูจนจบเครดิตนะ
---
From the exhibition THEY FEED ON LIGHT สัตว์ ตื่น แสง by Achitaphon Piansukprasert

ชอบการถ่ายภาพ "แสงจากเครื่องใช้ไฟฟ้า" ท่ามกลางความมืดของห้องในตอนกลางคืนมาก ๆ เพราะเวลาที่เราตื่นมากลางดึก บางทีเราก็ชอบมองแสงจาก "ปุ่มเครื่องปรับอากาศ" อะไรทำนองนี้เหมือนกัน เหมือนมันเป็นอะไรบางอย่างในชีวิตประจำวันที่บางทีเราก็มองข้ามไป
---
FAVORITE CRAZY FILMS

1. SEVEN DAYS SEVEN NIGHTS (2003, Joel Cano, Cuba)

2.HEILT HITLER! (1986, Herbert Achternbusch, West Germany)

3.THE LOOK OF LOVE (2006, Yoshiharu Ueoka, Japan)

4.EDEN AND AFTER (1970,  Alain Robbe-Grillet, France)

5. AT THE HEART OF A SPARROW (2006, Barry Doupe, Canada, animation)

6.THE WITCH (2009, Alwa Ritsila + Phatamon Chitachinda, Thailand)

7.THE EXTERNAL WORLD (2010, David O'Reilly, Ireland, animation)

8.JABBERWOCKY (1971, Jan Svankmajer, Czechoslovakia, animation)

9.MONDOMANILA, OR HOW I FIXED MY HAIR AFTER A RATHER LONG JOURNEY (2012 , Khavn de la Cruz, Philippines)

10.EL TOPO (1970, Alejandro Jodorowsky, Mexico)
---
หนังของ Francis Ford Coppola ที่เราชอบมากที่สุดก็คือ PEGGY SUE GOT MARRIED รักนั้น หากเลือกได้ (1986) นะ เราชอบมากกว่า THE GODFATHER (1972) และ APOCALYPSE NOW (1979) อีก แต่เรายังไม่ได้ดู THE CONVERSATION, ONE FROM THE HEART, THE COTTON CLUB, RUMBLE FISH นะ
---
ฉันรักเขา Carlos Chan from CUSTOMS FRONTLINE (2024, Herman Yau, Hong Kong, A+30)
---
NEVER LET GO (2024, Alexandre Aja, horror, A+30)

ชอบการแสดงของ Halle Berry, การที่หนังดูเหมือนจะต่อต้าน religious fundamentalism และสิ่งที่ชอบที่สุดก็คือการสร้างบรรยากาศในหนัง เหมือนเรารู้สึกว่าบรรยากาศทั้งในบ้านและในป่ามันทรงพลังมากสำหรับเรา
---
เพิ่งรู้จากเพื่อนใน Facebook ว่า มีศาลเจ้าแม่งูจงอางตรงถนนพระรามสองด้วย อ่านเรื่องราวของเจ้าแม่งูจงอางแล้วสงสารมาก ๆ

https://mgronline.com/travel/detail/9650000050052
---
CHICKEN FOR LINDA! (2023, Sebastien Laudenbach, Chiara Malta, France, animation, F)
+ AMA GLORIA (2023, Marie Amachoukeli-Barsacq, France, about Cape Verde, A+30)

1.ใน CHICKEN FOR LINDA นั้น เราเกลียดเด็กหญิงลินดากับแม่ของเธออย่างรุนแรงที่สุด เพราะเรามองว่า สิ่งที่ทั้งสองคนนี้ทำคือการ "ขโมยสัตว์เลี้ยงของคนอื่นมากิน โดยที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่เต็มใจ และโจรสองคนนี้ก็ทึกทักไปเองล่วงหน้าว่า สัตว์เลี้ยงของคนอื่น เป็นสิ่งที่สามารถชดเชยได้ด้วยเงินน่ะ" ซึ่งในกรณีนี้อีโจรสองตัวนี้โชคดี เพราะสัตว์เลี้ยงที่มึงขโมยมาแดกไม่ได้มีคุณค่าทางจิตใจต่อเจ้าของ แต่ถ้าหากมึงไม่ได้โชคดีแบบนี้ล่ะ มึงเคยดู JOHN WICK ไหม

คือสมมุติว่าถ้าหากลินดามีพ่อเป็นเวียดนาม แล้วพ่อเคยให้ลินดากินเนื้อหมาที่อร่อยสุดขีดตอนที่ลินดายังเด็ก พอพ่อของลินดาตายไป ลินดาก็เลย "อยากทำอะไรซึ้ง ๆ เพื่อรำลึกถึงพ่อ" ด้วยการแดกเนื้อหมาอีกครั้ง ก็เลยให้แม่ไปขโมยสุนัขของคุณมากิน สุนัขที่คุณผูกพันเลี้ยงดูมานานหลายปี แล้วพอลินดากับแม่ฆ่าสุนัขของคุณและแดกมันไปเรียบร้อยแล้ว แล้วบอกว่าจะชดใช้ "เงิน" ให้คุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร คุณจะรู้สึกว่า การที่ลินดาพยายามทำอะไรซึ้ง ๆ เพื่อระลึกถึงพ่อ และการที่แม่ของลินดา "แสดงความรักอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อลูก" เป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้นในการมาฆ่าสัตว์เลี้ยงของคุณโดยที่คุณไม่เต็มใจได้ไหม

เราก็เลยเกลียดหนังเรื่อง CHICKEN FOR LINDA! อย่างรุนแรง เพราะเราเกลียดตัวละครลินดา และเรามองว่าหนังเรื่องนี้มองตัวละครตัวนี้ด้วยมุมมองที่แตกต่างจากเราน่ะ ซึ่งมันแตกต่างจากหนังเกี่ยวกับ "หญิงชั่ว" ที่เราชื่นชอบสุดขีดอย่างเช่น FEBRUARY (2015, Osgood Perkins), PEARL, BAISE-MOI, LA CEREMONIE อะไรพวกนี้ ที่ถึงแม้ตัวละครนางเอกในหนังเหล่านี้จะชั่วช้าสารเลวขนาดไหน หนังก็ไม่ได้มองว่าสิ่งที่ตัวละครเหล่านี้ทำเป็นสิ่งที่ "น่ารัก" และไม่ได้มองว่าตัวละครเหล่านี้มี "สิทธิอันชอบธรรม" ในการทำอะไรเหล่านั้นแต่อย่างใด

2.การไปขโมยของของคนอื่น โดยทึกทักเอาเองว่า ของสิ่งนั้น "สามารถชดเชยได้ด้วยเงิน" ทำให้เรานึกถึงเรื่องของหนุ่มจีนในสเปนที่ตุ๊กตาของเขาถูกขโมย เพราะเราเข้าใจหนุ่มจีนคนนั้นเป็นอย่างดี คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า สัตว์เลี้ยงของคนอื่นหรือสิ่งของของคนอื่น มันมีคุณค่าทางจิตใจต่อคนคนนั้นมากขนาดไหน ถึงแม้มันจะดูเป็นสิ่งไม่มีค่าในสายตาของคุณก็ตาม

3.ก่อนหน้านี้เราก็มีปัญหากับ "หนังเด็กของฝรั่งเศส" เรื่อง THE LITTLE GANG (2022, Pierre Salvadori, F) เหมือนกัน เพราะเรารู้สึกว่า พฤติกรรมของเด็ก ๆ ในหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ แต่หนังเหมือนจะมีมุมมองแตกต่างจากเรา

4. แต่เรากลับชอบหนังเด็กของฝรั่งเศสเรื่อง AMA GLORIA อย่างรุนแรงสุดขีด ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรมของเด็กหญิงใน AMA GLORIA นั้นเลวร้ายรุนแรงกว่าใน  CHICKEN FOR LINDA หลายเท่า เพราะเราว่าหนังเรื่อง AMA GLORIA มองสิ่งที่นางเอกทำด้วยมุมมองแบบเดียวกับเรา

คือ AMA GLORIA เล่าเรื่องของ  Cleo  เด็กหญิงวัย 6 ขวบที่รักพี่เลี้ยงของเธอที่ชื่อ Gloria เป็นอย่างมาก แต่ Gloria เพิ่งมี "หลานสาว" เป็นเด็กทารก Cleo ก็เลยพยายามจะฆ่าเด็กทารกคนนี้ !!!!!!!!!!!! เพราะ Cleo กลัวว่าเด็กทารกคนนี้จะมาทำให้ Gloria ต้องพลัดพรากจากเธอไป

ซึ่งถึงแม้ว่า สิ่งที่  Cleo ทำในหนังเรื่องนี้มันจะหนักหนาสาหัสมาก ๆ เราก็ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดขีด เพราะเราคิดว่า  AMA GLORIA มอง Cleo  ด้วยมุมมองแบบเดียวกับเรา โดยไม่ได้มองว่า สิ่งนั้นมันเป็นพฤติกรรมของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ ซึ้ง ๆ น่ารักแต่อย่างใด
---
ได้นิตยสาร ต่วย'ตูนพิเศษ ปีที่ 50 ฉบับที่ 593 มาแล้ว
---

MIDLIFE CRISIS

 COMMUNITY - LAB (2024, Nawarat Welployngam, video intallation, A+30)


วิดีโอที่ฉายไปบนโอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ (เราเรียกเอง 555) ชอบมาก ๆ ไม่รู้ว่าความยาวของวิดีโอจริง ๆ นานกี่นาที แต่เรายืนดูแค่ราว ๆ 5 นาที
---
HIDDEN CREATION  การสร้างที่แอบซ่อน (2024, Kitti Sangkaew, video installation, A+30)

วิดีโอขนาดเล็กจิ๋ว 4 ชิ้น ชอบสุดขีด โดยเฉพาะอันที่เป็นการเดินตามรอยปูนแตกไปเรื่อย ๆ งดงามมาก ๆ แต่คนแก่อย่างเราเวลาต้องย่อตัวดูอะไรแบบนี้เป็นเวลานาน ๆ แล้วก็รู้สึกเมื่อยหลังอยู่เหมือนกัน 55555
---
PEDRO PARAMO (1967, Carlos Velo, Mexico) ติดอันดับ 23 ในลิสท์หนังที่เราชื่นชอบที่สุดที่ได้ดูในปี 2016 เราได้ดูตอนมันมาฉายที่หอภาพยนตร์ ศาลายา
---
ไม่อยากให้เทศกาล WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK สิ้นสุดลงเลย รู้สึกเหมือนกำลังจะถูกถีบลงจากสรวงสวรรค์ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว และอาจจะดู "วัยเป้งนักเลงขาสั้น 2"
---
สรุปว่ากูไม่ดู DESERT OF NAMIBIA แล้ว เพราะกูเป็นโรค "เกลียดมนุษย์" กูหนีไปดู THE DAMNED ที่คนดูโหรงเหรงดีกว่า 55555
---
มีบูธขายสินค้า Armenia ใน central world ด้วย
---
ชอบหนังเรื่อง SEX อย่างสุดขีด เพิ่งรู้ด้วยว่าปัจจุบันนี้ยังมีคนประกอบอาชีพทำความสะอาดปล่องไฟอยู่ เหมือนเราไม่เคยเจออาชีพนี้ในหนังเรื่องอื่น ๆ ในยุคปัจจุบันเลย ตอนแรกนึกว่าอาชีพนี้มีเฉพาะในยุคของ Charles Dickens
---
แดกไข่ต้มเพื่อเป็นพลีแด่หนังเรื่อง MIDLIFE CRISIS (2024, Weera Rukbankerd, A+30)
---
ชอบ MISFIT HARMONY มาก  ๆ ณัฐนันท์ เทียมเมฆนี่ทำหนังดี ๆ ได้หลายแนวมาก ๆ เลยนะ เพราะเราชอบหนัง cult ของเขาเรื่อง "มองถาด: ผีแจ๊ะหัว" กับ "สำนักสงฆ์จ่าบอย trilogy" มาก ๆ และหนังยาวของเขาเรื่อง "นิราศกรุงเกลือ" ก็เคยติดอันดับ 16 ในลิสท์หนังที่เราชื่นชอบที่สุดที่เราได้ดูในปี 2019
---
อยากให้มีคนจัด retrospective ของ "วีระ รักบ้านเกิด" ควบกับ retrospective ของ Caveh Zahedi (เหมือนกับที่เคยมีการจัดงาน retrospective ของ Yasujiro Ozu ควบกับ Wim Wenders ในกรุงเทพในช่วงทศวรรษ 1990)
---

ชอบ WUTHERING HEIGHTS เวอร์ชั่นของ Jacques Rivette อย่างรุนแรงสุดขีด จำได้ว่าขอบตัวละครสาวใช้หรือพี่เลี้ยงนางเอกอย่างรุนแรงมาก และจำได้ว่า ชอบความรู้สึก "โปร่งโล่ง" ทางใจบางอย่างที่มันมีในหนังเกือบทุกเรื่องของ  Rivette รวมถึงเรื่องนี้

แต่ชอบ WUTHERING HEIGHTS (1978, music video) ของ Kate Bush มากกว่าหนังเรื่องนี้นะ 5555
---
ดีใจที่สุดที่หนังใหม่ของ Johan Grimonprez จะได้เข้าฉายในไทยเป็นเรื่องที่ 3 เพราะเราชอบหนังของเขาอย่างรุนแรงสุดขีดมาก ก่อนหน้านี้เราเคยดู DIAL H-I-S-T-O-R-Y (1997, Johan Grimonprez) ตอนที่หนังเรื่องนี้มาฉายที่สวนลุมพินีในช่วงปลายปี 2005 ในเทศกาลหนังทดลอง และเคยดู DOUBLE TAKE (2009, Johan Grimonprez) ตอนนี้หนังเรื่องนี้มาฉายที่ SF CENTRAL WORLD ในเทศกาลภาพยนตร์ Bangkok International Film Festival (ถ้าจำไม่ผิดนะ)
---
MY MOST FAVORITE THEATRE OF ALL TIME โรงภาพยนตร์ "รามา" ตรงสามย่าน ปัจจุบันน่าจะกลายเป็นที่ตั้งของคอนโดมิเนียมไปแล้วมั้ง เป็นโรงภาพยนตร์ที่มีขนาดใหญ่สุดขีด และที่เราประทับใจมากที่สุดคือ "ความลาดเอียง" ระหว่างที่นั่งแต่ละแถวมันรุนแรงมาก คือเหมือนกับว่าคนแถวหน้าเราลุกขึ้นยืน หัวของเขาก็ไม่บังการดูหนังของเราได้อยู่ดี
---
เพิ่งได้ดูคลิปนี้ของฟาโรสจนจบ กราบตีนจริง ๆ ไม่นึกว่าเรื่องจริงจะรุนแรงขนาดนี้ ส่วนละคร “เพลิงพระนาง” เวอร์ชั่นชไมพร + ปรียานุชนั้นถือเป็นละครที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเรากับกลุ่มเพื่อน ๆ จริง ๆ  เพราะว่ามีเพื่อนผู้หญิงคนนึงในกลุ่มได้สมญานามว่า “อีบัวไหล” ก็จากละครทีวีเรื่องนี้ 555 แล้วเรากับกลุ่มเพื่อน ๆ ก็ชอบ quote คำพูดจากละครเรื่องนี้อย่างรุนแรงมาก โดยเฉพาะประโยคของเจ้านางอนัญทิพย์ (ชไมพร จตุรภุช) ที่พูดว่า “วันนี้กูจะไม่โปรดสัตว์ที่ชื่ออีตองนวลอีกต่อไป”

เคยดูหนังพม่าเรื่อง NEVER SHALL WE BE ENSLAVED (1997, Kyi Soe Tun, Myanmar) ที่น่าจะพูดถึงเหตุการณ์เดียวกับในเพลิงพระนางด้วย จำได้ว่าชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ เราได้ดูตอนหนังเรื่องนี้มาฉายที่โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ฮอลลีวู้ด รามคำแหงในวันที่ 17 ส.ค. 2006
---
RIP KAZUO UMEZU (1936-2024)

เราไม่ได้ติดตามอ่านงานการ์ตูนของเขา แต่เคยดูหนัง 6 เรื่องที่ดัดแปลงมาจากผลงานของเขา โดยเราได้ดูหนัง 6 เรื่องนั้นที่โรงภาพยนตร์ HOUSE RCA ในวันที่ 19 พ.ค. 2006 ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่อง

1.HOUSE OF BUGS (2005, Kiyoshi Kurosawa, A+30)

2. THE WISH (2005, Atsushi Shimizu)

3. THE PRESENT (2005, Yudai Yamaguchi, A+30)

4. DIET (2005, Tadafumi Ito, A+30)
ชอบเรื่องนี้มากที่สุดใน 6 เรื่องนี้

5. DEATH MAKE (2005, Taichi)

6. SNAKE GIRL (2005, Noboru Iguchi, A+30)
----
อยากตัดต่อช่วงท้ายของ  MIDLIFE CRISIS เข้ากับฉากในตำนานใน THE DEVIL, PROBABLY (1977, Robert Bresson) ที่พูดถึง "ครรลองชีวิตชนชั้นกลาง"
---

BETTING WITH GHOST

 เพิ่งสังเกตว่า วันพุธนี้เมเจอร์ โลตัส บางกะปิ ฉายหนังไทยถึง 6 เรื่องพร้อมกัน: ไรเดอร์, เดอะ ซี๊ด คู่หูก้องโลก ( B- ), ธี่หยด 2 (A+30), วัยหนุ่ม (A+30), วัยเป้ง 2 (A+), 404 (A+15)

---
พอได้ข่าวงานปาร์ตี้ปลาหมึกแถวบน เราก็เลยนึกถึง MY IMAGINARY FILM ที่เราเคยคิดไว้เมื่อราว 10 กว่าปีที่แล้วมาก ๆ คือเมื่อราว 10 กว่าปีที่แล้ว ห้องสมุด Reading Room เคยจัดฉายหนังเรื่อง OUT 1 (1971, Jacques Rivette, 12hrs 56min, A+30) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับองค์กรลึกลับชื่อ THE THIRTEEN แล้วพอเราดู OUT 1 เราก็เลยจินตนาการหนังขึ้นมาในหัวเล่น ๆ ทำนองว่า

มีกลุ่ม THE THIRTEEN ในไทย ประกอบไปด้วยเกย์หนุ่มหล่อล่ำบึ้ก 13 คนที่มาจากหลายหลายสาขาอาชีพ (หมอ, ทนายความ, นักแสดง, นายธนาคาร, เรือขนส่งสินค้า, นักบิน, นักวิทยาศาสตร์, เชฟ, นักเขียน, อาจารย์มหาลัย, ETC)  พวกเขานัดจัดปาร์ตี้กางเกงในกันเดือนละครั้งเพื่อมีอะไรกันอย่างเมามัน, พูดคุยกัน, แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน, ถกเถียงกันอย่างรุนแรงในประเด็นการเมือง, etc.

นอกจากพวกเขาทั้ง 13 คนจะมีปัญหารัก ๆ  ใคร่ ๆ เงี่ยน ๆ ระหว่างกันแล้ว กลุ่มของพวกเขายังมีปัญหาอื่น ๆ ด้วย เพราะว่ามีความลับมากมายที่แต่ละคนปกปิดไว้ อย่างเช่น

1. หนึ่งในพวกเขาเป็นพ่อค้ายาเสพติด

2. หนึ่งในพวกเขาเป็นผู้ก่อการร้าย

3.หนึ่งในพวกเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง

4. หนึ่งในพวกเขาเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบปลอมตัวมา

อะไรทำนองนี้ 555 สรุปว่า หนังในจินตนาการของเรา เริ่มจาก OUT 1 ของ Rivette แต่ดัดแปลงให้เป็นหนังแนว Scud หรือ Bruce La Bruce และเน้นไปที่ฉากงานปาร์ตี้กางเกงใน จบ
---
ดู PUSHPA: THE RULE -- PART 2 (2024, Sukumar, 201min,  A+30) มาแล้ว เพื่อน ๆ คงเดาได้ว่าเรานั่งอยู่ตรงไหนในสมการชีวิตนี้ 555

ประทับใจที่ตอน intermission มี "นาฬิกานับถอยหลัง" ให้ด้วย นึกว่าได้รับแรงบันดาลใจจากงานฉายหนัง thesis  ของ ICT ศิลปากร 555
---
ผีพารวย BETTING WITH GHOST (2024, Nguyen Nhat Trung, Vietnam, A+30)

หนังอาจจะไม่ได้ดีมาก แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ เราขอมอบตำแหน่ง "หนึ่งใน GUILTY PLEASURES OF THE YEAR 2024" ให้หนังเรื่องนี้

อยากฉายควบกับ "ตาซ้ายเห็นผี" MY LEFT EYE SEES GHOST (2002, Johnnie To, Wai Ka-fai, Hong Kong) มาก ๆ แต่ "ตาซ้ายเห็นผี" นี่เราถือเป็น ONE OF MY MOST FAVORITE FILMS OF ALL TIME
---

เมื่อวานแดก หมูก้อน เป็นอาหารกลางวัน เพื่อรำลึกถึงอาหารกลางวันที่เคยกินเป็นประจำสมัยอยู่โรงเรียนมัธยมในปี 1985-1990
---
จำได้ว่า ร้านสาขานี้เคยมีนิยายของ Alain Robbe-Grillet วางขายหลายเล่มมาก, มีหนังสือวิเคราะห์ภาพยนตร์ของ Chantal Akerman และมีหนังสือเกี่ยวกับ "หนังสยองขวัญทั่วโลก" วางขายด้วย ซึ่งยุคนั้นเป็นช่วงปลายทศวรรษ 1990 อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายมากนัก เราก็เลยตื่นตาตื่นใจกับหนังสือใน Kino สาขานี้มาก ๆ
***
POLICE MODIFY ตำรวจแต่ง (2024, Jo Social  โจ๋ โซเชียล aka ณัฐพร เพริศแก้ว, A+30) มีฉากสำคัญอยู่ท้าย end credit นะคะ

เราดูหนังเรื่องนี้ที่ central world มีเราเป็นผู้ชมคนเดียว สงสารหนังมาก ๆ

โอเคกับหนังมาก ๆ ในแง่หนังตลกบ้าบอ แต่สงสารเด็ก ๆ ที่ถูกพวกพระเอกแย่งว่าวไป
---
พอดูหนังเรื่อง LOOK BACK (2024, Kiyotaka Oshiyama, Japan, animation, A+30) แล้วเราถึงเพิ่งรู้ว่า มีการทำงานตำแหน่งนักวาดฉากหลังด้วย, ตำแหน่งนี้มีความสำคัญมากพอสมควร และจริง ๆ แล้วคนที่ทำงานตำแหน่งนี้มีความสามารถสูงมาก ๆ และอาจจะมีความสามารถในการเป็น artist แขนงอื่น ๆ ได้ดีมากอีกด้วย
***
สรุปว่าเมื่อวานดิฉันก็ทิ้งตั๋ว ALL AND NOTHING กับ XIXI  ไปนะคะ เพราะเมื่อวานดูหนังไป 3 เรื่อง แล้วรู้สึกไม่สบาย มึนหัว ง่วงนอน เลยรีบกลับบ้านนอนกอดลูกหมี เลยไม่ได้ดูหนัง 5 เรื่องตามที่ตั้งใจไว้

เช้านี้ลองตรวจ ATK แล้ว ยังไม่ติดโควิดค่ะ

สรุปว่า การที่เราติดโควิดไปแล้ว 3 ครั้งในช่วงที่ผ่านมา เหมือนมันส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อตัวเราในระยะยาวด้วย คือถ้าเรารู้สึกง่วงนอนขณะดูหนังเมื่อไหร่ เราจะรู้สึกไม่สบายใจในทันทีว่าเราติดโควิดแล้วหรือเปล่า
**
อานิสงส์จากการซื้อตั๋วในงาน WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK คือได้ตั๋ว SF สองใบ, ตั๋วโซฟาหนึ่งใบ และตั๋ว FIRST CLASS หนึ่งใบ ขอบคุณ WORLD FILM ค่ะ
***
ชอบภาคแรกของหนังเรื่องนี้มาก ๆ HELLO, LOVE, GOODBYE (2019, Cathy Garcia-Sampana) ภาคแรกเข้าฉายตามโรงปกติในไทยด้วย แต่ไม่รู้ว่าภาคสองจะได้ฉายในไทยหรือเปล่า
---
ถ้าใครรู้ว่า หนังเรื่อง "วัยหนุ่ม 2544" มีทำโปสเตอร์ขาย หรือมีแจกโปสเตอร์ที่ไหน ช่วยแจ้งเราด้วยนะคะ แบบรวมตัวละคร หรือแบบแยกเฉพาะแต่ละตัวละครก็ได้ อยากได้โปสเตอร์หนังเรื่องนี้มาเก็บสะสมอย่างรุนแรงที่สุดค่ะ
---
THE SECRET FACE (1991, Omer Kavur) น่าดูสุดขีด เพราะเราเคยดู MOTHERLAND HOTEL (1987, Omer Kavur, Turkey) แล้วชอบสุดขีดมาก ๆๆๆๆๆ MOTHERLAND HOTEL เคยมาฉายที่ BIG C ราชดำริใน WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK
---
เรากับเพื่อน ๆ กลุ่มเกย์/กะเทย ได้ดูหนังเรื่องนี้ ALL THAT JAZZ ทาง BIG CINEMA ตอนโตแล้ว วัยราว 20 ปีแล้ว พอดูแล้วพวกเราก็บ่นเสียดายว่า ถ้าหากได้ดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อน ๆ เกย์หลายคนคงลงเรียน MODERN DANCE, JAZZ DANCE, ETC. อะไรกันไปตั้งแต่เด็กแล้ว 555

Tuesday, December 10, 2024

HERE (2024, Robert Zemeckis, A+30)

 

One of my most favorite Christmas songs of all time: TOI MACHI NO DOKO KA DE…(SOMEWHERE IN A DISTANT CITY) (1991) – Miho Nakayama เพลงนี้เป็นเพลงคริสต์มาสที่ติดอยู่ในหัวของเรามาตลอด 33 ปีที่ผ่านมา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เพลงนี้เป็นเพลงประกอบละครโทรทัศน์เรื่อง WHEN I WANT TO SEE YOU, YOU ARE NOT THERE (1991) ด้วย โดยละครโทรทัศน์เรื่องนี้นำแสดงโดย Miho Nakayama กับ Gitan Otsuru และเล่าเรื่องของ long-distance relationship ระหว่างชายหนุ่มที่ทำงานในซัปโปโรกับหญิงสาวที่ทำงานในโตเกียวในยุคก่อนอินเทอร์เน็ต แต่เราไม่ได้ดูละครเรื่องนี้นะ ละครเรื่องนี้ได้รับความนิยมสูงเป็นอันดับ 4 ในญี่ปุ่นในปี 1991 โดยละครยอดฮิตอันดับหนึ่งในปีนั้นคือ  “101 ตื๊อรักนายกระจอก” ที่เคยมาฉายช่อง 5,   อันดับสองคือ MITO KOMON ปีที่ 20 และอันดับ 3 คือ TOKYO LOVE STORY ที่เคยมาฉายช่อง 3 ซี่งเป็นละครทีวีที่เราชอบสุดขีด

https://www.youtube.com/watch?v=vX9iDi-4Kuk

+++++

ถึงแม้เราจะชอบตัวหนัง WICKED (2024, Jon M. Chu, A+30) มาก ๆ แต่ถ้าหากพูดถึง “ฉากร้องเพลง/เต้นรำ” ที่ชอบที่สุดในปีนี้ เราก็ยกให้ฉาก IF YOU GO AWAY ใน JOKER: FOLIE A DEUX (2024, Todd Phillips) ครองอันดับหนึ่งในใจเราประจำปีนี้ค่ะ ส่วนอันดับสองคือฉาก “กาลี มหากาลี” ใน PUSHPA: THE RULE – PART 2 (2024, Sukumar, India)
https://www.youtube.com/watch?v=3ESSfgCDvI4

+++++++++

 

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เราชอบหนังเรื่อง HERE (2024, Robert Zemeckis, A+30) อย่างรุนแรงสุดขีด เป็นเพราะเราเป็นคนที่อินกับอะไรที่พูดถึง the passage of time มาก ๆ เหมือนเรามักจะสะเทือนใจกับหนัง/ละครเวที/นิยายที่สะท้อน “การเคลื่อนคล้อยของเวลา” ที่มีความ cruelty และ relentlessness อยู่ในนั้น เพราะไม่มีตัวละครใดที่จะหยุดเวลาไม่ให้เคลื่อนคล้อยไปได้ (ยกเว้น Sailor Pluto ใน SAILOR MOON) ซึ่งรวมถึงตัวเราเองในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย ที่อยากหยุดเวลาในชีวิตไว้แค่ปี 1989 แต่ก็ไม่สามารถทำได้ และเราก็ต้องยอมรับว่าเวลามันเดินหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง และนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

 

คือถึงแม้ “ใจของเรา” จะคิดถึงแต่ชีวิตตัวเองในปี 1989 ตลอดช่วง 35 ปีที่ผ่านมา แต่ร่างกายของเราและ objects ต่าง ๆ รอบตัวเรา ก็ถูกเวลาผลักดันให้เดินรุดหน้าไปเรื่อย ๆ เช่นกันตลอดช่วง 35 ปีที่ผ่านมา เราก็เลยรู้สึกว่า “the passage of time” มันเป็นสิ่งที่ cruel และ relentless และเราก็ชอบหนัง/ละครเวที/นิยาย ที่นำเสนออะไรแบบนี้

 

เพราะฉะนั้นพอดู HERE เราก็เลยนึกถึงอะไรต่อไปนี้อย่างรุนแรงด้วย

 

1.นิยายเรื่อง TO THE LIGHTHOUSE (1927, Virginia Woolf)

 

1.1 โดยเฉพาะช่วงกลางของนิยายที่เรียกว่า TIME PASSES ที่รุนแรงที่สุด

 

1.2 ตัวละคร Margaret (Robin Wright) ก็ทำให้นึกถึง Mrs. Ramsay ใน TO THE LIGHTHOUSE ในแง่นึง เพราะ Mrs. Ramsay มัวแต่ทำหน้าที่แม่และเมียหรืออะไรทำนองนี้ และเธออยากไปประภาคาร แต่ก็ไม่ได้ไปเสียที ส่วนตัวละครมาร์กาเร็ตใน HERE ก็อยากไปเที่ยวกรุงปารีสในฤดูใบไม้ผลิ แต่เธอก็ไม่ได้ทำสิ่งนี้ในช่วงที่ยังสาว ๆ กว่าจะได้ทำก็ตอนเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว

 

1.3 ตัวละคร Richard (Tom Hanks) ใน HERE อยากจะเป็นจิตรกร แต่ก็ไม่ได้เป็น เขาเหมือนเป็น “uncertain painter” ส่วนตัวละคร Lily Briscoe ใน TO THE LIGHTHOUSE ก็เป็น “uncertain painter” เหมือนกัน และทั้งตัวละคร Richard กับ Lily Briscoe ก็มี “พัฒนาการ” ในด้านนี้อย่างเห็นได้ชัดเมื่อเนื้อเรื่องใน HERE และ TO THE LIGHTHOUSE ดำเนินไป

 

2. ช่วงท้ายสุดของหนังเรื่อง GANGS OF NEW YORK (2002, Martin Scorsese, A+30) ที่คล้าย ๆ HERE คือเหมือนเป็นกล้อง CCTV ที่จับภาพนิวยอร์คจากมุมมองเดียวเป็นเวลาราว 150 ปี

 

3.หนังเรื่อง SUNDAY IN THE PARK WITH GEORGE (1986, Terry Hughes, 146min, A+30) ที่เป็นเหมือนบันทึกการแสดงละครเวที และเล่าเรื่องของพื้นที่หนึ่งที่คล้าย ๆ สวนสาธารณะริมน้ำ มีผู้คนต่าง ๆ มาเที่ยวพักผ่อน แต่หนังแบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงแรกคือนำเสนอสวนสาธารณะแห่งนี้ในปี 1884-1886 และช่วงที่สองนำเสนอสวนสาธารณะแห่งนี้ในอีก 100 ปีต่อมา และ the passage of time ในหนัง/ละครเวทีเรื่องนี้ก็สร้างความสะเทือนใจให้กับเราอย่างรุนแรงมาก

++++++

 

แต่ถึงแม้เราจะชอบหนังเรื่อง HERE อย่างรุนแรงมาก เราก็ยอมรับว่า หนังมัน “หวาน” เกินไปสำหรับเรานะ คือเหมือนเราชอบ concept ของหนังเรื่องนี้มากที่สุดน่ะ แต่เราว่าในแง่อารมณ์ของหนังแล้ว มันยัง “หวาน” เกินไปสำหรับเรา มันยังไม่ “เย็นชา” ในแบบที่เราต้องการให้มันเป็น

PUSHPA: THE RULE

 

เราดู STRIKING RESCUE (2024, Cheng Siyu, China, A+25) แล้วหลับไปช่วงกลางเรื่อง เราก็เลยจะถามคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วว่า

 

SERIOUS SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

--

--

--

--

--

นางตัวร้ายในรูปนี้มันตายยังไงน่ะ คือเราดูถึงฉากที่พระเอกกับเด็กไปพักในโรงแรม แล้วก็มีกลุ่มผู้ร้ายจะมาฆ่าพระเอก ซึ่งรวมถึงนางตัวร้ายตัวนี้ด้วย แล้วเราก็หลับไป พอเราตื่นขึ้นมาอีกที ก็เป็นฉากที่พระเอกฟื้นขึ้นมาใน safe house ของอู๋เจิ้ง (Eason Hung)

+++

“บุษบา ภาคสอง” หรือ PUSHPA: THE RULE – PART 2 (2024, Sukumar, India, 201min, A+30)

 

1. เราสงสัยว่า เวอร์ชั่นที่เข้าฉายในไทยเป็นภาษา Telugu หรือเปล่า เพราะเราฟังเองก็แยกไม่ออกว่าอันไหนภาษาฮินดี อันไหนภาษาเตลูกู แต่เราแอบเดาว่าเวอร์ชันในไทยอาจจะพูดเตลูกู เพราะซับไตเติลภาษาอังกฤษมันจะขึ้นวงเล็บมาเป็นครั้งคราวว่า ประโยคต่อไปนี้ตัวละครพูดเป็นภาษา Hindi และประโยคต่อไปนี้ตัวละครพูดเป็นภาษา Tamil แต่มันขึ้นวงเล็บแบบนี้มาเพียงแค่ราว 3% ของหนังเท่านั้น เราก็เลยเดาว่า บทสนทนาส่วนใหญ่ในหนังก็อาจจะไม่ใช่ทั้งสองภาษานี้มั้ง แต่เราก็ไม่แน่ใจ

 

2. ตัวละครพูดย้ำหลายครั้งว่า ชื่อ Pushpa ของพระเอก ไม่ได้หมายถึง “ดอกไม้” แต่หมายถึง “ไฟ” เราก็เลยเดาว่า จริง ๆ แล้ว ชื่อ Pushpa ของพระเอก มันก็คือคำเดียวกับ “บุษบา” หรือเปล่า เพียงแต่ว่าคำว่าบุษบาในอินเดียอาจจะหมายถึงได้ทั้งดอกไม้และไฟ

 

3. นางเอกเรียกพระเอกว่า “สามี” บ่อยครั้งมาก ๆ โดยที่ซับไตเติลภาษาอังกฤษจะขึ้นว่า dear และ subtitle ภาษาไทยจะขึ้นว่า “ที่รัก” เราก็เลยสงสัยว่า คำว่า “สามี” ในภาษาไทยกับในบางภาษาของอินเดีย อาจจะมีความหมายใกล้เคียงกัน 555555

 

4. เหมือนหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยมั้งที่เราได้ดู ที่บนจอมันมีคำว่า C.G.I. ขึ้นมาชัด ๆ เลย เหมือนบอกเลยว่าฉากที่เรากำลังดูอยู่นี้ใช้ CGI นะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฉากเกี่ยวกับ “สัตว์” เราก็เลยเดาว่า ผู้สร้างหนังคงขี้เกียจตอบว่า ฉากไหนมีการทรมานสัตว์หรือเปล่า ผู้สร้างหนังเลยขึ้น text CGI ขึ้นมาตัวเป้ง ๆ บนจอเลย 55555

 

5. นางเอก “หื่นกาม” มาก ๆ 555555 เราชอบจุดนี้มาก ๆ

 

6. เอาจริง ๆ แล้ว เราประทับใจฉากร้องเพลงเต้นรำในหนังเรื่องนี้มากกว่าฉากร้องเพลงใน WICKED (2024, Jon M. Chu, A+30) เสียอีก มากกว่าฉาก DEFYING GRAVITY ด้วย เพราะเราว่าฉากร้องเพลงเต้นรำใน “บุษบา ภาคสอง” มันทรงพลังและมันมีความ exotic ดีสำหรับเราน่ะ ส่วนฉากร้องเพลงเต้นรำใน WICKED มันดีงามมาก ๆ ก็จริง แต่มันก็เหมือนไม่ได้แตกต่างไปจาก “หนัง musical broadway” เรื่องอื่นๆ หรือหนังดิสนีย์ที่เราเคยดูมาแล้วมากนัก ในขณะที่ฉากร้องเพลงเต้นรำใน “บุษบา ภาคสอง” นี่มันตื่นตาตื่นใจสำหรับเรามาก ๆ ในแง่ความ exotic

 

 คือสรุปว่าเราว่าฉากร้องเพลงเต้นรำใน WICKED มัน “ดีกว่า” แต่เรารู้สึก “ตื่นตาตื่นใจ” กับฉากร้องเพลงเต้นรำใน “บุษบาภาคสอง” มากกว่า

 

7. ฉาก “เจ้าแม่กาลี” ช่วงท้ายเรื่องนี่ ถือเป็น “ฉากบู๊แอคชั่นคลาสสิค” สำหรับเราฉากนึงเลย

 

8. ดูแล้วชอบน้อยกว่า RRR (2022, S.S. Rajamouli, 187min) นะ แต่ชอบมากกว่า K.G.F: CHAPTER 2 (2022, Prashanth Neel, 156min) นะ เพราะเราว่า K.G.F มันเหมือนเป็น “music video” ขนาดยาวที่ให้พระเอกทำเดินเท่ไปเท่มาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องน่ะ ในขณะที่ “เนื้อเรื่อง” มันไม่มีความน่าสนใจเลยสำหรับเรา แต่ในกรณีของ “บุษบา ภาคสอง” นั้น เราว่า “เนื้อเรื่อง” มันยังมีอะไรให้เรารู้สึกติดตามได้ตลอด และมันมีความ exotic ทางวัฒนธรรมและสภาพบ้านเมืองที่เราชอบมาก ๆ ด้วย

 

9. เหมือนเราแทบไม่เคยดูหนังอินเดียใต้มาก่อน ทั้งหนัง Telugu, หนัง Tamil เราก็เลย culture shock มาก ๆ กับการที่หนังนำเสนอตัวละคร “เจ้าพ่อค้าไม้เถื่อน” ในฐานะ “พระเอก” แบบนี้ เราก็เลยสงสัยว่า culture ของหนังอินเดีย, ของหนัง Telugu, ของการเมืองอินเดีย, ของกฎหมายอินเดีย, ของปัญหาสิ่งแวดล้อมในอินเดีย, etc. มันเป็นอย่างไร ถึงสามารถหล่อหลอมให้เกิดหนังที่มีพระเอกเป็น “เจ้าพ่อค้าไม้เถื่อน” ขึ้นมาได้ หรือการค้าไม้เถื่อนของพระเอก มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า หรือป่าอินเดียมันอุดมสมบูรณ์เกินไป หรืออะไรยังไง มีใครพอมีความรู้บ้างไหมคะ เราก็ไม่ได้ดู PUSHPA ภาคแรกด้วย

 

คือพอนึกถึงหนังไทย ทั้ง “หนังซ้าย” (อย่าง “ครูบ้านนอก” นี่ถือเป็นหนังซ้ายได้ไหม) และ “หนังขวาจัด” ประเภทหนังบู๊ไทยระเบิดภูเขาเผากระท่อมในทศวรรษ 1970-1980 ตัวละคร “คนค้าไม้เถื่อน” นี่ถือเป็นผู้ร้ายประเภทให้อภัยไม่ได้นะ คือขนาดหนังขวาจัดของไทย พระเอกก็ยังเป็น “ตำรวจปลอมตัวมา” หรืออะไรทำนองนี้ และผู้ร้ายก็เป็น “เจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น” และ “ผู้ค้าไม้เถื่อน” น่ะ

 

แล้วอะไรคือการที่หนังเรื่อง “บุษบา” หรือ PUSHPA ถึงมีพระเอกเป็นทั้งเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น + ผู้ค้าไม้เถื่อน คือมัน beyond กว่าหนังขวาจัดของไทยอย่างรุนแรงมาก ๆ ๆๆๆๆๆ

 

คือดูแล้วนึกถึงที่เราเคยได้ยินว่า ชาวบ้านหลายคนมองว่า Pablo Escobar ถือเป็น “ผู้มีพระคุณ” ของพวกเขาอะไรทำนองนี้ ซึ่ง Pablo Escobar เราก็พอได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับเขามาบ้างแล้ว เราก็เลยอยากรู้ว่า สังคมวัฒนธรรมประวัติศาสตร์การเมืองของหนังอินเดียและหนัง Telugu มันเป็นอย่างไร ตัวละครพระเอกมันถึงได้ beyond กว่าหนังขวาจัดของไทยไปถึงขั้นนี้ 55555

 

10. ชอบปฏิกิริยาของคนดูชาวอินเดียทั้งโรงมาก ๆ ที่พอตอนจบมันขึ้นคำว่า PUSHPA: THE RAMPAGE – PART 3 ขึ้นมา แล้วคนทั้งโรงกรีดร้องด้วยความเสียใจเพราะอยากดูภาค 3 ต่อในทันที 55555

 

 

 

Saturday, December 07, 2024

RIP MIHO NAKAYAMA

 

พอเราได้ดู 404 RUN RUN (2024, Pichaya Jarasboonpracha, A+15) แล้วก็เลยนึกถึงเรื่องของเกาะต้องสาป Gaiola นอกชายฝั่งเมืองเนเปิลส์ในอิตาลี โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะว่าเจ้าของวิลล่าหลายคนบนเกาะนี้และเครือญาติของพวกเขาพบกับความตายอย่างน่าสยดสยอง

 

ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด เกาะนี้มีประวัติมายาวนานหลายพันปี โดยเกาะนี้

 

1.เคยเป็นที่ตั้งของวิหารบูชาเทพีวีนัส ในยุคของอาณาจักรโรมัน

 

2.ดินแดนบริเวณนี้กลายเป็นเกาะ ในยุคของนายพล Lucullus (เขามีชีวิตในปี 118-57 ก่อนคริสต์ศักราช) ในอาณาจักรโรมัน ซึ่งเป็นนายพลที่เคยไปรบไกลถึงอาณาจักร Armenia และกวาดต้อนทรัพย์สมบัติมาได้มากมายจากการรบ คือเหมือนเกาะนี้จริง ๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ แต่นายพล Lucullus สั่งให้มีการตัดขาดพื้นที่บริเวณนี้จากแผ่นดินใหญ่ พื้นที่ตรงนี้ก็เลยกลายเป็นเกาะขึ้นมา ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

 

3. Virgil ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์ Aeneid (เรื่องราวการเดินทางของ Aeneas ผู้หนีจากกรุงทรอยมาก่อตั้งอาณาจักรโรมัน)  และเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ในปี 70-19 ก่อนคริสต์ศักราช เคยใช้เกาะนี้เป็นห้องเรียนสั่งสอนลูกศิษย์ โดย Virgil นั้นเป็น magician ด้วย

 

4.ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ฤาษีคนหนึ่ง ซึ่งมีสมญานามว่า THE WIZARD อาศัยอยู่ที่เกาะนี้

 

5.มีการก่อสร้าง villa บนเกาะนี้ในเวลาต่อมา และเกาะนี้ตกเป็นของ Nelson Foley ซึ่งเป็นน้องเขยหรือพี่เขยของ Sir Arthur Conan Doyle  (1859-1930) ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์ Sherlock Holmes และเป็นคนที่เชื่อในเรื่อง PARANORMAL PHENOMENA อย่างรุนแรง

 

6. ส่วนเรื่องคำสาปของเกาะนี้ ทาง Wikipedia บอกไว้ดังนี้

 

Naples's legend has considered Gaiola a "cursed island", which with its beauty hides a "restless fate," the "Gaiola Malediction."[4] The reputation developed from the frequent misfortunes and premature deaths in the families of its 20th century owners. For example, in the 1920s, it belonged to Hans Braun, who was found dead and wrapped in a rug. A short time later, his wife drowned in the sea. The next owner was a German; Otto Grunback, who died of a heart attack while staying in the island's villa. Another owner, the Sandoz pharmaceutical industrialist heir Maurice-Yves Sandoz, committed suicide in a mental hospital in Switzerland.

 

The island has also since belonged to: Gianni Agnelli, the Turinese owner of Fiat Automobiles, who suffered the deaths of many relatives; and to J. Paul Getty, who experienced, from afar, the suicide of his oldest son, death of his youngest son, and kidnapping of a grandson, before his own death.

 

The last private owner of the island was Gianpasquale Grappone, who was jailed.[5] Newspapers talked again about the "Gaiola Malediction" in 2009, after the murder of Franco Ambrosio, and his wife, Giovanna Sacco, who owned a villa opposite the island

 

เพราะฉะนั้นพอเราดู 404 RUN RUN เราก็เลยนึกถึงเรื่องของเกาะ GAIOLA ขึ้นมา เราชอบเรื่องราวของเกาะนี้อย่างสุดขีดคลั่งมาก ๆ นึกว่าหนักกว่านิยายของจินตวีร์ วิวัธน์ คือพอเราอ่านเรื่องราวของเกาะนี้ใน Wikipedia เราก็จินตนาการเป็นนิยายขึ้นมาได้ในทันที เพราะถ้าหากเกาะนี้อยู่ในนิยาย ตัวละครในนิยายก็คงต้องสืบเสาะลึกเข้าไปในอดีตมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อค้นหาว่าต้นตอของ “คำสาป” บนเกาะนี้มาจากไหน

 

บางทีคำสาปอาจเริ่มมาจากตั้งแต่ก่อนมีการตั้งวิหารเทพีวีนัส (เกาะนี้อาจเป็นที่ตั้งของวิหารบูชาเทพเจ้าผู้ชั่วร้ายเมื่อหลายพันปีก่อน ก็เลยต้องมีการตั้งวิหารเทพีวีนัสทับลงไป เพื่อสะกดปีศาจร้าย)

 

หรือเริ่มในยุคของนายพล Lucullus (นายพลคนนี้อาจได้ทรัพย์สมบัติต้องคำสาปมาจาก Armenia หรือดินแดนอื่น ๆ เขาเลยฝังมันไว้ที่บริเวณนี้ และตัดขาดพื้นที่ตรงนี้จากแผ่นดินใหญ่ เพื่อลดทอนฤทธิ์ของคำสาป)

 

หรือเริ่มในยุคของการสั่งสอนเวทมนตร์บนเกาะนี้โดย Virgil

หรือเริ่มในยุคของ “ฤาษีผู้ศักดิ์สิทธิ์”

หรือเริ่มในยุคของ Sir Arthur Conan Doyle และญาติของเขา (Sir Doyle อาจใช้เกาะนี้เป็นสถานที่ติดต่อกับภูตผีปีศาจ) หรือเริ่มในยุคถัดมา

+++

RIP MIHO NAKAYAMA (1970-2024)

 

ช็อคมาก ๆ กับการเสียชีวิตของมิโฮ เพราะเราเติบโตมากับการฟังเพลงของเธอในช่วงที่เราเป็นวัยรุ่น โดยเฉพาะเพลง YOU’RE MY ONLY SHININ’ STAR (1988), KORE KARA NO I LOVE YOU (1991) และ SEKAIJU NO DARE YORI KITTO (SURELY MORE THAN ANYONE IN THE WORLD) (1992) สามเพลงนี้ของ Miho นี่ถือเป็น ONES OF MY MOST FAVORITE SONGS OF ALL TIME เลย

 

เราชอบเพลงของ Miho อย่างสุดขีด ทั้ง CATCH ME (1987), MERMAID (1988), WITCHES (1988), ROSÉCOLOR (1989), VIRGIN EYES (1989), MIDNIGHT TAXI (1990), ROSA (1991), TOI MACHI NO DOKA KA DE (SOMEWHERE IN A DISTANT CITY) (1991), MELLOW (1992), SHIAWASE NI NARU TAME NI (1993), etc.

 

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เวลาเราได้ฟังเพลง SEKAIJU NO DARE YORI KITTO เรามักจะร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง เพราะมันทำให้นึกถึงหนึ่งในช่วงเวลาที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิต ช่วงเวลาเมื่อราว 30 ปีก่อน ตอนที่เรายังเป็นนักเรียนมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัย

 

YOU’RE MY ONLY SHINING STAR ก็ถือเป็นเพลงที่มีความหมายต่อชีวิตเรามาก ๆ เพราะเราได้ฟังเพลงนี้ในปี 1988-1989 ช่วงที่เรามีอายุ 15-16 ปี ช่วงที่เรายังคงเต็มไปด้วย romantic dreams ความใฝ่ฝันว่าโตขึ้นกูจะพบรัก หาผัวดี ๆ ได้ ตอนที่เราฟังเพลงนี้ในยุคนั้น มันก็เลยทำให้เรามีความสุขมาก ๆ รู้สึกใจพองฟู เต็มไปด้วย romantic hopes ก่อนที่ชีวิตจะค่อย ๆ เปลี่ยนให้เรากลายเป็นคนที่ไม่เหลือ romantic dreams ใด ๆ ในเวลาต่อมา

 

ส่วนผลงานการแสดงของเธอที่เราเคยดู ก็รวมถึง

 

1. CAN’T TAKE MY EYES OFF YOU! (KIMI NO HITOMI NI KOISHITERU) (1989)

ละครโทรทัศน์เรื่องนี้เคยมาฉายทางช่อง 7 ตอนบ่าย ๆ ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 มิโฮแสดงเป็นหนึ่งในนางเอกร่วมกับ Momoko Kikuchi ละครทีวีเรื่องนี้เล่าเรื่องของหญิงสาวสามคนที่เช่าห้องพักอยู่ด้วยกัน และก็มีชายหนุ่มสองคนที่เช่าห้องข้าง ๆ ที่มาพัวพันรักกับหญิงสาวสามคนนี้

 

เราจำได้ว่า Shizuka Kudo ร่วมแสดงในละครเรื่องนี้ด้วย เหมือนเธอรับบทเป็นหญิงสาวที่จะกระโดดตึกตายหรืออะไรทำนองนี้ ถ้าหากเราจำไม่ผิด เหมือนเธอโผล่มาแค่ไม่กี่ตอนมั้ง แต่ถ้าหากไปดูใน imdb จะไม่พบว่ามีรายชื่อละครทีวีเรื่องนี้รวมไว้ในผลงานของ Shizuka Kudo ด้วย

 

2.LOVE LETTER (1995, Shunji Iwai)

ซึ่งถือเป็น ONE OF MY MOST FAVORITE ROMANTIC FILMS OF ALL TIME

 

3.TOKYO BIYORI (1997, Naoto Takenaka)

 

4.ละครทีวีเรื่อง LOVE 2000 (2000)  

โดยในเรื่องนี้เธอแสดงคู่กับ Takeshi Kaneshiro ที่รับบทเป็นสายลับจากประเทศสมมุติชื่อ Ural (หรือจริง ๆ ก็คือเกาหลีเหนือนี่แหละ)

 

5.GOODBYE, SOMEDAY (2010, John H. Lee)

หนังเรื่องนี้ถ่ายที่เมืองไทยด้วย และนำเสนอฉากรักร้อนแรงระหว่าง Miho กับ Hidetoshi Nishijima

 

6.LAST LETTER (2020, Shunji Iwai)

 

7.LESSON IN MURDER (2022, Kazuya Shiraishi)

 

ส่วนผลงานการแสดงของ Miho ที่เราอยากดูมากที่สุด ก็คือละครโทรทัศน์เรื่อง SAILOR UNIFORM REBEL ALLIANCE (1986-1987) โดยเธอรับบทเป็นนักเรียนสาวที่ใช้ดอกกุหลาบเป็นอาวุธในการออกปราบปรามเหล่าร้าย และมีลูกสมุนสาวอีก 3 ตัวที่ใช้มีดบิน (ลี้คิมฮวง?), ธง และถุงมือเป็นอาวุธ โดยที่เวลาทั้งสี่ออกปราบปรามเหล่าร้าย พวกเธอจะแต่งหน้าแต่งตาแบบจัดจ้าน เพื่อให้คนจำพวกเธอไม่ได้ ละครทีวีเรื่องนี้มีทั้งหมด 23 ตอน

 

รูปจาก “อันดับเพลงประจำสัปดาห์” ของเรา ประจำสัปดาห์วันที่ 17 SEPTEMBER – 23 SEPTEMBER 1989 หรือเมื่อ 35 ปีก่อน โดยในสัปดาห์นั้น เพลง VIRGIN EYES ของ Miho เปิดตัวที่อันดับ 1 ได้ในสัปดาห์แรก โดยครองอันดับหนึ่งประจำสัปดาห์ของเราร่วมกับเพลง SEKAI DE ICHIBAN ATSUI NATSU ของวง Princess Princess

 

เพิ่งนึกออกว่าเพลง WITCHES (1988) ของ Miho Nakayama ก็เป็นหนึ่งในเพลงที่มีความสำคัญต่อชีวิตเรามาก ๆ ด้วย เพราะเราเป็น introvert ที่ไม่ชอบการแสดงออก โดยเฉพาะการแสดงออกต่อหน้าผู้คน แต่ในช่วงที่เราเรียนม.5 ในปี 1989-1990 นั้น กลุ่มเพื่อนสนิทของเราชอบเปิดเพลงเต้นหรือลิปซิงค์หรือทำลีลาประกอบเพลงกันในห้องเรียนตอนราว ๆ 15.30-16.00 น. (หลังเลิกเรียน) โดยที่เพื่อน ๆ บางคนก็เต้นเพลงของ Donna Summer, Shizuka Kudo, etc. เราก็เลยอยากเต้นตามไปด้วย และถ้าหากเราจำไม่ผิด ตอนนั้นเราเลือกทำลีลาประกอบเพลง WITCHES ของ Miho Nakayama กับ ALL AROUND THE WORLD ของ Lisa Stansfield แต่เราจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นเราทำลีลาอะไรไปบ้าง แต่จำได้ว่าเราเลือกสองเพลงนี้แหละ เมื่อ 35 ปีก่อน

https://www.youtube.com/watch?v=qqRFicWlRLE

+++

เห็นเต้โพสท์อันดับ TOP TEN หนังประจำปี 2024 ของนักวิจารณ์แต่ละคนใน Cahiers du Cinema แล้วหวีดสลบมาก ๆ เราเสียใจสุดขีดที่ไม่ได้ดู TERRIFIER 3 (2024, Damien Leone) นึกไม่ถึงว่าหนังเรื่องนี้จะติด TOP TEN ประจำปีของนักวิจารณ์หลายคน ถึงแม้ว่าคะแนนรวมจะไม่มากจนถึงขั้นติดอันดับ TOP TEN รวมของนักวิจารณ์ทุกคนใน Cahiers du Cinema ก็ตาม สรุปว่าการพลาดดู TERRIFIER 3 คือหนึ่งในสิ่งที่ดิฉันเสียใจที่สุดสิ่งหนึ่งในปีนี้ ถ้าหากหนังเรื่องนี้ไม่ได้เข้าฉายตรงกับช่วงเทศกาล WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK ดิฉันก็คงได้ดูหนังเรื่องนี้ไปแล้ว

 

ดีใจสุดขีดที่นักวิจารณ์บางคนของ Cahiers du Cinema เลือกหนังเหล่านี้ให้ติดอันดับ TOP TEN ประจำปี 2024

 

1.JOKER 2: FOLIE A DEUX (Todd Phillips) เลือกโดย Philippe Fauvel, Élie Raufaste

 

2.MAXXXINE (Ti West) เลือกโดย Vincent Malausa

 

3.YOUTH (SPRING) (Wang Bing) เลือกโดย Raphaël Nieuwjaer, Élie Raufaste, Élodie Tamayo

 

4.UNIVERSAL LANGUAGE (Matthew Rankin) เลือกโดย Herve Aubron, Thierry Méranger

 

5.THE APPRENTICE (Ali Abbasi) เลือกโดย Raphaël Nieuwjaer

 

6.VIET AND NAM (Truong Minh Quy) เลือกโดย Herve Aubron

 

7.MEGALOPOLIS (Francis Ford Coppola) เลือกโดย Thierry Méranger, Ariel Schweitzer, Marcos Uzal

 

8.LATE NIGHT WITH THE DEVIL (Cameron Cairnes, Colin Cairnes) เลือกโดย Yal Sadat

 

9.THE FIRST OMEN (Arkasha Stevenson) เลือกโดย Jean-Marie Samocki

 

และเราก็ดีใจสุดขีดที่หนังใหม่ของ Emmanuel Mouret, Rosine Mbakam, Boris Lojkine, Patricia Mazuy, Nicolas Philibert, Arnaud Larrieu + Jean-Marie Larrieu ติดอันดับหนังประจำปีของนักวิจารณ์บางคนด้วย เพราะเราชอบผู้กำกับ 7 คนนี้มาก ๆ

+++

พอได้ยินข่าวเรื่องการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของบุคคลบางคนแล้ว เราก็เลยนึกถึงประเด็นที่เรากับเพื่อน ๆ สมัยประถมมัธยมคุยกันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คือพวกเราอายุ 51 ปีกันแล้ว และก็คุยกันว่า ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา มีคนรู้จักหลายคนเสียชีวิตอย่างกะทันหันเยอะมาก แล้วหลายคนที่เสียชีวิตคือ “คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ” แล้วอยู่ ๆ ก็หลับไปไม่ตื่นขึ้นมาเลย (เขาเรียกว่า ไหลตาย หรือเปล่า) หรือบางคนก็เป็นโรคเกี่ยวกับ “เส้นเลือด” อย่างกะทันหัน แล้วเสียชีวิต

 

ซึ่งตอนแรกพวกเราก็นึกถึง conspiracy theory เกี่ยวกับวัคซีน แต่พอคุยเช็คข้อมูลกันแล้ว ก็พบว่าผู้เสียชีวิตบางรายในกรณีนี้ ไม่ได้ฉีดวัคซีนที่ตกเป็นข่าวลือแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นการเสียชีวิตของบุคคลคนนั้น ก็ไม่น่าจะมีสาเหตุมาจากวัคซีน

 

พวกเราก็เลยไม่สามารถสรุปได้ว่า สาเหตุของปรากฏการณ์การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของคนหลายคนเหล่านี้ เกิดจากอะไรกันแน่ แต่พวกเราบางคนก็มีความเห็นตรงกันว่า “อยากไหลตาย” คือถ้าหากวันไหนเรานอนหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย นั่นคือสุดยอดปรารถนาของเรา เพราะเราไม่ได้มีความอาลัยอาวรณ์กับชีวิตของเราแต่อย่างใด เรามีชีวิตอยู่มานาน 51 ปีแล้ว เราแค่กลัว “ความเจ็บปวดทางร่างกาย” ก่อนตายเท่านั้นแหละ แต่ไม่ได้กลัวความตาย

 

ในที่สุด เรากับเพื่อนๆ สมัยประถมมัธยมก็เลยได้ข้อสรุปจากการหารือในประเด็นนี้กันว่า ในเมื่อพวกเราไม่รู้สาเหตุของการเสียชีวิต และไม่สามารถป้องกันการเสียชีวิตเหล่านี้ได้ เพราะหลายคนที่เสียชีวิตแบบนี้คือ “คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ” เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเราทำได้ ก็คือ

 

“พวกเราต้องแต่งหน้าก่อนเข้านอน”

 

เพื่อที่ว่าวันไหนพวกเราเกิดไหลตายขึ้นมา ศพจะได้สวย ๆ จบ

+++

Happy Birthday to Nanoguy ด้วยรูปจาก VDO COMMENT ในวันที่ 12 ก.ค. 2009 หรือเมื่อ 15 ปีมาแล้ว เพื่อรำลึกว่าพวกเราผ่านร้อนผ่านหนาวกันมามากขนาดไหน 55555

https://www.youtube.com/watch?v=Xvznopi847Q

 

 

 

 

Friday, December 06, 2024

DEAR…MY DARLING

 

DEAR…MY DARLING แด่เธอ...ผู้เป็นที่รัก (2024, Ausawin Sinthipong อัศวิน สินธิพงษ์, 30min, A+30)

 

1.นึกว่าต้องจองเป็นนางเอกหนังเรื่องนี้แทบไม่ทัน 555555 ชอบตัวละครนางเอกแบบนี้ (ตัวเด็กมัธยมนะ ไม่ใช่ตัวละครแม่) อย่างสุดขีดมาก ๆ นึกว่าจิตร โพธิ์แก้วมาเอง หรือไม่ก็เป็นตัวละครหญิงแบบที่สามารถ survive ได้ในโลกจินตนาการของจิตร โพธิ์แก้ว

 

2.รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันสั้นเกินไปมาก ๆ สำหรับเรา เราเดาว่าผู้สร้างหนังคงไม่อยากให้หนังยาวเกิน 30 นาที เนื้อเรื่องบางช่วงเลยดูรวบรัดเกินไปสำหรับเรา โดยเฉพาะส่วนที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างนางเอกกับเพื่อนสนิทในโรงเรียน ที่ดูเหมือนเล่าแบบ montage อย่างรีบ ๆ

 

คือถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็นหนังยาว เราก็อยากให้ขยายเนื้อหาเรื่องราวชีวิตของนางเอกในโรงเรียนออกมาได้เลย ทั้งเรื่องของนางเอกกับเพื่อนสนิท และเรื่องของอีเหี้ยอีห่าอีสารพัดสัตว์นรกแต่ละตัวในโรงเรียน

 

3.คือหนังแบบนี้พอดูแล้ว เราก็พบว่ามันสอดคล้องกับโลกจินตนาการของเราอย่างรุนแรงมาก ๆ มันเหมือน blend เข้ากันได้เลยกับ many of my imaginary films คือพอดูหนังเรื่องนี้เสร็จแล้วเราก็สร้าง “หนังในจินตนาการ” ของเราต่อได้เลย หรือเหมือนร่าง fan fiction ในหัวของเราต่อได้ในทันที

Thursday, December 05, 2024

WICKED

 

รายงานผลประกอบการประจำวันจันทร์ที่ 2 ธ.ค. 2024

 

1. DANGEROUS BOYS 2 วัยเป้ง นักเลงขาสั้น 2 (2024, Poj Arnon, A+)

 

ดูที่ MAJOR RATCHAYOTHIN รอบ 11.30

 

ทำไมดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่า “ฝ่ายผู้ร้าย” (บิ๊ก ที่น้องสาวตั้งท้อง) คือฝ่ายที่ถูกต้อง ส่วนฝ่ายที่พระเอกเข้าข้าง (ฝ่ายที่ไปทำผู้หญิงท้อง แล้วไม่รับผิดชอบ) คือ “ฝ่ายผิด”

 

การคลี่คลายปัญหาเรื่องตั้งท้องในวัยเรียนในหนังเรื่องนี้ เหวอแดกมาก ๆ ไม่นึกว่าปัญหาจะคลี่คลายด้วยวิธีนี้ได้ cult กว่านี้มีอีกไหม 55555

 

2. MALEE มาลี (2024, กฤติเดช เริ่มสกุลณ์ Krittidech Roemsakul, A+15)

 

ดูที่ MAJOR RATCHAYOTHIN รอบ 14.00

 

ในขณะที่หนังบางเรื่อง อย่างเช่น  “วัยเป้ง นักเลงขาสั้น 2” ประสบปัญหาในการทำให้ผู้ชม “สามารถแยกแยะระหว่างตัวละครต่าง ๆ” เพราะตัวละครในวัยเป้งนั้น ก็เป็นหนุ่มหล่อที่หลาย ๆ คนมีหน้าตาคล้ายกัน และบทหนังก็ไม่เก่งพอที่จะทำให้เราแยกแยะตัวละครเหล่านี้ได้ง่าย ๆ เพราะตัวละครแต่ละตัวมันแบน ๆ หนังอย่าง “วัยหนุ่ม 2544” ก็ช่วยให้เราแยกแยะระหว่างตัวละครต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ เพราะบทหนังมันเก่งพอ และนักแสดงเล่นเก่ง

 

หนังอย่าง MALEE ก็แสดงให้เห็นถึงอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถทำให้เราแยกแยะระหว่างตัวละครต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ในทันที ถึงแม้ตัวละครมันแบน ๆ โดยใช้วิธีการแยกแยะผ่านทางการ casting เพราะ MALEE เล่าเรื่องของตัวละครชายหนุ่ม 4 คน คนนึงหน้าตาไทยๆ คนนึงหน้าตาจีน ๆ คนนึงหน้าตาฝรั่ง ส่วนอีกคนหน้าตาไปทางอินเดีย คือพอหนังใช้วิธีการ casting แบบนี้ปุ๊บ ผู้ชมอย่างเราก็แยกแยะตัวละครทั้ง 4 นี้ได้ในทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจาก “บทภาพยนตร์” 55555

 

3. THE COLORS WITHIN (2024, Naoko Yamada, Japan, animation, A+30)

 

ดูที่ MAJOR RATCHAYOTHIN รอบ 16.30

 

ชอบสีสัน และลักษณะการวาดใน animation เรื่องนี้มาก ๆ เพราะมันกระเดียดไปทาง “การ์ตูนตาหวาน” ที่เราชอบอ่านตอนเด็ก ๆ

 

4. WICKED: PART 1 (2024, Jon M. Chu, 160min, A+30)

ดูที่ MAJOR RATCHAYOTHIN รอบ 19.00

 

หวีดร้องสุดเสียง อินสุดขีด เพราะเราเป็นคนที่ “หลงใหลในโลกแห่งเทพนิยาย” อย่างรุนแรงอยู่แล้ว แต่ปัญหาที่เรามีกับ “เทพนิยาย” ตั้งแต่เด็ก ๆ คือเทพนิยายหลาย ๆ เรื่อง มันเล่าเรื่องของ “สาวสวย” น่ะ ไม่ว่าจะเป็น SNOW WHITE, CINDERELLA, SLEEPING BEAUTY, BEAUTY AND THE BEAST, etc. เราก็เลยไม่อินกับเทพนิยายประเภทนี้ ถึงแม้เราจะหลงใหลในโลกแห่งเทพนิยาย อาจจะมียกเว้นก็แค่ “เจ้าจอมหน้าด่าง” เวอร์ชั่นเจิ้นอวี้หลิง และ  “แก้วหน้าม้า” ที่นางเอกหน้าตาไม่สวย

 

คือถ้าหากพูดถึงหนังการ์ตูนดิสนีย์ เรื่องที่เรา “อิน” ที่สุดก็ยังคงเป็น BROTHER BEAR (2003, Aaron Blaise, Robert Walker) 55555

 

เพราะฉะนั้น WICKED ก็เลยเหมือนตอบโจทย์ของเราอย่างรุนแรงที่สุด

 

ตอนดู WICKED เราจะนึกถึงหนึ่งในการ์ตูนที่เราชื่นชอบที่สุดในชีวิตด้วย นั่นก็คือ BLUE SONNET (1981-1987, Shibata Masahiro) เพราะว่า BLUE SONNET ก็มี “นางเอกสองคน” เหมือนกัน แล้วทั้งสองคนนี้มี “พลังจิต” อย่างรุนแรงสุดขีดมาก โดยที่นางเอกที่ชื่อ Ran จะใช้พลังขั้นสูงสุดที่เรียกว่า “เขี้ยวงาสีแดง” ได้เมื่อเธอโกรธ เหมือนเธอสามารถทำให้เกิด “แผ่นดินไหว” ได้เลยถ้าเธอโกรธ เราก็เลยนึกถึง Elphaba ที่ใช้พลังได้เมื่อเธอโกรธหรือ feel injustice ส่วนนางเอกอีกคนใน BLUE SONNET ก็คือ Sonnet ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นคนจิตใจชั่วร้าย เพียงแต่ว่าเธอทำงานให้ฝ่ายผู้ร้าย เพราะฉะนั้นนางเอกทั้งสองคนก็เลยต้องต่อสู้กันอย่างรุนแรงสุดขีดตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่ได้มีใครเป็น “นางอิจฉา” ซึ่งจุดนี้ก็เลยทำให้นึกถึง WICKED ด้วย

 

เราก็เลยชอบและอินกับ WICKED มากๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าความดีงามนี้เป็นเพราะฝีมือของ Jon M. Chu, ตัวผู้สร้าง musical หรือตัวนิยายของ Gregory Maguire หรือทุก ๆ คน

 

+++

ONE OF MY MOST FAVORITE CHRISTMAS SONGS OF ALL TIME – SILENT EVE (1991) – Midori Karashima
https://www.youtube.com/watch?v=Edv3pdlO5wg

Wednesday, December 04, 2024

OTHERS FROM NOW ON

 

เราได้ไปเจอเพื่อนเก่าสมัยประถมกับมัธยม แล้วเพื่อนเล่าเรื่องนึงให้ฟังแล้วประทับใจมาก ๆ ก็เลยขอจดบันทึกเอาไว้เพื่อกันลืม

 

เรื่องก็คือว่า ที่ทำงานของเพื่อนคนนั้นไปสัมมนาหรืออะไรทำนองนี้ที่โรงแรมแห่งนึง แล้วก็มีการรับประทานอาหารกันในโรงแรม เพื่อนร่วมงานคนนึงเขาใส่ฟันปลอมไว้ในปาก น่าจะประมาณซี่นึง แล้วทีนี้พอเขากินอาหารในโรงแรมเข้าไป เขาก็รู้สึกว่าเขาเคี้ยวโดนอะไรแข็งๆ น่าจะเป็นฟันปลอมของเขาที่หลุดออกมาขณะเคี้ยวอาหาร เขาก็เลยรีบไปเข้าห้องน้ำ เพื่อจะได้คายฟันปลอมที่หลุดนั้นออกมา

 

พอเขาเข้าห้องน้ำ คายฟันปลอมออกมา เขาก็พบว่าสิ่งที่เขาคายออกมามันเป็นฟันคนจริง ๆ แล้วฟันปลอมของเขาก็ยังติดแน่นอยู่ในปากของเขา ฟันจริงกับฟันปลอมของเขาอยู่ในปากครบทุกซี่ แล้ว “ฟันมนุษย์” ที่อยู่ในอาหารที่เขากินเข้าไปมันมาจากไหน ฟันมนุษย์ซี่นั้นมันอยู่ในอาหารโรงแรมได้อย่างไร

 

พอพวกเราได้ฟังเรื่องนี้ พวกเราก็เลยตั้งข้อสันนิษฐานกันว่า อาหารที่เขากินเข้าไปอาจจะทำมาจากเนื้อมนุษย์!!!!!!!!

+++

LOU CASTEL VS. NIELS ARESTRUP

 

ชอบการแสดงของทั้งสองคนนี้มาก ๆ ตัดสินไม่ได้ว่าชอบใครมากกว่ากัน

 

LOU CASTEL (born 1943 ยังมีชีวิตอยู่)

 

ตัวอย่างผลงานการแสดงของเขา

 

1.FISTS IN THE POCKET (1965, Marco Bellocchio, Italy)

 

2.THE CASSANDRA CROSSING (1976, George P. Cosmatos, UK)

 

3.THE AMERICAN FRIEND (1977, Wim Wenders, West Germany)

 

4.THE EYES, THE MOUTH (1982, Marco Bellocchio, Italy)

 

5.THE BIRTH OF LOVE (1993, Philippe Garrel, France)

 

เหมือนในทศวรรษ 1970 มีหนังที่นำแสดงโดย Lou Castel เข้าโรงฉายในไทยเยอะมาก ๆ เพราะเขาเล่นหนัง mainstream ของยุโรปหลายเรื่องในยุคนั้น และยุคนั้นไทยชอบฉายหนัง mainstream จากยุโรป

 

ส่วน NIELS ARESTRUP (1949-2024) นั้นเราเพิ่งเขียนถึงในโพสท์นี้

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10236293218653970&set=a.10225528461101759

 

RIP NIELS ARESTRUP (1949-2024)

 

ชอบการแสดงของเขามาก ๆ โดยเฉพาะใน THE DUNE (2013) ที่เขารับบทเป็นตำรวจเกย์วัยชรา เราเคยดูหนังที่เขาแสดงมา 8 เรื่อง ซึ่งได้แก่

 

1.STAVISKY (1974, Alain Resnais)

 

2. I, YOU, HE, SHE (1974, Chantal Akerman)

เราชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดขีด แต่เราจำผิดมาตลอดว่าเป็น Gerard Depardieu เล่นหนังเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเป็น Niels Arestrup ที่เล่นหนังเรื่องนี้

 

3.THE BEAT THAT MY HEART SKIPPED (2005, Jacques Audiard)

 

4.THE DIVING BELL AND THE BUTTERFLY (2007, Julian Schnabel)

 

5.SARAH’S KEY (2010, Gilles Paquet-Brenner)

 

6.OUR CHILDREN (2012, Joachim Lafosse, Belgium)

 

7.THE DUNE (2013, Yossi Aviram, France/Israel)

 

8. DIVERTIMENTO (2022, Marie-Castille Mention-Schaar, France)

++++

OTHERS FROM NOW ON อื่น ๆ นับจากนี้ (ธนดล สดศรี Tanadol Sodsri, 30min, A+30)

 

ชอบสุดขีด เรื่องราวของเด็กสาววัยมัธยมปลายที่เหมือนไม่เหลืออะไรอีกแล้วในชีวิตนี้ กิจกรรมหลักของเธอในหนังเรื่องนี้คือการขุดคุ้ยหาแผ่น VCD, DVD ที่อาจมีภาพถ่ายครอบครัวในอดีตและคลิปที่บันทึกภาพตัวเองเคยรำตอนเด็กๆ แต่แผ่น VCD, DVD เหล่านั้น เธอก็เอาไปทำโมไบล์จนแผ่นอาจจะเสียไปแล้ว

 

หนังมีลักษณะการถ่าย, วิธีการเล่าเรื่อง, การใช้เพลงประกอบที่แปลกดี

 

หลาย ๆ ฉากเราไม่เห็นใบหน้าตัวละคร ได้ยินแค่เสียงตัวละคร หรือเห็นแค่อวัยวะบางส่วนของตัวละคร ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเลือกใช้ choice นี้ แต่ดูแล้วนึกถึง Robert Bresson ในทันที

 

ชอบฉากที่นางเอกสวดแผ่เมตตาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งเหมือนมันไม่มีความสำคัญอะไรกับเนื้อเรื่องเลย ไม่รู้มันเกี่ยวกับเนื้อเรื่องยังไง แต่มันเข้ากับอารมณ์ของหนังมาก ๆ ชอบสุด ๆ ที่มีฉากแบบนี้ในหนังเรื่องนี้ กราบมาก ๆ

 

รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เหมาะฉายควบกับ MOUCHETTE (1967, Robert Bresson) อย่างรุนแรงที่สุด กราบบบบบบบบบบ

 

MOUCHETTE (1967, Robert Bresson) VS. OTHERS FROM NOW ON อื่น ๆ นับจากนี้ (2024, Tanadol Sodsri, 30min, A+30)

++++

ONE OF MY MOST FAVORITE POSTERS OF ALL TIME น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ยอมจ่ายค่าตั๋ว 544 บาทเพื่อแลกกับโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ IN YOUTH WE TRUST และของแถมอื่น ๆ 55555

 

ตอนที่โปสเตอร์นี้เผยแพร่ออกมาทางสื่อครั้งแรกเมื่อหลายเดือนก่อน เพื่อนคนนึงถึงกับ line บอกเราและเพื่อน ๆ ทุกคนในกลุ่มในทันทีว่า “เห็นโปสเตอร์นี้แล้วนึกถึงจิตร รู้ได้ในทันทีว่าจิตรอยากจะอยู่ท่ามกลางผู้ชายเหล่านี้” 55555

 

Monday, December 02, 2024

FAVORITE QUOTE

 

วาทศิลป์บิณฑบาตที่เราประทับใจจากเพื่อนๆ ที่ได้เจอในวันที่ 1 ธ.ค.

 

เพื่อนเล่าว่า เขาต่อคิวจะจ่ายตังค์ใน supermarket ซึ่งก็มีคนเข้าคิวต่อจากเขาหลายคน แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีป้าคนนึงมาพูดกับเขาว่า “ขอแซงคิวหน่อยได้ไหม เพราะป้าซื้อของแค่ไม่กี่ชิ้นเอง” เพื่อนก็เลยพูดกับป้าว่า ให้ป้าไปถามแบบนี้จากคนสุดท้ายในคิวก่อน แล้วถ้าเขาอนุญาตให้ป้าแซงคิวเขาได้ ก็ให้ป้าไล่ถามขึ้นมาเรื่อย ๆ แบบนี้ทีละคน ทีละคน ถ้าหากทุกคนที่ต่อคิวหลังจากผม เขาอนุญาตให้ป้าแซงคิวได้ ผมก็อนุญาตให้ป้าแซงคิวผมได้ พอเพื่อนพูดแบบนี้ ป้าคนนั้นก็เลย fade away ไป

 

ซึ่งเราก็ประทับใจสิ่งที่เพื่อนทำมาก ๆ ก็เลยขอจดบันทึกความทรงจำนี้ไว้ค่ะ เพราะเราเองก็รู้สึกว่า การที่เรายอมให้ป้าแซงคิวเรา มันอาจจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนต่อทุกคนที่ยืนต่อคิวมาแล้วเป็นเวลานานหลังจากเราก็ได้

Sunday, December 01, 2024

๋JAIL 8

 

พอดู “วัยหนุ่ม 2544” แล้วก็เลยนึกถึงละครโทรทัศน์ในตำนาน เรื่อง “ขัง 8” (1997) ซึ่งเราไม่ได้ตามดู เหมือนเคยดูแค่ผ่าน ๆ แต่เหมือนจำได้ว่า ตอนนั้นมีข่าวว่าละครเรื่องนี้ซ่องแตกมาก ๆ ตัวละครผู้หญิงในคุกตบตีกันสนุกมาก ๆ มันส์มาก ๆ จนกระทั่งชุติมา นัยนา ซึ่งเหมือนรับบทเป็นทนายความในละครเรื่องนี้ อดรนทนไม่ได้ ถึงกับต้องออกมาขอร้องทางผู้สร้างละครว่า ช่วยเขียนบทให้ตัวละครของเธอได้เข้าไปติดคุกกับตัวละครอื่นๆ  ด้วย เพื่อที่ตัวละครของเธอจะได้ไปร่วมสนุกตบตีกับตัวละครอื่น ๆ ในคุก ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเราจำข่าวนี้ผิดหรือเปล่านะ ถ้าหากเราจำข่าวนี้ผิด เราก็ขออภัยด้วยค่ะ

 

คือเห็นแค่ชื่อดารานำก็รับประกันความซ่องแตกแน่นอน -- กมลชนก โกมลฐิติ - - ชุติมา นัยนา - รัญญา ศิยานนท์ - ชุดาภา จันทเขตต์ - อังคณา ทิมดี - ปภัสรา ชุตานุพงษ์ - ไปรมา รัชตะ - ปิยะมาศ โมนยะกุล - จิระวดี อิศรางกูร ณ อยุธยา - อัญชลี ไชยศิริ - ปทุมวดี โสภาพรรณ - เปียทิพย์ คุ้มวงศ์ - ฉันทนา กิติยาพันธ์

 

เราเคยดู “ขัง 8” เวอร์ชั่นภาพยนตร์ของสนานจิตต์ บางสะพานในปี 2002 ซึ่งเราก็ชอบแค่ปานกลาง อาจจะเพราะมันเป็น male gaze และมันออกมาในเชิงซีเรียสดราม่า ไม่ได้ออกมา “ซ่องแตก” หรือ “cult” แบบเวอร์ชั่นละครทีวี

 

คิดว่าถ้าหากมีการนำเอา ขัง 8 มาสร้างเป็นภาพยนตร์ใหม่ ก็คงต้องให้ผู้กำกับที่เป็น queer หรือผู้หญิงมากำกับ เพื่อรับประกันความซ่องแตก 55555

https://www.youtube.com/watch?v=wbYrNncQwJI

IN YOUTH WE TRUST

MARX CAN WAIT (2021, Marco Bellocchio, Italy, documentary, A+30)

 

เห็นมันอยู่ใน MUBI LEAVING SOON เราก็เลยรีบดู หนักมาก ๆ หนังสารคดีที่ผู้กำกับพยายามขุดคุ้ยการฆ่าตัวตายของฝาแฝดของเขาในปี 1968 ซึ่งเป็นช่วงที่ฝาแฝดของเขามีอายุได้ 29 ปี

 

ดูแล้วนึกว่าเป็นอัลบัม greatest hits ของศิลปินดัง เพราะหนังเรื่องนี้มันสะท้อนให้เห็นว่า ชีวิตจริงของตัว Marco Bellocchio โดยเฉพาะชีวิตครอบครัวของเขา มันสะท้อนออกมาให้เห็นในหนังมากมายหลายเรื่องที่ผู้กำกับคนนี้เคยสร้างขึ้นมา โดยเฉพาะเรื่องการฆ่าตัวตายของฝาแฝดคนนี้ ที่เคยถูกใส่มาแล้วในหนังเรื่อง THE EYES, THE MOUTH (1982, Marco Bellocchio) ที่ทางฟิล์มไวรัสเคยนำมาฉายที่ห้องสมุดธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

 

ชอบมุมมองของบาทหลวงคนหนึ่งในหนังเรื่องนี้มาก ๆ ที่เขามองว่า “ภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง” จริง ๆ แล้วมันคล้าย ๆ กับคนที่มาสารภาพบาปในโบสถ์ การดูภาพยนตร์แต่ละเรื่องมันเหมือนกับการที่บาทหลวงได้ฟังผู้กำกับแต่ละคนมาสารภาพบาปในสิ่งที่ตนเองเคยทำ โดยเฉพาะในกรณีของ Marco Bellocchio

 

 เราชอบมุมมองนี้อย่างสุดขีด เพราะเราว่ามันก็ใกล้เคียงกับหนังไทยหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะหนังสั้นไทย ที่ภาพยนตร์ทำหน้าที่เหมือน “บำบัดจิตใจ” ของผู้กำกับ คือผู้กำกับอาจจะไม่ได้ทำบาป แต่ผู้กำกับมีเรื่องทุกข์ใจ และระบายความทุกข์ใจของตนเองออกมาทางภาพยนตร์ และผู้ชมก็เลยเหมือนเป็นจิตแพทย์ที่มานั่งฟังผู้กำกับระบายความทุกข์ของตนเองออกมา ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเราชอบภาพยนตร์แนวนี้อย่างรุนแรงมาก ๆ เรารักทั้งภาพยนตร์ที่ทำหน้าที่เป็น “เครื่องมือบำบัดจิตใจของผู้กำกับ” และภาพยนตร์ที่ทำหน้าที่เป็น “การสารภาพบาป หรือการตีแผ่ guilt ของผู้กำกับ”

---

สืบสิเน 6 (2024, ขวัญจิรา แพร่แสงเอี่ยม, A+15)

 

SERIOUS SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

 

อยากให้มีฉากต่อท้ายอีกฉากนึงในหนังเรื่องนี้ คือในความเป็นจริงนั้นหนังเรื่องนี้จบลงด้วย 2 ฉาก คือฉากที่ “ทุกคนรู้ว่าใครคือฆาตกร” และ “ฉากการฆาตกรรม” แต่เราอยากให้มีฉากต่อท้ายอีกฉากนึง คือฉากที่ “ฆาตกรเดินเข้ามาในห้อง แล้วทุกคนที่เหลือในห้องปรบมือด้วยความชื่นชม” และเข้ามาปลอบอกปลอบใจฆาตกรว่า คุณทำดีแล้ว พวกเราชื่นชมคุณ พวกเราจะไม่บอกตำรวจหรอกนะ 55555

+++++

 

ไปดูงาน video installation HOMING INSTINCT ที่ STORAGE ตรงถนนพระสุเมรุมาแล้ว ในงานนี้มีวิดีโอ 4 ชิ้น ความยาวรวมกันราว 63 นาทีนะ เราชอบวิดีโอทั้ง 4 ขิ้นนี้มาก ๆ

 

เราเข้าใจว่างาน HOMING INSTINCT นี้จะจัดแสดงถึงวันอาทิตย์ที่ 1 ธ.ค.นี้เป็นวันสุดท้ายนะ โดย STORAGE เปิดเวลา 14.00-19.00 น. ถ้าใครจะไปดูก็ต้องรีบไปนะจ๊ะ

 

ชอบ  SIAM (2024, Ananta Thitanat, video installation, 13min, A+30) มาก ๆ เพราะงานวิดีโอนี้พูดถึงโรงหนังสยาม, ลิโด และสกาล่า ในฐานะ “บ้าน” ของพนักงาน เพราะว่าพนักงานโรงหนังหลาย ๆ คนเป็นคนต่างจังหวัดที่ยากจน พอพวกเขาได้งานทำเป็นพนักงานที่สกาล่า พวกเขาก็สามารถ “นอน” ที่โรงหนังได้ในตอนกลางคืน โดยทางโรงหนังมีเตียงมีมุ้งให้ บางคนก็กางมุ้งนอนที่หน้าจอฉายหนังเลย ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด ซึ่งการทำแบบนี้ win win ทั้งสองฝ่าย เพราะฝ่ายเจ้าของโรงหนังก็เหมือนมี “ยาม” เฝ้าโรงหนังให้โดยอัตโนมัติ เพราะมีพนักงานจำนวนหนึ่งนอนที่โรงหนังตลอดทั้งคืน ส่วนตัวพนักงานเองก็ได้รับประโยชน์สูงสุด เพราะว่า

 

1. ไม่ต้องเสียเงินค่าเช่าห้องในกรุงเทพ

 

2. ไม่ต้องจ่ายค่า taxi ตอนดึก ๆ เพราะกว่าโรงหนังจะปิดในแต่ละคืน รถเมล์ก็หมดแล้ว ถ้าหากจะกลับห้องเช่าหลังโรงหนังปิด ก็อาจจะต้องเสียเงินค่า taxi ซึ่งพนักงานก็ไม่น่าจะมีเงินพอจ่ายค่า taxi ได้ทุกคืน

 

3. พอพนักงานตื่นเช้าขึ้นมา ก็ทำความสะอาดโรงหนังได้เลย ซี่งเราคิดว่าแบบนี้มันดีมาก เพราะพนักงานเองก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาทำงานในตอนเช้าด้วย

+++

 

เราได้ซื้อตั๋วหนังไปร่วมงาน SPECIAL SCREENING ของหนังเรื่อง “วัยหนุ่ม 2544” (2024, Puttipong Nakthong, A+30)  มีนักแสดงมาปรากฏตัวในงานด้วย 6 คน กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ดิฉันรักทุกคนค่ะ ดิฉันรักมวลมนุษยชาติ

 

เหมือนเราไม่เคยไปงานอะไรแบบนี้มาก่อนเลยมั้ง ตอนแรกก็กลัวว่าเราจะดู “แปลกแยก” หรือเปล่า เพราะในงานแบบนี้จะมีแต่ “เด็กสาว ๆ” มาดูหนังกันหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าพอถึงเวลาจริง ๆ ก็มี “ผู้ชาย” มาดูหนังในงานนี้หลายคนด้วยกัน คือเราอาจจะดู “แก่สุด” ในบรรดาผู้ชมวันนี้ เพราะเราอายุ 51 ปีแล้ว แต่เราก็ไม่รู้สีกแปลกแยกแต่อย่างใด เพราะผู้ชมที่เป็นเพศชายก็มีจำนวนเยอะพอสมควร เราเดาเอาเองว่าหลายคนก็อาจจะเป็นเหมือนเรา คือเป็น “cinephile ที่บ้าดาราชายหล่อ ๆ” 55555

 

+++

เราได้ซื้อตั๋วหนังไปร่วมงาน SPECIAL SCREENING ของหนังเรื่อง “วัยหนุ่ม 2544” (2024, Puttipong Nakthong, A+30)  ปรากฏว่าเราเป็นหนึ่งในผู้โชคดี 44 คนในงานนี้ ที่มีสิทธิเอาโปสเตอร์ไปให้นักแสดงหนุ่มหล่อทั้ง 6 คนในงานเซ็นชื่อด้วย แม่หมีมีความสุขมาก ๆ ค่ะ

+++

ไม่ได้เมนใครเป็นพิเศษค่ะ และก็ไม่ได้ชิพคู่ไหนด้วย 55555 คือถ้าหากตัดสินจาก “หน้าตา” ของนักแสดงแล้วก็ชอบทุกคนค่ะ เพราะฉะนั้นก็คงต้องตัดสินจาก “นิสัยของตัวละคร” ในเรื่อง เพราะหน้าตาทุกคนคือ “ได้หมด” สำหรับเรา 55555

 

คือถ้าหากตัดสินจาก “นิสัยของตัวละคร” ในเรื่อง ก็คืออยากได้ “บังกัส” (อิชณน์กร) อันดับหนึ่งค่ะ อยากได้ “กอล์ฟ” (เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี) เป็นอันดับสอง และก็อยากได้ “เผือก” (ณัฏฐ์ กิจจริต) เป็นอันดับสามค่ะ

+++

 

ถ้าหากเราจะฉายหนังเรื่อง IN YOUTH WE TRUST หรือ เรื่อง “วัยหนุ่ม 2544” (2024, Puttipong Nakthong, A+30)  ควบกับหนังเรื่องไหน เราก็นึกถึงหนัง 3 เรื่องด้วยกัน ซึ่งก็คือ

 

1. THE OUTSIDERS (1983, Francis Ford Coppola) เพราะเหมือนหนังทั้งสองเรื่องนี้ ขาย “ความหล่อล่ำหำตึง” ของกลุ่มดารานำชายได้อย่างดีงามสุดขีดเหมือนกัน, เป็นกลุ่มดารานำชายที่มีอนาคตไกลมาก ๆ, ตัวละครในหนังทั้งสองเรื่องก็เป็น “ชายหนุ่มนอกคอก” เหมือนกัน และคุณภาพหนังก็โอเคมาก ๆ ทั้งสองเรื่อง ไม่ได้ขายแค่ความหล่อเพียงอย่างเดียว

 

โดย THE OUTSIDERS นั้น นำแสดงโดย

 

1.1 Tom Cruise

 

1.2 Rob Lowe (ABOUT LAST NIGHT, ST. ELMO’S FIRE, THE HOTEL NEW HAMPSHIRE, BAD INFLUENCE)

 

1.3 C. Thomas Howell (E.T. THE EXTRA-TERRESTRIAL, THE HITCHER)

 

1.4 Matt Dillon (RUMBLE FISH, THE FLAMINGO KID, DRUGSTORE COWBOY, A KISS BEFORE DYING, TO DIE FOR)

 

1.5 Ralph Macchio (THE KARATE KID)

 

1.6 Patrick Swayze (DIRTY DANCING, GHOST, POINT BREAK, ROAD HOUSE, CITY OF JOY)

 

1.7 Emilio Estevez (REPO MAN, THE BREAKFAST CLUB, ST. ELMO’S FIRE, WISDOM, MEN AT WORK)

 

เพราะฉะนั้นพอเราดู “วัยหนุ่ม 2544” แล้วพบว่านักแสดงแต่ละคนแสดงกันอย่างตั้งอกตั้งใจเต็มที่มาก ๆ แล้ว เราก็เลยแอบหวังว่า พวกเขาจะมีอนาคตไกลเหมือนกับ Tom Cruise หลังจากเล่นหนังเรื่อง THE OUTSIDERS ด้วย

 

 

2. BAD BOYS CELL 425 (2009, Janusz Mrozowski, Poland, documentary, 120min, A+30)

 

หนังสารคดีที่ติดตามถ่ายทำชีวิตประจำวันของนักโทษชาย 7 คนที่ถูกขังอยู่ในห้องเดียวกันในคุกในโปแลนด์ แล้วคือนักโทษชายชาวโปแลนด์บางคน “หล่อล่ำมาก ๆๆๆๆๆ” ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็คงเป็นเพราะว่า พอพวกเขาถูกขังอยู่ในคุก พวกเขาก็เลยทำกิจกรรมอะไรไม่ได้มาก นอกจากออกกำลังกาย วิดพื้นไปเรื่อย ๆ แต่ละคนก็เลยหุ่นล่ำบึ้กกันไปเลย เราดูแล้วคือแบบ......................

 

แล้วชีวิตแต่ละคนก็เศร้านะ คือเราจำรายละเอียดอะไรไม่ได้มาก เพราะเราดูหนังเรื่องนี้ใน WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK มานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ถ้าหากเราจำไม่ผิด ก็คือบางคนคือเหมือนฆ่าคนตายตอนอายุ 18 ปี ก็เลยถูกจับขังคุกสำหรับผู้ใหญ่ แล้วตอนนี้ก็คือชายหนุ่มหล่อล่ำบึ้กคนนี้มีอายุ 35 ปีแล้ว และก็ยังติดคุกอยู่ คือหนุ่มหล่อล่ำบึ้กคนนี้ไม่เคยได้ “ใช้ชีวิตหลังวัยรุ่น” นอกคุกเลย ไม่เคยได้สัมผัสอิสรภาพหลังผ่านพ้นชีวิตวัยรุ่นเลย คือเหมือนพอเขาโตพ้นวัยรุ่นมาหน่อย ก็ต้องใช้ชีวิตในคุกมาตลอดเลย และก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากวิดพื้นเสริมความล่ำบึ้กของตนเองไปเรื่อย ๆ มานานหลายปีแล้ว

 

คือจริง ๆ แล้วหนังเรื่อง BAD BOYS CELL 425 มีเนื้อหาและรายละเอียดอื่น ๆ ที่มันดีมาก ๆ เลยนะ แต่หัวสมองของกะเทยอย่างดิฉัน กลับจำได้แต่อะไรแบบนี้หลังจากดูหนังเรื่องนี้ผ่านมานานกว่า 10 ปีแล้ว 5555

 

3. PLANET KRYPTON (2019, Prontip Mankhong, Pisitakun Kuantalaeng, video installation)

 

อันนี้เป็นวิดีโอที่สัมภาษณ์อดีตนักโทษหญิงชาวไทยหลายคน ซึ่งรวมถึงคุณภรณ์ทิพย์ มั่นคง ผู้เขียนหนังสือ “มันทำร้ายเราได้แค่นี้แหละ”

 

คือถ้าหากเราจำไม่ผิด อดีตนักโทษหญิงบางคนที่ให้สัมภาษณ์ในวิดีโอ PLANET KRYPTON นี่คือชีวิตเหมือนกับ “ฟลุ๊ค” ใน “วัยหนุ่ม 2544” เลย คือผู้หญิงคนนั้นบังเอิญไปอยู่ในสถานที่ที่เพื่อนหรือแฟนทิ้งยาเสพติดเอาไว้ในสถานที่นั้น แล้วตัวเธอก็เลยโดนจับติดคุกไปเลย โดยที่เธอเองไม่ได้ค้ายาเสพติด

 

ส่วนตัวหนัง IN YOUTH WE TRUST หรือ “วัยหนุ่ม 2544” นั้น เราก็ชอบมาก ๆ นะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังแนวแบบนี้ไม่ใช่ “แนวที่เราชอบสุดขีด” ซะทีเดียว เหมือนเป็นหนังแนวลูกผู้ชายอะไรทำนองนี้ คือเราว่าหนังเรื่องนี้มันก็ดีที่สุดเท่าที่มันจะดีได้ในแนวทางของมันเองแล้วล่ะ เพียงแต่ว่าตัวแนวหนังนั้นอาจจะไม่ได้ตรงกับแนวทางของเราเท่าไหร่

 

แน่นอนว่าเราจะอินกับ PLANET KRYPTON มากกว่า โดยเฉพาะคำให้สัมภาษณ์ของคุณภรณ์ทิพย์ในวิดีโอชิ้นนี้ที่บอกว่า “สิ่งแรกที่ทำเมื่อเข้าคุก คือการหาว่า “ศูนย์กลางของอำนาจ” ในคุกนั้น อยู่ที่ใคร แล้วก็เอาตัวเองเข้าไปอยู่กับ “ศูนย์กลางอำนาจ” นั้น เพื่อความปลอดภัยของชีวิตตัวเอง” หรืออะไรทำนองนี้ ถ้าหากเราจำไม่ผิดนะ

 

คือจริง ๆ แล้วเราเข้าใจและชอบตัวละครอย่าง “เผือก” และ “ฟลุ๊ค” มาก ๆ นะ แต่ถ้าหากเป็นตัวเราเอง เราคงไม่มีความกล้าหาญเหมือนตัวละครสองตัวนี้ เราคงยอม ๆ คนอื่น ๆ อย่างง่าย ๆ แต่เราก็เข้าใจว่ามีคนจริง ๆ ที่เป็นเหมือนอย่างตัวละครสองตัวนี้ และตัวละครแบบนี้นี่แหละ ที่จะทำให้ “เนื้อเรื่องมันเกิดความขัดแย้ง” และ “เนื้อเรื่องมันเดินหน้าไปเรื่อย ๆ” คือถ้าหากพระเอกและนางเอก (ฟลุ๊ค) ของหนังเรื่องนี้ ยอมสยบให้กับผู้ร้ายไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง หนังเรื่องนี้ก็คงจะกลายเป็นหนังแนว slice of life ชีวิตคนคุกไป ไม่มีฉากแอคชั่นหรือความ thriller อะไรใดๆ เกิดขึ้น (แต่ก็อาจจะเป็นหนังแนวที่เราชอบ 55555)

 

ก็เลยสรุปว่า ชอบ “วัยหนุ่ม 2544” มากๆๆๆๆๆ แต่ก็อาจจะไม่ได้ถึงขั้นชอบแบบสุดขีดคลั่ง เพราะเราอาจจะไม่ได้อินกับตัวละครชายที่กล้าหาญชาญชัยแบบนี้มากนัก และก็ขอยอมรับตามความเป็นจริงว่า “รักการถอดเสื้อ” ของชายหนุ่มจำนวนมากในหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงที่สุดค่ะ จบ 

 

Friday, November 29, 2024

TOSHIO MATSUMOTO

CONNECTION (1981, Toshio Matsumoto, Japan, 9min, A+30)

 

เราเคยดู FUNERAL PARADE OF ROSES (1969, Toshio Matsumoto) กับ ATMAN (1975, Toshio Matsumoto) มาแล้ว ชอบหนังทั้งสองเรื่องนี้อย่างสุดขีดมาก ๆ โดย ATMAN นี่ติดอันดับ 7 ในลิสท์หนังที่เราชื่นชอบที่สุดที่ได้ดูในปี 2019 เลย

 

พอได้ดู CONNECTION แล้วก็ต้องกราบตีน Toshio Matsumoto จริง ๆ คนอะไรแค่ “ถ่ายท้องฟ้า” ก็สามารถทำให้มันกลายเป็นหนังที่ไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไปได้

 

ดูหนังเรื่องนี้ได้ถึงวันที่ 30 พ.ย.นะ

https://www.e-flux.com/film/637409/connection/

 

RELATION (1982, Toshio Matsumoto, Japan, 8min, A+30)

 

ดูหนังเรื่องนี้ได้ถึงวันที่ 30 พ.ย.นะ

https://www.e-flux.com/film/637418/relation-kankei/

 

SHIFT (1982, Toshio Matsumoto, Japan, 8min, A+30)

 

ทำไมดู “อาคาร” ในหนังเรื่องนี้แล้วเรานึกถึง “หอกลาง จุฬา” กับ “สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยสุขุมวิท 55” เหมือนตัวอาคารในหนังเรื่องนี้มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เรานีกถึงอาคารสองแห่งนี้ในกรุงเทพโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

ดูหนังเรื่องนี้ได้ถึงวันที่ 30 พ.ย.นะ

https://www.e-flux.com/film/637410/shift/

 

 

 

 


Wednesday, November 27, 2024

FILM WISH LIST: BREATHLESS (2023, James Benning, 86min)

FILM WISH LIST: BREATHLESS (2023, James Benning, 86min)

 

เนื่องจากเราเคยดู BREATHLESS (1960, Jean-Luc Godard) และ BREATHLESS (1983, Jim McBride) ไปแล้ว เราก็เลยได้แต่หวังว่า จะมีคนนำ BREATHLESS ของ James Benning มาฉายให้พวกเราได้ดูกันบ้างนะคะ

 

https://www.viennale.at/en/film/breathless

Monday, November 25, 2024

HAEMORRHOIDS

 

บันทึกชีวิตว่า ซื้อผ้าอนามัยมา แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ใช้ค่ะ ซึ่งก็เป็นโชคดีของเราแล้ว

 

เรื่องก็คือว่า จริง ๆ แล้วดิฉันเจ็บปวดทุกข์ทรมานกับริดสีดวงทวารอย่างรุนแรงตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย.ค่ะ หรือวันแรกของเทศกาล WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK เหมือนดู ๆ หนังในวันนั้นไปแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดมาก ซึ่งดิฉันก็งงมาก เพราะดิฉันไม่มีอาการใด ๆ ของโรคริดสีดวงมาก่อนเลย แต่อยู่ดี ๆ วันนั้นก็เจ็บปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาเลย ลองคลำดูก็พบก้อนริดสีดวงที่โตมาก ๆ อยู่ข้างใน มันมาจากไหน มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ดิฉันก็งงมาก เพราะดิฉันแทบไม่เคยเบ่งเลย เพราะดิฉันเป็นโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนอยู่แล้ว ก็เลยไม่กล้าเบ่งแรง ๆ อยู่แล้ว เพราะมันจะทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนหนักมากกว่าเดิมอีก

 

เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย.เป็นต้นมา ดิฉันก็เลยกิน daflon ซึ่งมันก็ช่วยให้อาการดีขึ้น แต่มันก็ยังไม่หายสนิทซะที ตอนแรกดิฉันก็อยากไปหาหมอที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.เลย แต่พอดีช่วงนั้นมันเป็นช่วง WORLD FILM FESTIVAL ดิฉันก็เลยกลัวว่า ถ้าหากไปหาหมอ แล้วโดนจับผ่าตัด มันจะทำให้ไม่ได้ดูหนังใน WORLD FILM FESTIVAL บางเรื่องหรือเปล่า 55555 แล้วการกิน daflon มันก็ช่วยให้อาการดีขึ้นได้บ้าง ก็เลยใช้วิธีกิน daflon ไปเรื่อย ๆ แทน แล้วคิดว่าค่อยไปหาหมอหลังจากเสร็จ WORLD FILM FESTIVAL กับ TAIWAN DOCUMENTARY FILM FESTIVAL ก็แล้วกัน จะได้ไม่กระทบการดูหนังเทศกาล 55555

 

ซึ่งจริง ๆ แล้วดิฉันก็เคยผ่าตัดริดสีดวงมาแล้วรอบหนึ่งในปี 2001 ตอนนั้นจำได้ว่าพอผ่าเสร็จแล้ว เลือดมันจะยังคงไหลซึมออกมาจากแผลผ่าตัดเรื่อย ๆ ช่วงนั้นดิฉันก็เลยต้องซื้อผ้าอนามัยของผู้หญิงมาใส่อยู่ราวสัปดาห์นึง เพื่อให้ผ้าอนามัยมันช่วยดูดซับเลือดที่ไหลซึมออกมาจากแผลผ่าตัด ไม่ให้มันไปเปรอะกางเกง เหมือนช่วงนั้นถือเป็นครั้งแรกในชีวิตมั้งที่ได้ใส่ผ้าอนามัยอยู่ราวสัปดาห์นึง

 

เพราะฉะนั้นก่อนไปหาหมอในวันนี้ ดิฉันก็มั่นใจว่าดิฉันคงโดนจับผ่าตัดอีกครั้งแน่ ๆ ดิฉันก็เลยซื้อผ้าอนามัยเตรียมไว้เลย เพราะดิฉันกลัวว่า ถ้าหากผ่าตัดเสร็จแล้ว ดิฉันนั่ง taxi กลับบ้าน แล้วน้ำเมนส์หยดติ๋ง  ๆ ใส่เบาะรถ taxi มันคงจะไม่งามแน่ ๆ เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยซื้อผ้าอนามัยเตรียมไว้เพื่อใส่หลังผ่าตัดเสร็จจะดีกว่า

 

แต่พอไปหาหมอวันนี้ หมอบอกในทำนองที่ว่า ริดสีดวงคราวนี้มันเกิดจากเส้นเลือดแตกหรืออะไรสักอย่าง แล้วมันจะค่อย ๆ ยุบกลับไปของมันเองได้ น่าจะยุบหมดในอีก 3 สัปดาห์ แล้วจริง ๆ จะกินยา daflon หรือไม่ก็ได้ เพราะถึงไม่กินยา มันก็จะค่อย ๆ ยุบของมันเอง

 

ก็เลยสรุปว่า วันนี้ไม่ได้โดนจับผ่าตัด แล้วก็ไม่ต้องใช้ผ้าอนามัยที่ซื้อมาเตรียมไว้แต่อย่างใด ก็ถือว่าเป็นโชคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนึงของชีวิตวันนี้

 

 

Friday, November 22, 2024

MY FACEBOOK COMMENTS

 

กรี๊ดดดดดดดดดดดด พอเห็นชื่อ EL NORTE (1983, Gregory Nava, 141min) แล้วเราก็เลยเพิ่งจำได้ว่า อาจารย์แดงเคยฉายหนังเรื่องนี้ทางวิดีโอเทปในงานอะไรสักอย่างที่ "ศาลาเฉลิมกรุง" เหมือนฉายทางทีวีจอใหญ่ ๆ เมื่อราว 20 กว่าปีก่อน หรือในราวช่วงปลายทศวรรษ 1990 แล้วเราก็ไปดูในงานนั้น แต่เหมือนวิดีโอเทปมันเสียหรืออะไรสักอย่าง เราก็เลยได้ดูหนังเรื่องนี้แค่ใน 2 ชั่วโมงแรก แต่ไม่ได้ดูช่วง 21 นาทีสุดท้าย แล้วมันก็เลยกลายเป็น "หนังที่เรายังไม่มีโอกาสได้ดูให้จบ" มานานกว่า 20 ปีแล้ว กรี๊ดดดดดดดดด

 

I WORSHIP HERBERT ACHTERNBUSCH ชอบสุด ๆ ที่สถาบันเกอเธ่ในกรุงเทพเคยจัดงาน retrospective ให้ Herbert Achternbusch ในปี 2001 เป็นหนึ่งในงานฉายภาพยนตร์ที่ดีงามที่สุดในชีวิตของเรา

 

น่าดูสุดขีด อยากให้มีคนจัดงาน retrospective ของ John Huston มาก ๆ เพราะเราไม่เคยดูหนังที่เขากำกับเลย ยกเว้นหนังที่อาจจะเคยดูผ่าน ๆ ตาทางทีวีตอนเด็ก ๆ อย่างเช่น VICTORY (1981) และ ANNIE (1982)

Edit เพิ่ม: ไปค้นมาแล้ว ปรากฏว่าเราเคยดู MOULIN ROUGE (1952, John Huston)

 

อยากดู MONA LISA (1986, Neil Jordan) มาก ๆ Bob Hoskins ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ดารานำชายในปีนั้นด้วย แต่ผู้ชนะออสการ์ในปีนั้นคือ Paul Newman จาก THE COLOR OF MONEY (1986, Martin Scorsese)

 

หนังเรื่อง RAIN (1929, Joris Ivens, Netherlands, 12min) เคยมาฉายในเทศกาลหนังทดลองกรุงเทพในปี 1999 ด้วยนะ

 

ประทับใจเรื่องราวของ "ผีเด็ก" หรือ "วิญญาณเด็ก" ที่มาเข้าฝันคนในหนังสารคดีเรื่อง DIAMOND MARINE WORLD อย่างรุนแรงสุด ๆ ฉันเชื่อเลยว่า "ผีเด็ก" ในหนังสารคดีเรื่องนี้มีจริง

Thursday, November 21, 2024

TEARS OF A CINEPHILE

 

บันทึกชีวิตของ “CINEPHILE ที่โลกแกล้งให้แพงน้ำตา”

 

บันทึกว่า ดิฉันได้ซื้อตั๋ว THE REASON I JUMP (2020, Jerry Rothwell) กับ FROM ISLAND TO ISLAND (2024, Lau Kek Huat, Taiwan, documentary, 4hrs 50mins) รอบของวันพุธที่ 20 พ.ย.ไว้นะคะ แต่ก็ไม่ได้ออกไปดูค่ะ เพราะเช้าวันพุธดิฉันรู้สึกมึน ๆ หัว เหมือนอาการก่อนเริ่มเป็นหวัด ก็เลยตัดสินใจนอนพักไปเลย และก็ไม่ออกมาดูหนังข้างนอก แต่ก็ได้ดูหนังในเทศกาลหนังสั้นมาราธอนบางเรื่องแทน พอได้นอนพักแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาก เหมือนอาการกลับมาเป็นปกติ

 

วันนี้ลองตรวจ ATK ดู ก็คือยังไม่ติดโควิด แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะเห็นในอินเทอร์เน็ตบอกว่าการติดโควิดรอบใหม่สามารถเกิดขึ้นได้ทุก 4 สัปดาห์ หรือทุก 1 เดือน เหมือนภูมิคุ้มกันจากการติดโควิดแต่ละรอบมันอยู่ได้แค่เดือนเดียวเท่านั้น แล้วช่วงนี้ก็ใกล้ครบ 4 สัปดาห์หลังจากการติดโควิดรอบที่แล้วพอดี

 

วันนี้ก็ไม่ได้ออกไปดู FROM ISLAND TO ISLAND เหมือนกัน เพราะหนังมันฉายเวลา 19.15-24.15 น. แล้วเช้าวันศุกร์เราต้องเริ่มทำงานตั้งแต่ 07.00 น. ถ้าหากเราออกไปดูวันนี้ วันพรุ่งนี้เราคงทำงานไม่ได้แน่ ๆ เราก็เลยอยู่บ้านดูหนังสั้นมาราธอนบางเรื่องแทน

 

ก็เลยรู้สึกว่า ชีวิตของเราในปีนี้คือ “CINEPHILE ที่โลกแกล้งให้แพงน้ำตา” จริงๆ ค่ะ เพราะว่า

 

1.เราติดโควิดตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. ทำให้พลาดดูหนังหลายเรื่องในเทศกาลภาพยนตร์ SIGNES DE NUIT และพลาดดู GRAVE TORTURE (2024, Joko Anwar, Indonesia)

 

2.เราติดโควิดอีกรอบตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค. ทำให้พลาดดูหนังหลายเรื่อง โดยเฉพาะ THE RAPTURE (2023, Iris Kaltenbäck) ที่มาฉายที่ Alliance ในช่วงนั้น

 

3.เราเป็นคนเหงื่อออกง่ายมาก ก็เลยทำให้พลาดดู MONGREL (2024, Chiang Wei-liang, Taiwan) เพราะต้องกลับอพาร์ทเมนท์ไปอาบน้ำใหม่ ตามที่เคยเล่าไปแล้ว

 

4.เรามีอาการไม่สบาย ก็เลยตัดสินใจนอนพัก ไม่ออกมาดู THE REASON I JUMP กับ FROM ISLAND TO ISLAND

 

นึกถึงหนังหลาย ๆ เรื่องที่เคยพลาดดูในอดีต เพราะ “การล้มป่วย” อย่างเช่น STRAY DOGS (2013, Tsai Ming-liang, 138min) ที่เราไม่ได้ดูตอนที่มันมาฉายที่ SF central world เพราะเราป่วยเป็นโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนอย่างรุนแรงในช่วงนั้น และ HORSE MONEY (2014, Pedro Costa, Portugal) ที่เราไม่ได้ดูตอนที่มันมาฉายที่ SF CENTRAL WORLD เพราะเราป่วยเป็นหวัดในช่วงนั้น, etc.

 

รู้สึกเบื่อหน่ายกับอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตมาก ๆ แต่ก็ยังดีที่ได้ดูหนังใน WORLD FILM ไปแล้ว 40 กว่าเรื่อง และได้ดูเทศกาลหนังสั้นมาราธอน ช่วยปลอบประโลมจิตใจไปได้บ้าง