DETOURS (2021, Ekaterina Selenkina,
Russia, A+30)
+ CCTV (FROM CORNER OF THE STREET
VIEWPOINTS; PATTANI, YALA NARATHIWAT) (2022, Satu ≠
Padu
Collaborative, Prach Pimarnman, video installation in 3 channels, 15min, A+30)
SPOILERS ALERT
1.ขอเขียนถึงหนัง 2 เรื่องนี้ควบกันไปเลย เพราะเราได้ดูหนังทั้งสองเรื่องนี้ในเวลาไล่เลี่ยกัน
และหนังทั้งสองเรื่องนี้ใช้วิธีการนำเสนอแบบภาพจากกล้องวงจรปิดเหมือนกัน และดูเหมือนจะพูดถึง
“การที่รัฐบาลพยายามสอดส่องจับตาดูประชาชนอย่างรุนแรง” เหมือนกัน แต่ DETOURS เป็น fiction ในขณะที่ CCTV เราเข้าใจว่าเป็นภาพจริง หรือเป็นสารคดี
และเราก็ชอบหนังทั้งสองเรื่องนี้อย่างสุด ๆ เหมือนกัน แต่ความรู้สึกที่มีต่อหนังสองเรื่องนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในแง่นึง
เพราะในขณะที่ DETOURS เป็นหนัง fiction ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับการค้ายาเสพติดในรัสเซีย
เรากลับ “แทบไม่รู้สึกถึงความ drama ใด ๆ” ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่ดูหนังเรื่องนี้
ยกเว้นในฉากที่พระเอกถูกเจ้าหน้าที่ค้นตัว แต่ CCTV ซึ่งน่าจะเป็น “สารคดี” นั้น กลับสร้างความรู้สึกลุ้นระทึกอย่างสุด
ๆ ให้กับเราขณะที่ดู เพราะเราสงสัยว่า “ผู้ชายคนหนึ่ง” ที่ปรากฏตัวในจอหนึ่งในหนังเรื่องนี้เป็นเวลาเกือบ
15 นาทีเต็มนั้น “เป็นใครกันแน่”
2.ขอเขียนถึง DETOURS ก่อน คือก่อนที่เราจะได้ดู DETOURS ที่ Doc Club & Pub ในวันอาทิตย์ที่ 8 ม.ค.นั้น เราไม่ได้อ่านเรื่องย่อมาก่อนเลย
เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่รู้ว่าหนังมันต้องการจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด
เพราะฉะนั้นตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้เราก็เลยไม่รู้เลยว่าพระเอกทำอาชีพค้ายาเสพติด
เรารู้แค่ว่าพระเอกน่าจะทำงานผิดกฎหมายอะไรสักอย่าง และพระเอกก็เหมือนปรากฏตัวอยู่ในฉากต่าง
ๆ ในหนังเรื่องนี้แค่ราว 30-50% เท่านั้นมั้ง ในขณะที่ฉากที่เหลือในหนังเรื่องนี้เป็นภาพ
extreme long
shot ที่ถ่ายผู้คนในระยะไกล
และส่งผลให้เรามองเห็นทัศนียภาพต่าง ๆ ของเมืองเป็นหลัก
เพราะฉะนั้นตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้
เราก็เลยรู้สึกพิศวงมาก ๆ ว่า หนังมันต้องการจะเล่าอะไร หรือต้องการจะนำเสนออะไร
ต้องการจะนำเสนอทัศนียภาพของเมือง หรือนำเสนอชีวิตประจำวันของประชาชน หรืออะไร
ฉากต่าง ๆ ในหนังเรื่องนี้มันสัมพันธ์กันยังไง แล้วพระเอกเป็นใครทำอะไร 55555
คือพอหนังมันเป็นแบบนี้
แล้วเราไม่อ่านเรื่องย่อมาก่อน เราก็เลยรู้สึกพิศวงกับหนังตลอดเวลา
แต่จะไม่ได้รู้สึก “drama” หรือ “ตื่นเต้นลุ้นระทึก”
ยกเว้นในฉากที่พระเอกโดนเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟจับค้นตัวหรืออะไรทำนองนั้น
แต่ถึงแม้เราจะไม่รู้สึกตื่นเต้นลุ้นระทึกระหว่างที่เราดู
DETOURS เราก็ชอบหนังอย่างสุดๆ นะ เพราะเราชอบหนังที่ใช้วิธีการเล่าแบบพิสดารแบบนี้
3. เวลาที่เราดู
DETOURS เรานึกถึงหนังที่เราชอบสุดๆ หลาย ๆ เรื่องด้วย
อย่างเช่น
3.1 ABOUT ENDLESSNESS (2019, Roy Andersson,
Sweden) ที่นำเสนอฉากต่าง
ๆ ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันมาไว้ด้วยกัน แต่ “พฤติกรรมหยำฉ่าของมนุษย์” จะเป็น focus หลักในแต่ละฉาก ซึ่งจะแตกต่างจาก DETOURS ที่พฤติกรรมของมนุษย์จะดูปกติธรรมดากว่า,
ถูกนำเสนอในระยะภาพที่ไกลกว่ามาก ๆ จนมองแทบไม่เห็น และส่งผลให้ landscape ในหนังมีความสำคัญในระดับที่มากกว่าหรือเท่ากับพฤติกรรมของมนุษย์
3.2 NEWS FROM HOME (1976, Chantal Akerman, Belgium)
ที่เน้นนำเสนอ
landscape ของเมือง
3.3 HUKKLE (2002,
György Pálfi, Hungary) ที่นำเสนอฉากต่าง ๆ ของชีวิตชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไปเรื่อย ๆ และดูเหมือนจะไม่มีเส้นเรื่องอะไรเลย
หนังเรื่องนี้เคยมาฉายในกรุงเทพด้วย และเราจำได้ว่า หลังหนังฉายในกรุงเทพ ผู้ชมบางคนก็แสดงความเห็นทางเว็บบอร์ดว่า
ถ้าหากสังเกตดูดี ๆ หนังมัน “เล่าเรื่อง” ที่ผู้หญิงหลายคนในหมู่บ้านร่วมมือกันวางยาพิษฆ่าผู้ชายในหมู่บ้านด้วย
แต่ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่เห็นเส้นเรื่องนี้
3.4 เรื่องเล่าจากเสียงหัวเราะ
LAUGH MOMENT
(2019, Teeramate Kititadsupasin) ที่ครองอันดับหนึ่งหนังสุดโปรดของเราประจำปี 2019 หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องของนักเรียนสาวกลุ่มหนึ่งมานั่งคุยรำลึกถึงความหลังกัน
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเส้นเรื่องหลักของหนัง แต่ถ้าหากสังเกตดู background ของแต่ละฉากให้ดี
เราก็จะพบว่าหนังเล่าเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่รุนแรงสุดขีดควบคู่กันไปด้วยใน background ของแต่ละฉาก
3.5 ANONYMOUS (2013, Arnont Nongyao) ถ้าจำไม่ผิด หนังเรื่องนี้ใช้ text เล่าเรื่องของ “ผู้ชายคนหนึ่งในหมู่บ้าน”
ไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นคนที่ชอบไปช่วยงานศพของคนที่เขาไม่รู้จัก (ถ้าหากเราจำไม่ผิด) ส่วนภาพของหนังก็นำเสนอภาพชาวบ้านในงานศพอะไรต่าง
ๆ ไปเรื่อย ๆ เราเห็นภาพคนจำนวนมากในแต่ละฉากของหนัง
และพอหนังจบ
หนังก็ไม่ยอมบอกว่า “พระเอก” ที่หนังเล่าเรื่องของเขามาตลอดตั้งแต่ต้นจนจบนี้ มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่
หนังบอกแค่ว่าเขาปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ด้วย แต่ภาพของหนังเรื่องนี้นำเสนอภาพของชาวบ้านหลายสิบคนมาก
เพราะฉะนั้นผู้ชมที่อยู่นอกหมู่บ้านแห่งนั้นจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า
ในบรรดาชาวบ้านหลายสิบคนที่ปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ ใครกันแน่คือ “พระเอก” ที่ text ของหนังเล่าเรื่องของเขามาโดยตลอด ซึ่งเรื่องที่เล่าก็เป็น
“เรื่องจริง” ของผู้ชายคนหนึ่งในหมู่บ้านนั้นจริง ๆ
คือเหมือนหนังต้องการจะเล่าเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจมากๆ ของเขา
แต่ไม่ต้องการให้ผู้ชมรู้ว่าเขามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ หนังก็เลยใช้วิธีการแบบนี้
ซึ่งเราจะชอบวิธีการเล่าเรื่องแบบกึ่ง
ๆ แอบซ่อนอะไรแบบนี้มาก ๆ เราก็เลยชอบ DETOURS มาก ๆ ด้วยสาเหตุเดียวกัน
4.ในส่วนของ
CCTV นั้น หนัง/วิดีโอนี้จัดแสดงที่ศูนย์ QSNCC ในเทศกาล Bangkok Art Biennale (BAB) หนังแบ่งออกเป็น 3 จอ จอขวาสุดเราไม่รู้ว่ามาจากจังหวัดอะไรระหว่างปัตตานีกับนราธิวาส
แต่เป็นภาพยามค่ำคืน และเราก็ดูจอนี้อย่างผ่าน ๆ สิ่งที่น่าสนใจในจอนี้ก็คือว่า
ทางด้านซ้ายของจอเหมือนมีรถเข็นขายอาหารอะไรตั้งอยู่ข้างถนน และมีคนมาแวะซื้ออาหารกลับบ้านเป็นระยะ
ๆ โดยลูกค้าของร้านนี้มีทั้งคนที่ขับมอเตอร์ไซค์มาซื้อ และคนที่ขับรถยนต์มาซื้อ
5.ส่วนจอกลางของ
CCTV นั้น เป็นภาพของถนนอุตสาหกรรมในจังหวัดยะลาในตอนกลางวัน
เราดูจอนี้อย่างผ่าน ๆ รู้สึกว่าไม่ได้มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้น ยกเว้นแต่ช่วงหนึ่งที่มีผู้ชายเดินมาจาก
background และมีคนคนหนึ่งออกมากวาดบ้านที่หน้าบ้านของเขา
แล้วผู้ชายที่เดินมาก็มาคุยอะไรสักอย่างกับคนที่กวาดบ้านอยู่หน้าบ้าน
แล้วทั้งสองก็เดินคุยหายไปจากเฟรมภาพ ถ้าหากเราจำไม่ผิด
6.ส่วนจอซ้ายสุดของ
CCTV นั้นหนักมาก และเป็นสาเหตุที่ทำให้ CCTV คงติดอันดับในลิสท์ภาพยนตร์สุดโปรดของเราประจำปีนี้อย่างแน่นอน
จอนี้นำเสนอภาพวงเวียนในจังหวัดปัตตานีหรือไม่ก็นราธิวาสในตอนกลางวัน มีรถต่าง ๆ
แล่นกันขวักไขว่ผ่านวงเวียนนี้ ซึ่งมีสัญญาณไฟจราจรสีเหลืองกะพริบอยู่กลางวงเวียนตลอดเวลา
เราเข้าใจว่ามันคงหมายถึงให้รถแต่ละคันระวังกันเองเวลาแล่นผ่านวงเวียน
ในช่วงต้นของวิดีโอนี้
เราจะเห็นคนคนหนึ่ง ที่เราเข้าใจว่าเป็นผู้ชาย เขาเหมือนใส่เสื้อสองชั้น
ชั้นในเป็นสีฟ้า ชั้นนอกเป็นสีขาว เขาเดินเข้ามาทางด้านขวาของเฟรมภาพ
แล้วก็เดินข้ามวงเวียนไปหยุดอยู่ที่ด้านซ้ายของเฟรมภาพ ก่อนที่จะเดินขยับเข้ามายืนอยู่ระหว่าง
“จุดซ้ายสุดของเฟรมภาพ” กับ “จุดกลางของเฟรมภาพ” เขายืนอยู่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง ในระยะค่อนไปทาง background ของภาพ
แล้วผู้ชายคนนี้ก็ทำให้เราลุ้นระทึกอย่างสุดๆ
และทำให้เราต้องยืนดูวิดีโอนี้นานทั้ง 15 นาทีเต็ม คือตอนแรกเรานึกว่า CCTV คงไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก เรากะจะยืนดู CCTV แค่ 1-3 นาทีเท่านั้น แต่พอเรารู้สึกว่าพฤติกรรมของผู้ชายคนนี้น่าสงสัยอย่างรุนแรงมาก
เราก็เลยยืนดูทั้ง 15 นาทีเต็มไปเลย 555
คือเราเห็นผู้ชายคนนี้ทำลีลามือไม้อย่างรุนแรงเป็นระยะ
ๆ น่ะ เราก็เลยสงสัยว่า เอ๊ะ เขาเป็นคนบ้าหรือเปล่า เราก็เลยตัดสินใจจะยืนดู CCTV ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะเรารู้สึกว่า เอาจริง ๆ แล้ว
เราก็อยากแอบสังเกตพฤติกรรมของคนบ้าตามท้องถนนน่ะ แต่เราไม่สามารถทำได้ตามท้องถนนจริง
ๆ เพราะมันอันตราย เวลาเราเจอคนบ้าตามท้องถนน เราก็ต้องรีบเดินหนีโดยเร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของชีวิตเรา
แต่ “ภาพจากกล้องวงจรปิด” นี่แหละ ที่จะช่วยให้เราแอบสังเกตพฤติกรรมของคนบ้าได้อย่างปลอดภัย
แล้วผู้ชายคนนี้ก็ไมได้แค่ทำลีลามือไม้เป็นระยะ
ๆ นะ แต่อยู่ดีๆ เขาก็เดินตัดข้ามวงเวียนไปมาโดยเหมือนไม่มีสาเหตุอะไรทั้งสิ้นด้วย
รุนแรงมาก ๆ เราดูแล้วก็ลุ้นมาก ๆ ว่าเขาจะทำอะไรที่คาดไม่ถึงขึ้นมาเมื่อไหร่หรือเปล่า
เขาจะทำอะไรใส่ผู้คนจำนวนมากที่สัญจรผ่านไปมาบริเวณวงเวียนแห่งนี้หรือเปล่า
แต่พอเราดูไประยะหนึ่ง
เราก็สังเกตได้ว่า ที่เราเห็นว่าเขาทำลีลามือไม้อย่างรุนแรงนั้น จริง ๆ แล้วคือเขาพยายามโบกรถมอเตอร์ไซค์ทุกคันที่มีผู้ชายขี่มาคนเดียวแล้วแล่นผ่านหน้าเขาจากทางซ้ายของเฟรม
เพราะฉะนั้นระหว่างที่เราดู CCTV อยู่นั้น เราก็เลยรู้สึกลุ้นระทึกมาก ๆ
ทั้งในแง่ที่ว่า เราไม่รู้ว่าเขาเป็นคนบ้าหรือเปล่า แล้วเขาจะทำอะไรที่คาดไม่ถึงหรือไม่
และในแง่ที่ว่า ถ้าหากเขาไม่ใช่คนบ้า แล้วเขาเป็นใครกันแน่
เพราะฉะนั้นระหว่างที่ดู
CCTV ในหัวของเราก็เลยเต็มไปด้วยคำถามที่ว่า
เขาเป็นใครกันแน่ ระหว่าง
6.1 ชาวบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ใดที่หนึ่ง
เขาก็เลยพยายามโบกรถมอเตอร์ไซค์ทุกคันที่มีผู้ชายขี่มาคนเดียว เพื่อจะได้ขอเดินทางไปด้วย
เขาพยายามทำเช่นนั้นเป็นเวลาถึง 15 นาทีเต็มในวิดีโอนี้ แต่ไม่มีใครรับเขาขึ้นรถ
และสาเหตุที่ไม่มีใครรับเขา
อาจจะเป็นเพราะว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์กรือเซะและตากใบในปี 2004 เป็นต้นมา
ชาวบ้านในพื้นที่นั้นก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวง ไม่สามารถไว้วางใจคนแปลกหน้าได้
นั่นก็เลยอาจจะเป็นสาเหตุที่ผู้ชายคนนี้พยายามขอความช่วยเหลือเป็นเวลาอย่างน้อย 15
นาทีในวิดีโอนี้ แต่ไม่มีใครกล้าให้ความช่วยเหลือเขาด้วยการให้เขานั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปด้วย
6.2 หรือว่าผู้ชายคนนี้เป็นศิลปินที่ทำ performance ต่อหน้า “กล้องวงจรปิด” อันนี้
เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
6.3 หรือว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนบ้า
เพราะภาพจากกล้องวงจรปิด ทำให้เราไม่เห็นใบหน้าของเขา และไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูด
เราไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับมอเตอร์ไซค์ที่แล่นผ่านไปมา เขาอาจจะพูดอะไรบ้า ๆ ใส่ผู้คน,
รถรา และมอเตอร์ไซค์ที่แล่นผ่านไปมาก็ได้ ก็เลยไม่มีใครรับเขาขึ้นรถ
6.4 หรือว่าผู้ชายคนนี้เป็น “สายของตำรวจ/ทหาร”
ที่ปลอมตัวเป็นคนบ้า แต่จริง ๆ แล้วคือมาแอบสังเกตพฤติกรรมของผู้คนบริเวณวงเวียนนี้
ท่ามกลางข่าวการก่อการร้าย/การวางระเบิด เหมือนในละครทีวีเรื่อง “ล่า”
ที่มีตัวละครเป็นผู้ชายบ้าในซอย ชอบแต่งตัวเป็นลิเกและร้องลิเกไปมา คนทั่วไปในซอยก็มองว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนบ้า
แต่ไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่จริง ๆ แล้ว “ลิเกบ้า” คนนี้เป็นตำรวจปลอมตัวมาสืบคดีในซอย
เราก็เลยยืนดู
CCTV ด้วยความรู้สึกลุ้นระทึกตื่นเต้นมาก ๆ
เพราะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะทำอะไรที่คาดไม่ถึงหรือเปล่า แล้วเขาเป็นใครกันแน่ระหว่างชาวบ้านผู้น่าสงสารที่ไม่มีใครยอมช่วยเหลือเขา,
performance
artist, คนบ้า
หรือสายของตำรวจ/ทหาร
ไม่รู้ว่าผู้ชมท่านอื่น
ๆ ที่ได้ดู CCTV แล้ว มีใครตั้งทฤษฎีอะไรไว้บ้างเหมือนกันไหมคะ
7.การดู
“ภาพจากกล้องวงจรปิดของจริง” แล้วทำให้เรารู้สึกลุ้นระทึกมาก ๆ นี้ ทำให้เรานึกถึงหนึ่งในภาพยนตร์ที่เราชื่นชอบมากที่สุดในปี
2022 ด้วย ซึ่งก็คือภาพยนตร์เรื่อง A PERFECT PLACE 01072015 (KONO TABI) (2022, Nipan
Oranniwesna, video installation, 68min, A+30) ที่เคยมาฉายที่
JWD Art Space
เพราะใน
KONO TABI นั้น เนื้อหาส่วนหนึ่งของหนังเป็นการถ่ายภาพสะพานแห่งหนึ่งจากระยะไกลในยามค่ำคืน
ด้วยกล้องตั้งนิ่ง คล้าย ๆ ภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งในตอนแรกเราก็เห็นผู้คนเดินข้ามสะพานไปมาอย่างปกติ
แต่พอดูไปสักระยะหนึ่ง
ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินไปอยู่กลางสะพาน แล้วก็หยุดยืน ไม่ยอมเดินต่อไปไหน
เราก็เลยรู้สึกลุ้นระทึกมาก ๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร มาทำอะไร ทำไมไม่เดินต่อ
เขามายืนนิ่ง ๆ อยู่กลางสะพานทำไม เขารอดักตบใคร เขาเป็นโจรที่รอปล้นทรัพย์คนที่เดินข้ามสะพาน
หรือเขากำลังจะฆ่าตัวตาย
เพราะฉะนั้นตอนที่เราดู
CCTV เราก็เลยนึกถึง KONO TABI มาก ๆ ด้วย เพราะมันน่าจะเป็นภาพจริงที่ลอบสังเกตประชาชนจากระยะไกลมากเหมือนกัน
และเราดูแล้วรู้สึกลุ้นระทึกสุดขีดกับหนังทั้งสองเรื่องนี้ โดยที่ผู้กำกับอาจจะไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นด้วยซ้ำ
55555
คือพอดู
CCTV กับ KONO TABI เราก็นึกถึงหนังเรื่อง BLOW-UP (1966,
Michelangelo Antonioni) มาก ๆ ด้วย เพราะพอเราสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ดูผิดปกติในภาพที่ดูเหมือนนำเสนออะไรที่ปกติ
เราก็จะพยายามค้นหาและหมกมุ่นกับสิ่งที่ผิดปกตินั้น ๆ
เราเคยเขียนถึง
KONO TABI ไว้ที่นี่นะ
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10229255727081079&set=a.10229116411798284
รูปที่นำมาใช้ประกอบนี้
ส่วนบนซ้ายมาจาก KONO TABI ส่วนบนขวามาจาก CCTV และภาพด้านล่างมาจาก DETOURS