Wednesday, January 11, 2023

COMRADE COUTURE (2009, Marco Wilms, Germany, documentary, A+30)

 

COMRADE COUTURE (2009, Marco Wilms, Germany, documentary, A+30)

 

1.พอมันเป็นหนังสารคดีที่มีความเป็นส่วนตัว มันก็เลยออกมา "ได้อารมณ์ความรู้สึก" มาก ๆ สำหรับเรา และพอหนังเน้นสัมภาษณ์ "เพื่อนเก่า ๆ " ตัวผู้ให้สัมภาษณ์ก็เลยเหมือนเปิดใจต่อหน้ากล้องมาก ๆ ด้วย

 

ซึ่งเราว่า "หนังสารคดีสัมภาษณ์เพื่อนสนิท" หลาย ๆ เรื่อง ทั้งหนังไทยและหนังต่างชาติ มันได้ใจเราเพราะจุดนี้ คือเวลาเราดูหนังกลุ่มนี้ เราจะรู้สึกได้ว่า ผู้ให้สัมภาษณ์เต็มใจ รู้สึกเป็นมิตรกับคนที่อยู่หลังกล้อง และ "ถอดหน้ากากออก 1 ชั้น" เวลาให้สัมภาษณ์กับเพื่อนสนิทน่ะ พวกเขาแสดงอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่อาจจะไม่แสดงออกมาเวลาคุยกับคนแปลกหน้า เพราะฉะนั้นเวลาที่เราดูหนังสารคดีกลุ่มนี้ เราเลยรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์บางอย่างที่งดงามมาก ๆ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ไม่พบในหนังสารคดีที่มีระยะห่างระหว่างผู้กำกับกับ subjects

 

2.เนื้อหาส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้คือผู้กำกับหวนหาวันคืนเก่า ๆ ในทศวรรษ 1980 ในเยอรมันตะวันออก ยุคที่เขากับเพื่อน ๆ ชอบแอบจัดงาน fashion show ใต้ดิน พอเวลาผ่านมานาน 20 กว่าปีแล้ว เขาก็เลยออกตามหาเพื่อนเก่า ๆ กลุ่มนั้น และพยายามจัดงาน fashion show รำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว

 

ซึ่งเพื่อนเก่า ๆ ของเขาก็รวมถึง designer สาวสุดเก๋ที่เคยประดิษฐ์ชุดจากอุปกรณ์ทำสวน แต่ปัจจุบันเธอเร่ขายชุดกันฝน, นายแบบ ที่ต่อมาได้เปลี่ยนศาสนาเป็นมุสลิม และกะเทยเปรี้ยว ที่ต่อมาโด่งดังจากการทำร้านทำผมที่รับตกแต่งหมอยด้วย

 

คือเราอินกับเนื้อหาตรงนี้อย่างมาก ๆ ในระดับนึง เพราะเรารู้สึกว่า energy บางอย่างที่เราเคยมีเวลาอยู่กับเพื่อน ๆ มัธยมในทศวรรษ 1980 ถึงต้นทศวรษ 1990 มันเป็นสิ่งที่หายไป และแทบรื้อฟื้นขึ้นมาไม่ได้อีกในเวลาต่อมาน่ะ และเรารู้สึกว่า ช่วงนั้นมันเป็นช่วงที่เพื่อน ๆ "มีความคิดสร้างสรรค์" ที่ reach maximum point ของชีวิตด้วย เหมือนยุคนั้นเพื่อน ๆ มัธยมสามารถคิดศัพท์ใหม่ขึ้นมาได้ทุกวันน่ะ แต่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้แล้วในปัจจุบัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมความคิดสร้างสรรค์ที่เคยพลุ่งพล่านอย่างสุด ๆ ในช่วงวัยรุ่น ถึงเป็นสิ่งที่ค่อย ๆ มอดดับลงเรื่อย ๆ เมื่อพวกเราโตขึ้น

 

ปัจจัยข้างต้นก็เลยเป็นปัจจัยที่ทำให้เราอินกับหนังเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ เพราะเราเข้าใจดีถึงความรู้สึกหวนหาวันคืนเก่า ๆ โดยเฉพาะวันคืนกับเพื่อน ๆ เก่า ๆ ที่เคยมี energy บางอย่างร่วมกัน แต่จริง ๆ แล้วสถานการณ์ของ Marco มีความซับซ้อนกว่าของเราเป็นอย่างมาก เพราะเหมือนผลงาน fashion show ของเขาในทศวรรษ 1980 เป็นผลผลิตจากระบอบเผด็จการของเยอรมันตะวันออกด้วย การที่พวกเขาสร้างสรรค์ผลงานดังกล่าวออกมาได้ เป็นเพราะว่าพวกเขารู้สึกเหมือนถูกกักขัง การถูกกักขังก็เลยเป็นการกระตุ้นให้เกิดจินตนาการถึงโลกกว้างที่พวกเขาไม่เคยเจอ และก็เลยเหมือนเป็นเชื้อเพลิงอย่างหนึ่งสำหรับความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาในยุคนั้น แต่พอเยอรมันตะวันออกล่มสลาย และพวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างเสรี ตะลุยโลกกว้างจริง ๆ พลังบางอย่างที่พวกเขาเคยมีในทศวรรษ 1980 ก็เลยไม่เหมือนเดิมอีก

 

3.ชอบการที่หนังไปสัมภาษณ์ฝ่ายเผด็จการด้วย ซึ่งก็คือจนท.ในกระทรวงหนึ่งของเยอรมันตะวันออกที่คอยสั่งจับวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ทำตัวผิดแปลกไปจากคนอื่น ๆ ในสังคม โดยจนท.คนนั้นมีอายุราว 25 ปีเองมั้งตอนที่ทำหน้าที่นี้ แต่ปัจจุบันก็กลายเป็นลุงอ้วนคนหนึ่งไปแล้ว

 

4.รู้สึกว่าสถานการณ์ในเยอรมันตะวันออกมันรุนแรงมาก ๆ คือแค่ใครดูมีรูปลักษณ์ผิดไปจาก norm แม้เพียงนิดเดียว ก็สามารถถูกตำรวจจับกุมตัวไปได้แล้ว คือในคลิปที่ใช้ในหนังเรื่องนี้ มีชายหนุ่มคนหนึ่งแค่ไว้เครายาวหน่อย แล้วไปนั่งแถว Berlin Alexanderplatz หรืออะไรทำนองนี้ ตำรวจก็มารวบตัวเขาไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วฝรั่งที่ไว้เครายาวแบบนี้นี่คือสามารถหาได้ตามถนนข้าวสารในปัจจุบันด้วย คือดูเป็นอะไรที่ไม่แปลกตาเลยสำหรับเรา แต่ถือเป็นภัยสังคมในเยอรมันตะวันออก

 

ตัวกะเทยในหนังเรื่องนี้ก็เคยถูกตำรวจเยอรมันตะวันออกจับไปข่มขืนด้วย

 

5.ชีวิตของสาวดีไซเนอร์ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง BARBARA (2012, Christian Petzold) ด้วย เพราะเธอทนความเผด็จการของเยอรมันตะวันออกไม่ไหว ก็เลยหาผัวต่างชาติ และย้ายไปอยู่อเมริกา แต่ปรากฏว่าผัวทำตัวเป็นเผด็จการกับเธอ ห้ามเธอเปิดหน้าต่าง ห้ามเธอทำนู่นนั่นนี่ เธอก็เลยทิ้งผัว แล้วย้ายกลับมาอยู่เยอรมนีตามเดิม

 

6.ดูแล้วแอบนึกถึงคุณ “จตุพร แซ่อึง” ด้วย เพราะหนังสารคดีเรื่องนี้พูดถึงการจัดงาน fashion show ที่ในแง่หนึ่งก็ถือเป็นการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการในยุคนั้น

 

No comments: