Tuesday, February 18, 2025

FORMER THAI COMMUNISTS

 วันนี้เราได้มาดูนิทรรศการ ARCHIVAL TIME ON OUR RETINA ที่หอภาพยนตร์ ดีใจที่มีหนังเรื่อง INTERVIEWS WITH FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY (1985, produced by Kraisak Choonhavan, documentary, 705 min) ฉายด้วย


ทางนิทรรศการเขาห้ามถ่ายรูปหนัง THAI COMMUNISTS  เสียดายมาก ๆ เพราะ  COMMUNIST หนุ่มบางคนหล่อน่ากินที่สุด

หนังยาว 11ชั่วโมง 45 นาที แต่วันนี้เราเพิ่งดูไปแค่ 90 นาที ยังเหลืออีก 10 ชั่วโมง 15 นาที

Edit เพิ่ม: เราโดนยุงกัดในนิทรรศการนี้ด้วย 55555 วันหลังเราอาจจะต้องฉีด spray กันยุงก่อนเข้านิทรรศการนี้

ONE OF MY MOST FAVORITE SCENES I SAW THIS YEAR อยู่ในหนังเรื่อง FORMER THAI COMMUNISTS นี้ ซึ่งก็คือฉากที่จิระนันท์ พิตรปรีชา ให้สัมภาษณ์ แล้วมีเสียงจากรถเร่ขายของดังเข้ามาในฉากว่า "หอยแมลงภู่ 3 กิโล 10 บาท" แล้วจิระนันท์ก็ถามคนสัมภาษณ์ในทำนองที่ว่า ต้องรอให้รถแล่นผ่านไปก่อนไหม แล้วเธอค่อยเมาท์มอยต่อ

ชอบมาก ๆ ที่  MOMENT นั้นมันเป็น MOMENT  ที่ผู้สร้างภาพยนตร์ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน แล้วพอมาดูในยุคปัจจุบัน มันก็สะท้อน "ภาวะเงินเฟ้อในข่วง 40 ปีที่ผ่านมา" ได้ดีด้วย

---
วันนี้เราโดนยุงรุมกัดตอนกลางวัน ไม่รู้ว่าเป็นยุงลายหรือเปล่า ก็เลยจะสอบถามว่า ถ้าหากเราไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออกในวันพรุ่งนี้ มันจะช่วยได้ไหม หรือมันไม่สามารถช่วยชีวิตเราได้ทันแล้ว
---
ฉันรักเขา Ayumu Nakajima from HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan, A+30) รู้สึกว่าบทของเขาในหนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึง อ.ประจักษ์ ก้องกีรติ + อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล
---
ทดลองเดินแบบบน catwalk ในสไตล์ของ SUPERMODEL จากชั้น  G ตึก PARADE ของห้าง ONE BANGKOK มายังสมาคมฝรั่งเศส ALLIANCE FRANCAISE สรุปว่าใช้เวลา 4 นาทีค่ะ
---
อะไรคือการมาดูหนังกลางแปลงในอุณหภูมิ 35  องศา กูจะทนดูจนจบได้ไหม
---
เราชอบหนังเรื่อง OUT  (2023, Hiroshi Shinagawa, Japan, A+30)  ในเทศกาลหนังญี่ปุ่นปีนี้อย่างรุนแรงมาก ๆ แต่พอดูหนังจบ เราก็ตกใจแทบสิ้นสติเมื่อ ending credits ขึ้นมาบอกว่า มี Marina Watanabe ร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ด้วย เพราะเราไม่ได้ยินชื่อนี้มา 30 กว่าปีแล้ว

เราเคยติดตามฟังเพลงญี่ปุ่นในช่วงปลายทศวรรษ 1980  จากรายการวิทยุของดีเจเอ๊ดดี้ สุทธิธรรม สุจริตตานนท์ ตอนนั้น Marina Watanabe โด่งดังมาก เธอเป็นศิลปินหญิงที่มีเพลงขึ้นอันดับ 1 ของญี่ปุ่นขณะที่เธอมีอายุเพียง 15 ปีในปี 1986 ซึ่งถือเป็นการทำสถิติศิลปินหญิงที่มีอายุน้อยสุดที่มีเพลงขึ้นอันดับหนึ่ง และเธอครองตำแหน่งนี้มาได้นานถึง 15 ปีจนถึงปี 2001

พอเข้าช่วงปลายทศวรรษ 1990 เราก็ไม่ค่อยได้ติดตามฟังเพลงอีก และเราก็ไม่ได้ยินชื่อของเธอมานานราว 30 กว่าปีแล้ว เพราะฉะนั้นพอเราเห็นชื่อของเธอตอนท้ายหนังเรื่อง OUT เราก็เลยหวีดร้องมาก ๆ

ตอนนี้เธอรับบทเป็นตัวละครแนว "คุณป้า" ไปแล้ว
---
คนจองตั๋วดู ALL THE LONG NIGHTS กับ THE MOURNING FOREST เยอะดี

อยากให้ปีหน้าทางเทศกาลนำ NANAYO (2008, Naomi Kawase) มาฉาย

---
ซื้อส้มมากินเพื่อเป็นพลีแด่หนังเรื่อง COMPANION (2025, Drew Hancock, A+30)
----
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด I worship Noel Vera's list ชอบหนังทั้ง 10 เรื่องของเขาในลิสท์หนังสุดโปรดประจำปี 2024 โดยเฉพาะ MAXXXINE , LONGLEGS และ THE APPRENTICE

ดีใจสุดขีดที่ THE UNIVERSAL THEORY (2024, Timm Kroger, Germany, A+30) ติดอันดับหนังสุดโปรดของ Peter Nagels
‐---
ดีใจสุดขีดที่ REVOLVING ROUNDS (2024, Johann Lurf, Christina Jauernik, Austria, A+30) ติดอันดับหนังประจำปี 2024 ของ Christoph Huber ด้วย หนังออสเตรียเรื่องนี้เพิ่งมาฉายที่ SF Central World  ในงาน World Film และก็ดีใจที่ TWILIGHT OF THE WARRIORS: WALLED IN (2024, Soi Cheang, A+30) ติดอันดับด้วยเช่นกัน
----
A FIDAI FILM (2024, Kamal Aljafari, A+30) ติดอันดับประจำปี 2024 ของ Brian Darr ด้วย

ดีใจสุดขีดที่ TO A LAND UNKNOWN (2024, Mahdi Fleifel, UK/Greece/Palestine, A+30) ติดอันดับหนังสุดโปรดประจำปี 2024 ของ John Gianvito ด้วย กรี๊ดดดดดด

---
ใน parallel universe แห่งหนึ่ง เราอยากเป็นเจ้าของโรงหนังแบบนี้ เน้นฉายหนังสั้นไทยที่ผลิตในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา สลับกับฉาย retrospective ของผู้กำกับต่างชาติ 55555
---
แดก ห่อหมก เพื่อเป็นพลีแด่หนังเรื่อง พนอ (2025, Puttipong Saisrikaew, A+30)
---
ผลงาน "ช่องว่างระหว่างยอดดอยกับที่ราบ" A SPACE BETWEEN MOUNTAIN AND LOWLAND (2024, Jedsada Tangtrakulwong) ที่ MUSEUM SIAM ประกอบด้วยประติมากรรมสแตนเลส 7 ชิ้น สะท้อนพรรณไม้ 7 สายพันธุ์ ได้แก่ ปอกระสา, สัก, สนร่ม, หญ้าขจรจบ, หญ้าคา, ไทรย้อยใบแหลม และ งิ้ว

เราเดินหาหลายรอบแต่เจอแค่ 6 อัน มีใครไปเดินหาแล้วเจอครบทั้ง 7 อันบ้างคะ อีกอันมันซ่อนอยู่ตรงไหน 55555

ถึงเราจะหาไม่ครบทั้ง 7 อัน เจอแค่ 6 อัน แต่เราก็รู้สึกสนุกสุดขีดกับการตามหา นึกว่ากำลังอยู่ในหนังของ Jacques Rivette

เสียอย่างเดียว คือเหงื่อกูแตกพลั่กเลยค่ะขณะพยายามตามหาประติมากรรมให้ครบ หน้าหนาวของกรุงเทพไม่สามารถหยุดยั้งอาการเหงื่อแตกพลั่กของกูได้แต่อย่างใด

มาเดิน BAB (Bangkok Art Biennale) ขณะอุณหภูมิ 32 องศา

ขอบคุณผู้จัดงานที่ไม่จัดงานนี้ตอนหน้าร้อนค่ะ หน้าหนาวยังขนาดนี้ 55555
---
ลืมใส่ตัวนี้ 8. นางเอกของ THE WITCH: PART 2. THE OTHER ONE (2022, Park Hoon-jung, South Korea, A+30)
---

เราชอบเรื่อง MAXXXINE นี้มากกว่า THE SUBSTANCE อีก ในฐานะหนังที่ใช้  HOLLYWOOD เป็นฉากหลัง ซึ่งความชอบของเราไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพของหนังแต่อย่างใด 555 แต่เกี่ยวกับว่าเรารู้สึกอินกับ "นางเอกที่มาเพื่อจัดการกับผู้ชาย" มากกว่า "นางเอกที่มาเพื่อยั่วผู้ชาย"

คือเราชอบ THE SUBSTANCE อย่างรุนแรงนะ แต่เราอินกับนางเอก MAXXXINE มากกว่าหลายเท่า
---
เราเอาผ้านวมไปส่งร้านซักรีดแล้ว แต่อากาศยังเย็นอยู่ เราก็เลยเอาผ้าห่ม SF UNLIMITED ออกมาห่มให้ลูกหมี

ตอนเราซื้อ SF UNLIMITED เรารู้สึกว่าผ้าห่มของแถมนี้ไม่มีประโยชน์ ตอนแรกเรากะว่าจะโยนผ้าห่มทิ้ง เพราะห้องเราแทบไม่มีที่เก็บของแล้ว ข้าวของล้นห้องจนแทบไม่มีอากาศหายใจแล้ว นึกไม่ถึงว่าหน้าหนาวครั้งนี้อากาศจะเย็นจนลูกหมีได้ใช้ผ้าห่มของแถมนี้ในที่สุด โชคดีที่เรายังเก็บผ้าห่มไว้
---
PM 2.5 ลดลง แต่อากาศกลับมาร้อนมากอีกแล้ว อย่างไรก็ดี ดิฉันเลยถือโอกาสนี้เอาผ้านวมไปซักเลยดีกว่า เพราะคงไม่จำเป็นต้องใช้ผ้านวมห่มนอนต่อไปอีกนานหลายเดือน
---
เราชอบ BABYGIRL อย่างรุนแรงมาก ๆ ด้วยเหตุผลส่วนตัว และก็ชอบการ cast Antonio Banderas มาเล่นในหนังเรื่องนี้มาก ๆ เพราะบทของเขาในหนังเรื่องนี้มันคือขั้วตรงข้ามกับตัวละครของเขาใน TIE ME UP! TIE ME DOWN! (1989, Pedro Almodovar) 55555
---
อยากดู สถิตปีศาจ CONSECRATION (2023, Christophet Smith, UK) รอบเที่ยงคืนสิบนาที

GHOSTLIGHT (2024, Kelly O' Sullivan, Alex Thompson) น่าดูมากๆ
---
GRAB บอกว่า สถานที่ที่เราเดินทางไปบ่อยที่สุดในปี 2024 คือโรงพยาบาล BNH

ก็ได้แต่หวังว่า ปี 2025 เราจะไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ อีก ถ้าจะเข้า ก็เข้าห้องดับจิตไปเลย จบ ๆ กันไป
---
ซื้อตุ๊กตาหนุ่มไทลื้อ จากจังหวัดลำพูน มาให้ลูกหมีเล่น ชอบมือของตุ๊กตา
---
เพิ่งเห็นว่า ร้านขายหนังสือได้อันตรธานไปแล้วอีก 1 ร้าน ซึ่งก็คือร้านซีเอ็ด สาขาเมเจอร์ เอกมัย ที่ตอนนี้กลายเป็นร้านทำฟันไปแล้ว
---
เพิ่งเห็นว่า ร้านขายหนังสือได้อันตรธานไปแล้วอีก 1 ร้าน ซึ่งก็คือร้านซีเอ็ด สาขาเมเจอร์ เอกมัย ที่ตอนนี้กลายเป็นร้านทำฟันไปแล้ว
---
พออากาศเริ่มเย็นราว 17 องศาแบบนี้ เราก็จะนึกถึงฤดูหนาวช่วงปลายปี 1988 หนึ่งในช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต นึกถึงเพลง ESPECIALLY FOR YOU ของ Jason Donovan กับ Kylie Minogue นึกถึงฤดูหนาวในวัยเด็กเมื่อ 35-40 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิน่าจะเย็น ๆ ประมาณนี้เหมือนกัน

ลองเช็คดู เขาบอกว่าอุณหภูมิของกรุงเทพในเดือนธ.ค. 1988 อยู่ที่ 65 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 18.3 องศาเซลเซียส แสดงว่ามันใกล้เคียงกันจริง ๆ

อยากตื่นนอนแล้วพบว่าตัวเองกลับไปอยู่ในเดือนธ.ค.ปี 1988 อีก ช่วงเวลาที่ชีวิตยังคงมีความหวังและความฝันหลงเหลืออยู่

จำได้ว่าเดือนธ.ค.ปี 1995 ซึ่งเป็นปีที่เราเริ่มไปเที่ยว  DJ STATION  สีลมซอยสองเป็นครั้งแรก อากาศก็ค่อนข้างเย็นเหมือนกัน ลองเช็คดู เขาบอกว่าอุณหภูมิในกรุงเทพในเดือนธ.ค. 1995 อยู่ที่ราว 58 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 14.4 องศาเซลเซียส

ทำไมอากาศเย็น ถึง bring back good memories ได้อย่างรุนแรงแบบนี้คะ
---
FAVORITE FILMS IN MY CHILDHOOD

นางพญาหอยขาว หรือ DEADLY SNAIL VS KUNG FU KILLER (1977, Ling Shang) ดูที่โรงธนบุรีรามา นำแสดงโดย หวีอันอัน

MIDNIGHT OFFERINGS (1981, Rod Holcomb) เรื่องของแม่มดสองสาวในโรงเรียนไฮสกูลที่ใช้เวทมนตร์ต่อสู้กันอย่างรุนแรงเพื่อแย่งผัวกัน เป็น TV Movie ที่ฉายทางช่อง 3

--
เห็น NOSFERATU (1922) ของ F.W. Murnau ผู้กำกับหนังที่เป็นเกย์ชื่อดัง กลับมาฉายในกรุงเทพในข่วงนี้ เราก็เลยหยิบเสื้อยืดของTHE 3RD SILENT FILM FESTIVAL IN THAILAND ในปี 2016 กลับมาใส่อีกครั้ง เสื้อตัวนี้จะมีอายุครบ 9 ปีแล้ว
---
เห็นชื่อของ Rie Miyazawa แล้วก็ต้องนึกถึงปี 1989-1990 เพราะเราจำได้ว่า เรากับเพื่อน ๆ คลั่งไคล้เพลง  DREAM RUSH กับ NO TITLIST ของ Rie Miyazawa มาก ๆ ในตอนนั้น ดีใจที่ได้เห็นเธอมีผลงานดี ๆ อยู่ในปีนี้ หลังจากที่เธอเคยโด่งดังสุดขีดในปี 1989
---
พอได้ยินข่าวเรื่องไฟไหม้รัฐ California เราก็เลยนึกถึงหนังเรื่อง LANDSCAPE 101 01 1101 01... (2007, Sompot Chidgasornpongse, 28min, A+30) ที่บันทึกภาพป่าหลังถูกไฟไหม้ในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมี James Benning ร่วมปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ด้วย

หนังเรื่องนี้เคยติดอันดับ 8 ในลิสท์หนังที่เราชื่นชอบที่สุดที่ได้ดูในปี 2007 ด้วยนะ แต่เว็บไซท์ SENSES OF CINEMA พิมพ์ชื่อหนังเรื่องนี้ผิด กลายเป็นชื่อเรื่องอะไรก็ไม่รู้ (แต่ตัวเราไม่ได้พิมพ์ผิดนะ)

ดีใจที่เว็บไซท์ข้างล่างนี้นำความเห็นของเรามาประกอบใช้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
http://www.atatimepictures.com/landscape.html


STRATEGY FOR SEAT CHOOSING

 

RIP KIM SAE-RON (2000-2025)

 

เราได้ดูหนังที่เธอแสดงแค่ 2 เรื่องเอง ซึ่งก็คือ

 

1. A BRAND NEW LIFE (2009, Lee Jong Eon, Ounie Lecomte, France/South Korea) ซึ่งเราได้ดูในวันที่ 8 พ.ค. 2010 ซึ่งเป็นช่วงไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่คนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ เพราะหลังจากวันที่ 8 พ.ค. เราก็ไม่ได้ออกมาดูหนังโรงอีกเลยจนถึงวันที่ 23 พ.ค. 2010

 

2. BARBIE (2011, Lee Sang Woo, South Korea) ซึ่งเราได้ดูในวันที่ 25 พ.ย. 2012 ที่โรงภาพยนตร์ ESPLANADE RATCHADA ในเทศกาล WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK

+++

 

เวลาเราจองที่นั่งในโรงภาพยนตร์ เรามักจะจองที่นั่งด้านหน้า ๆ ริม ๆ ของแถว เพราะว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจองบริเวณนั้นกัน เพราะคนส่วนใหญ่ชอบไปจองแถวบน ๆ ตรงกลาง ๆ แถว

 

สาเหตุที่เราจองที่นั่งแบบนี้เป็นเพราะว่า

 

1. เรา “เกลียดมนุษย์”

 

2. พนักงานโรงภาพยนตร์เครือใหญ่บางโรงชอบมาเปิดประตูโรงก่อนหนังจบ ทำให้เสียงเหี้ยห่ามากมายจากภายนอกโรงเข้ามาในโรงหนังในช่วง CLIMAX ก่อนหนังจบ ซี่งถ้าหากเรานั่งแถวบน ๆ ที่มักจะติดกับประตูโรงหนัง เราจะ “อารมณ์เสีย” หนักมากกับเสียงพวกนี้ แต่ถ้าหากเราเลือกไปนั่งแถวหน้า ๆ ติด ๆ จอ เรามักจะไม่ถูกรบกวนด้วยเสียงภายนอกโรงหนังในช่วงฉาก CLIMAX

 

3. การนั่งแถวริม ๆ ทำให้เราลุกหนีเปลี่ยนที่นั่งได้ง่ายถ้าหากเจอคนเหี้ย ๆ ห่า ๆ มานั่งใกล้ ๆ

 

4. การนั่งแถวหน้า ๆ เป็นการลดความเสี่ยงจากการถูกคนดูคนอื่น ๆ ที่นั่งแถวหน้ากว่าเราเล่นมือถือแสงจ้าสาดเข้าตาเรา

 

แต่ช่วงที่ผ่านมาเราพบว่า มีคนจองที่นั่งในโรงภาพยนตร์ในแบบเดียวกับเราด้วย นั่นก็คือเน้นจองที่นั่งให้ห่างไกลคนอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่จะเน้นนั่งริม ๆ และไปทางด้านหน้า ๆ เหมือนกับเราเลย เราก็เลยสงสัยว่าคนที่มี strategy ในการเลือกที่นั่งในโรงหนังแบบนี้มีเหตุผลเดียวกับเราหรือเปล่า แต่เราอนุมานเอาเองว่า คนที่เลือกที่นั่งแบบนี้ส่วนใหญ่น่าจะมีนิสัยดีเหมือนเรา 55555

 

บางครั้งพอเราเจอคนที่ใช้ strategy เดียวกับเราในการจองที่นั่ง เราก็เลยต้องเลือกจองที่นั่งแถวบน ๆ ขึ้นมาแทน อย่างเช่น

 

1. ตอนที่เราไปดู FLAT GIRLS ที่ HOUSE เราพบว่ามีคนจองที่นั่ง G12 ไปแล้ว เราก็เลยเปลี่ยนมาจอง D1 แทน

 

2.ตอนที่เราไปดู CHHAAVA (2025, Laxman Utekar, India, 161min, A+25) ที่เมเจอร์เอกมัย เราพบว่ามีคนจองที่นั่ง H2 ไปแล้ว เราก็เลยจอง G15 แทน

 

แต่ก็รู้สึกดีมาก ๆ นะที่มีคนทำแบบเดียวกับเรา ถึงแม้เราไม่รู้ว่าเขาทำด้วยจุดประสงค์เดียวกับเราหรือเปล่า 55555

 

Edit เพิ่ม: แต่เราจะลุกเปลี่ยนที่นั่งก็ต่อเมื่อหนังผ่านไปแล้วกว่าครึ่งชั่วโมงนะ เพื่อจะได้ไม่ไปนั่งทับที่คนอื่น ๆ

Friday, February 14, 2025

TWO YOUNG GIRLS IN THE WORLD OF CINEMA

 

เด็กสาวสองคนในโลกภาพยนตร์

TWO YOUNG GIRLS IN THE WORLD OF CINEMA

 

พอเราดู FLAT GIRLS แล้วเราก็เลยนึกถึงหนังเกี่ยวกับ “เด็กสาวสองคน” อีกหลาย ๆ เรื่อง เราก็เลยรวบรวมรายชื่อหนังกลุ่มนี้ที่เราเคยดูแล้วมาไว้ด้วยกันดีกว่า

 

รายชื่อหนังข้างล่างนี้ครอบคลุมเฉพาะหนังที่เราเคยดูแล้ว และเป็นหนังที่เราชอบมากนะ โดยมีเกณฑ์การคัดเลือกดังนี้

 

1. เป็นหนังเกี่ยวกับมิตรภาพระหว่างเด็กสาวสองคน โดยตัวละครจะอยู่ในวัยมัธยมหรือวัยมหาลัยเป็นส่วนใหญ่ และอาจจะมีหนังเกี่ยวกับตัวละครในวัยทำงาน อย่างเช่น LOVE/JUICE แทรกมาในลิสท์ด้วย ถ้าหากเรารู้สึกว่าหนังเรื่องนั้นมันเหมือนเป็น “เพื่อน” ของ FLAT GIRLS ในทางใดทางหนึ่ง 55555

 

ลิสท์นี้ไม่ครอบคลุมหนังเกี่ยวกับเด็กวัยประถม และไม่ครอบคลุมหนังเกี่ยวกับ “หญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว” อย่างเช่น CELINE AND JULIE GO BOATING (1974, Jacques Rivette)

 

2. ลิสท์นี้ครอบคลุมหนังเลสเบียน และหนัง queer ด้วย

 

3. ลิสท์นี้ครอบคลุมหนังเกี่ยวกับ “เพื่อนในจินตนาการ” ด้วย อย่างเช่น BYE BYE UTERI ที่เป็นเรื่องของเด็กสาวสองคน โดยคนหนึ่งคือนางเอก และอีกคนหนึ่งคือ “ประจำเดือน ที่กลายร่างเป็นเพื่อนในจินตนาการของนางเอก”

 

4. ไม่ครอบคลุมหนังระหว่าง พี่สาวกับน้องสาว อย่างเช่น THE YOUNG GIRLS OF ROCHEFORT (1967, Jacques Demy, France) และ THE APPLE (1998, Samira Makhmalbaf, Iran) ไม่งั้นลิสท์มันจะยาวเกินไป

 

เนื่องจากลิสท์นี้ครอบคลุมเฉพาะ “หนังที่เราเคยดูแล้ว” เพราะฉะนั้นเพื่อน ๆ คนไหนอยาก comment เพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เรายังไม่เคยดู ก็ comment มาได้เลยนะคะ หรือจะ comment เกี่ยวกับหนังในลิสท์นี้ก็ได้ ว่าเพื่อนคนไหนชอบหนังเรื่องไหนมากที่สุด

 

TWO YOUNG GIRLS IN THE WORLD OF CINEMA

 

1. DAISIES (1966, Vera Chytilová, Czechoslovakia)

 

2. DANGEROUS GIRLS อีสาวอันตราย (1976, Chana Kraprayoon)

 

3. TO BE TWENTY (1978, Fernando Di Leo, Italy)

 

4. MESSIDOR (1979, Alain Tanner, Switzerland)

 

5. I’M HUNGRY, I’M COLD (1984, Chantal Akerman, France)

 

6.FOUR ADVENTURES OF REINETTE AND MIRABELLE (1987, Éric Rohmer, France)

 

7. SNAKES AND LADDERS (1992, Busi Cortés, Mexico)

 

8. HEROÏNES (1997, Gerard Krawczyk, France)

 

9. THE DREAMLIFE OF ANGELS (1998, Erick Zonca, France)

 

10. GIRLS CAN’T SWIM (2000, Anne-Sophie Birot, France)

 

11. LOVE/JUICE (2000, Kaze Shindo, Japan)

 

12. SAINT-CYR (2000, Patricia Mazuy, France)

 

13. SHOW ME LOVE (2000, Lukas Moodysson, Sweden)

 

14. TWO GIRLS IN PARIS (2000, Caroline Huppert, France)

 

15. THE GREATEST THING (2001, Thomas Robsahm, Norway)

 

16. HI, TERESKA (2001, Robert Glinski, Poland)

 

17. VIOLET PERFUME: NOBODY HEARS YOU (2001, Marisa Sistach, Mexico)

 

18. BLUE (2002, Hiroshi Ando, Japan)

 

19. HANA & ALICE (2004, Shunji Iwai, Japan)

 

20. MY SUMMER OF LOVE (2004, Pawel Pawlikowski, UK)

 

21. GHOSTS (2005, Christian Petzold, Germany)

 

22. NANA (2005, Kentaro Ohtani, Japan)

 

23. THE WEDDING SONG (2008, Karin Albou, France/Tunisia)

 

24. CAGEY TIGERS (2010, Aramisova, Czech Republic)

 

25. CHALK (2010, Martina Amati, UK)

 

26. DEAR PRUDENCE (2010, Rebecca Zlotowski, France)

 

27. WHAT I LOVE THE MOST (2010, Delfina Castagnino, Argentina)

 

28. GOOD NIGHT (2012, Muriel d’Ansembourg, UK)

 

29. MY NOON เพลงวันเกิด (2012, Tossaphon Riantong, Thailand, documentary, 14min)

 

30. SHE IS MY BEST FRIEND เด็กสาวสองคนในสนามแบดมินตัน (2012, Jirassaya Wongsutin, 13min)

 

31. TANGERINE (2012, Kawitsara Phannapanukul + Wassachol Sirichanthanun, A+30)

 

32. W (THESIS VERSION) (2012, Chonlasit Upanigkit, 162 min)

 

33. BLUE IS THE WARMEST COLOUR (2013, Abdellatif Kechiche, France, 180min)

 

34. MARY IS HAPPY, MARY IS HAPPY (2013, Nawapol Thamrongrattanarit)

 

35. LIFE ON MARS สิ่งมีชีวิตบนดวงดาว (2014, ณัฐชนน วะนา / Natchanon Vana, 29.32 min)

 

36. LONG FOR ขอให้น้ำแข็งละลาย (2014, Phawinee Sattawatsakul ภาวิณี ศตวรรษสกุล, 32min)

 

37. MENSTRUAL SYNCHRONY (วันนั้นของเดือน) (2014, Jirassaya Wongsutin, A+30) 

 

38. SUMMER (2014, Colette Bothof, Netherlands)

 

39. WHEN MARNIE WAS THERE (2014, Hiromasa Yonebayashi, Japan, animation)

 

40. ANOTHER YOUNIVERSE จักรวาลของปรายแสง (2015, Tinshine Mongkolmont)

 

41. THE BACKYARDS (2015, Sitthiphon Sriprasert, 10min, A+5)

 

42. BYE BYE UTERI (2015, Parung Chumpolanomkoon)

 

43. DOMESTIC LIFE (2015, Seriphab Sutthisri, 13min)

 

44. FULL MOON OF MAY พฤษภาไม่นานก็คลี่คลาย (2015, Watsaya Boonnadda, 32min)

 

45. GLOWSTICK (2015, Paphawee Jinnasith, 18min)

 

46. IF YOU’RE A BIRD, I’LL BE YOUR SKY ถ้าเธอเป็นนก ฉันจะเป็นท้องฟ้า (2015, Visuta Matanom วิสุตา มาถนอม, 39min, A+30)

 

47. LOST OCEAN (2015, Napat Meepaitoon, 13min, A+20)

 

48. ROYYIM PIMJAI รอยยิ้ม พิมพ์ใจ (2015, Siripat Nomruk สิริภัช นมรักษ์, 13min)

 

49. SEARCHING FOR THE FOUR-LEAF CLOVER ตามหาใบโคลเวอร์ให้ครบ 4 แฉก (2015, Supaporn Punsabuy, 23min)

 

50. SPACING OF MIRROR ระยะห่างระหว่างกระจก (2015, Keetaluk Tomanit คีตาลักษณ์ โตมานิตย์, 18min)

 

51. WHAT A WONDERFUL WORLD (2015, Jirapat Thaweechuen, Thanawat Numcharoen, Pu-ton Thongtan, 13min)

 

52. MOTEL MIST (2016, Prabda Yoon)

 

53. A YEAR AGO (2016, Shanya Jiwachotkamjorn ชัญญา จิวโชติกำจร, queer film, 20min, A+25)

 

54. ETHEREAL CREATURE (2017, Tinshine Mongkolmont ทินฉาย มงคลมนต์, 19min)

 

55. IT’S EASIER TO RAISE CATTLE (2017, Amanda Nell Eu, Malaysia)

 

56. MAGNET (2017, Natthapong Prasri, 7min, A+25)

 

57. ONE MORE TIME (2018, เจ๊ะฟาเดีย เจ๊ะอาแว Cherfadia Chearwae, สุทธิกานต์ พูลทวี Sutthikan Puntawee, สกาวรัตน์ วีรวุฒิไกร Sakaowrat Weerawutikrai, A+30)

 

58. THE PRINCE OF SEA ANEMONES เจ้าชายดอกไม้ทะเล (2018, ทวีโชค ผสม Thaweechok Phasom, A+30)

 

59. RAFIKI (2018, Wanuri Kahiu, Kenya)

 

60.FAREWELL SONG (2019, Akihiko Shiota, Japan)

 

61. UNE PLUS UNE ÉGALE UN (2019, Jatupol Kiawsaeng, 23min)

 

62. WHERE WE BELONG (2019, Kongdej Jaturanrasamee)

 

63. BABY ASSASSINS (2021, Yugo Sakamoto, Japan)

 

64. AQUARIUM STORY (2022, Pobmek Junlakarin, 22min)

 

65. HEAVY SNOW (2023, Suik Yun, South Korea)

 

66.INTERVENTION (2023, Kamonkarn Samutratanakul กมลกานต์ สมุทรรัตนกุล, queer film, lesbian, 29.57 นาที, A+30)

 

67. KYRIE (2023, Shunji Iwai, Japan, 178min)

 

68. 157,000 WA (2023, Praewalai Chaivisan, 30min)

 

69. REMINDER (2023, Achita Itarat อชิตะ อิฐรัตน์, Natnarin Khaengraeng ณัฐฎ์ณริน แข็งแรง, 53min, A+30)

 

70. SILK (2023, Kanlapaphruek Tiyajamorn กัลปพฤกษ์ ติยะจามร, 21.39 min, A+30)

 

71.CRAYON กลับบ้าน (2024, Akarawit Menak, 32min)

 

72. LOOK BACK (2024, Kiyotaka Oshiyama, Japan, animation, 58min)

 

73. ONE TWO ๑ ๒ (2024, Chatthip Hatthanirun ฉัตรทิพย์ หัตถนิรันดร์, 18min)

 

74. SOMETIME SOMEWHERE SOMEONE (2024, ธันยวีร์ ทองดีพันธ์ Thanyawee Thongdeephan)

 

75. FLAT GIRLS (2025, Jirassaya Wongsutin)

 

ผมยังไม่เคยดู ADIEU PHILIPPINE ครับ เคยดูแต่ NEAR OROUET (1971, Jacques Rozier, 150min) ที่เกี่ยวกับ three young girls ไปเที่ยวชายทะเลด้วยกัน

 

Edit เพิ่ม: จากที่เราเขียนตอบเพื่อนคนนึง

 

ตอนทำลิสท์นี้ผมก็แปลกใจที่

 

1. ผมเคยดูหนังเกี่ยวกับ “เด็กสาวผิวดำสองคน” เพียงแค่เรื่องเดียว คือ RAFIKI ผมก็เลยสงสัยว่า มันมีหนังเกี่ยวกับ “เด็กสาวผิวดำสองคน” น้อยมาก หรือว่าหนังกลุ่มนี้มันมีเยอะ แต่ผมแทบไม่เคยได้ดูเอง

 

2. ผมแปลกใจที่ผมหาหนังเกี่ยวกับ “เด็กสาวสองคน” ที่เก่ากว่า DAISIES (1966) ไม่เจอ เห็นคุณ Warut บอกว่ามี JAPANESE GIRLS AT THE HARBOR (1933, Hiroshi Shimizu) ที่เข้าข่ายหนังกลุ่มนี้ด้วย ผมก็เลยดีใจมาก

 

เหมือนหนังเก่า ๆ ที่ผมได้ดู ส่วนใหญ่มันจะเป็นเรื่องของ “เด็กสาวคนเดียว” อย่างเช่น DIARY OF A LOST GIRL (1929, G.W. Pabst, Germany), DOUCE (1943, Claude Autant-Lara, France) , GIGI (1958, Vincente Minnelli)

 

ก็เลยรู้สึกว่า DAISIES กลายเป็นอะไรที่สำคัญมากยิ่งขึ้นไปอีก เหมือนหนังเรื่องนี้เป็นการเปิดศักราชหนังเด็กสาวสองคน 55555

 

 

VANESSA'S FATHER

 

หนึ่งในเนื้อเพลงที่เราว่าน่าสนใจมาก ๆ  และเหมาะจะนำไป debate กันมาก ๆ (แต่ไป debate กันที่อื่นนะ ไม่ต้องมา debate กันในนี้ 55555) ก็คือ VANESSA’S FATHER (1993) ที่แต่งเพลงและขับร้องโดย Lauren Christy คือตัวเพลงเพราะมาก ๆ แต่ตัวเนื้อเพลงนี่เราไม่แน่ใจว่าสะท้อน fantasy ของตัวคนแต่งเพลงเองหรือเปล่านะ แต่ถ้าหากเนื้อเพลงนี้ถูกนำมาสร้างเป็นหนังแล้วล่ะก็ ตัวละครทั้ง “พระเอก” และ  “นางเอก” นี่ต้องถือว่าแรงมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่ทราบชีวิต 55555

 

และเราว่าเนื้อเพลงนี้มัน “เตือน” ในทางอ้อมได้ดีด้วย ว่าถ้าหากเราไม่ได้มีความปรารถนาแบบเดียวกับตัวละครในเนื้อเพลงนี้ เราก็ควรระวัง “ภัย” ที่อาจมาได้ในรูปแบบของ “คนรู้จัก” อย่างเช่น “พ่อของเพื่อน” หรือควรจับสังเกตผู้ชายที่เริ่มต้นเข้าหาเราด้วยการทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน อย่างเช่น เขาอาจจะเริ่มต้นด้วยการ “gently touch my arm” ก่อนจะทำมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาต่อมา

 

Vanessa's father, he liked to be alone
Creating works of art, which he'd paint in a cottage made of stone
One day I crept inside, and I was unaware
Of what I was going to find, well the pictures they opened up my mind
I saw sculptures of young lovers intertwined
And on their bodies he had signed his name
And so I left that place, with a different look upon my face

Well I was fifteen and he had a certain charm
The way he smiled at me and the way that he'd gently touch my arm
And somehow we would always be alone
When it was time to take me home
And so we'd speed through the countryside
In his convertible we'd ride

(Chorus:)
Vanessa's father, was driving me home at night
And I never said a word, oh but somehow we just got here
Her father, was driving me home at night
And when I think back to then
I would count the days til I could go there again
Oh no, oh no, oh no

Another weekend, strange thoughts inside of me
Is it Vanessa who I am really going there to see
I'd smoke a cigarette, I'd thought so secretly
But the door it gently opened and he stood there smiling down at me
And then he pushed me backwards against the wall
I looked up cause he's so tall
And then he stared into my eyes
And kissed me so hard I cried

(Chorus:)
Vanessa's father, was sleeping with me at night
And I never said a word, oh but somehow we just got here
Her father, was sleeping with me at night
And when I think back to then
I would count the days til I could see him again
Oh no, oh no, oh no

The shaft of light would fall against my skin
That would seem sensual to him
But I'm too young to use these qualities, you bitch
I must be evil, I must be tainted
He breathed against the girl, he's painted a thousand times
I give up, and put out to him

Now this present time, look back on history
Oh and it seems so clear
Everything has been planned out for me
My husband smiles at me, sends love for me to see
I can't regret my past
Cause Vanessa's father
Is married to me

Thursday, February 13, 2025

A FLAT AS A CHARACTER

 

FAVORITE FILMS IN WHICH A FLAT OR AN APARMENT BUILDING IS A CHARACTER, OR PLAYS AN IMPORTANT PART IN THE FILMS

 

พอเราดู FLAT GIRLS (2025, Jirassaya Wongsutin, A+30) แล้วก็เลยอยากรวบรวมรายชื่อหนังที่ “แฟลต” หรือ “อพาร์ทเมนท์” เป็นตัวละครสำคัญ หรือมีบทบาทสำคัญสุดขีดในหนังเรื่องนั้น ๆ แต่เราเอาเฉพาะหนังที่เราเคยดูแล้วนะ ส่วนหนังที่เรายังไม่เคยดู อย่างเช่น THE APARTMENT (1960, Billy Wilder) เราไม่ได้นำมารวมไว้ในนี้ แต่ถ้าหากเพื่อนคนไหนอยาก comment เพิ่มเติมก็เชิญได้ตามสบายจ้ะ

 

1.THE FOLK UPSTAIRS (1926, Gerhard Lamprecht, Germany)

 

2.THE HOUSE ON TRUBNAYA SQUARE (1928, Boris Barnet, Soviet Union)

 

3.REAR WINDOW (1954, Alfred Hitchcock)

 

4. APRIL (1961, Otar Iosseliani, Soviet Union/Georgia)

 

5....AND THE FIFTH HORSEMAN IS FEAR (1965, Zbynek Brynych, Czechoslovakia)

 

6.THE TENANT (1976, Roman Polanski, France)

 

7.MEANTIME (1983, Mike Leigh, UK)

 

8.APARTMENT ZERO (1988, Martin Donovan, UK/Argentina)

 

9.SINGLE WHITE FEMALE (1992, Barbet Schroeder)

 

10.LÉON: THE PROFESSIONAL (1994, Luc Besson)

 

11.THE CORRIDOR (1995, Sharunas Bartas, Lithuania)

 

12. 301, 302 (1995, Park Chul-soo, South Korea)

 

13. BEAUTIFUL THING (1996, Hettie Macdonald, UK)

 

14. 12 STOREYS (1997, Eric Khoo, Singapore)

 

15. 6IXTYNIN9 (1999, Pen-Ek Ratanaruang)

 

16. EN CONSTRUCCIÓN (2001, José Luis Guerín, Spain)

 

17. THE IMMORTAL SKY ฟ้าอมร (2002, Suwan Hungsirisakul, 46min)

 

18. LILYA 4-EVER (2002, Lukas Moodysson, Sweden/Denmark)

 

19. THREE: GOING HOME (2002, Peter Chan, Hong Kong)

 

20. หนังชุด BUPPHA RATREE (2003, Yuthlert Sippapak)

 

21. THE NIGHT WILL PAY (2003, Néstor Mazzini, Argentina)

 

22. DARK WATER (2005, Walter Salles)

 

23. A SOAP (2006, Pernille Fischer Christensen, Denmark)

 

24. TO LET (2006, Jaume Balaguero, Spain)

 

25. BLOCK B (2008, Chris Chong Chan Fui, Malaysia/Canada)

 

26. DANGER (DIRECTOR CUT) ภัยใกล้ตัว (ฉบับผู้กำกับ) (2008, Chulayarnnon Siriphol, 14min)

 

27. STRANGER คน แปลก หน้า (2012, Benjarat Choonuan, 27min)                                                         

 

28. GE SA เกศา (2013, Surawee Woraphot)

 

29. HER LIFE (2013, Kanvara Lomthaisong)

 

30. DARK SOULS จิตตก (2014, Teera Prachumkong)

 

31. IN THE COURTYARD (2014, Pierre Salvadori, France)

 

32. IS THERE ARE THERE (2014, Yanisa Pongchaipaibool, 23min, A+15)

 

33. DHEEPAN (2015, Jacques Audiard, France)

 

34. FATHER & SON (2015, Sarawut Intaraprom)

 

35. HIGH-RISE (2015, Ben Wheatley, UK)

 

36. IT WAS HOTEL CAMBRIDGE (2016, Eliane, Caffé, Brazil)

 

37. DOOR LOCK (2018, Lee Kwon, South Korea)

 

38. HIGH WAY (2018, Chee Sum Chia, Malaysia)

 

39. TWO OF US (2019, Filipo Meneghetti, France)

 

40. HIA/TUS (2020, พีรพัฒน์ รักงาม, 32min, A+30)

เราเคยเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ที่นี่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10224471270752661&set=a.10223742745819993

 

41. HOME บ้าน (2020, Poom Thosamosorn, 28min)

เราเคยเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ที่นี่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10226918855380747&set=a.10225784745948720

 

42. MALASAÑA 32 (2020, Albert Pintó, Spain)

 

43. SISTERS (2020, Katarina Resek, Slovenia)

 

44. TOUBAB (2021, Florian Dietrich, Germany/Senegal, A+30)

 

45. WE MIGHT AS WELL BE DEAD (2022, Natalia Sinelnikova, Germany)

 

46. BACK HOME (2023, Nate Ki, Hong Kong, A+30)

 

47. CONCRETE UTOPIA (2023, Eom Tae-hwa, South Korea)

 

48. EVIL DEAD RISE (2023, Lee Cronin)

 

49. INFESTED (2023, Sébastien Vanicek, France)

 

50. OASIS OF NOW (2023, Chee Sum Chia, Malaysia)

 

51. THE POWERFUL GUNNER IN THE SPHERE OF CHAOS (2023, Jedsada Luangkesorn เจษฎา เหลืองเกษร / วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ ม.รังสิต, 25min)

 

52. WOOD FOR THE TREES (2023, Rob Crosse, Germany)

 

53. TWILIGHT OF THE WARRIORS: WALLED IN (2024, Soi Cheang, Hong Kong)

 

54. FLAT GIRLS (2025, Jirassaya Wongsutin)

AN ENGLISH HOMEWORK IN 1990S

 

ผลจากการดูดฝุ่นกองเอกสารเก่า ทำให้เราเจอหนังสือ 5 เล่มที่เราจำไม่ได้ว่ามันเคยวางแจกฟรีในงานอะไร คิอถ้าหากเราจำไม่ผิด หนังสือ 5 เล่มนี้เคยวางแจกฟรีในงานฉายหนังอะไรสักงานที่สถาบันเกอเธ่ หรือไม่ก็ที่สมาคมฝรั่งเศส ถนนสาทรใต้ แต่เราจำไม่ได้แล้วว่ามันคืองานอะไร ใครจำได้บ้างคะ น่าจะราว ๆ สัก 20 ปีก่อน

 

หนังสือ 5 เล่มนี้ประกอบไปด้วยหนังสือ APICHATPONG WEERASETHAKUL, NAVIN RAWANCHAIKUL, NARAPHONG CHARASSRI, PINAREE SANPITAK และ SURASI KUSOLWONG

 

หนังสือ APICHATPONG WEERASETHAKUL เขียนโดย Ulrike Kremeier

 

ก็ต้องขอบคุณตัวเองที่ชอบหยิบ “เอกสารแจกฟรี” ตามงานฉายภาพยนตร์ต่าง ๆ มาเก็บสะสมไว้ 55555

++++

 

การบ้านวิชาภาษาอังกฤษของ “แคชฟียา” ในช่วงต้นทศวรรษ 1990

 

ผลจากการค้นกองเอกสารเก่า ทำให้เราเจอ “การบ้านวิชาภาษาอังกฤษ” ของเพื่อนคนหนึ่งที่เราเคยถ่ายเอกสารเก็บไว้ด้วย เพื่อนของเราคนนี้ตั้งสมญานามให้ตัวเองว่า “แคชฟียา” ตอนนั้นเธอเรียนมหาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพในช่วงปี 1991-1994 และมันมีการบ้านวิชาภาษาอังกฤษที่เธอต้องแต่งเรื่องสั้นส่งอาจารย์ เธอก็เลยแต่งเรื่อง LOVE STORY ส่งไป เราอ่านแล้วก็ชอบมาก ๆ ก็เลยถ่ายเอกสารเก็บไว้เมื่อราว 30 ปีก่อน

 

การบ้านวิชาภาษาอังกฤษนี้ไม่ได้เน้นที่ “ตัวเนื้อเรื่อง” นะ แต่เน้นที่การใช้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นตัวเนื้อเรื่องก็เลยไม่มีอะไรมาก แต่เราอ่านแล้วก็ชอบสุดขีด เพราะมันเหมือนบันทึก “จินตนาการของกะเทยอย่างเรา” ในช่วงวัยรุ่นในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เอาไว้ มันบันทึกความ innocence ของพวกเรากับเพื่อนๆ เมื่อ 30 กว่าปีก่อนเอาไว้ และปัจจุบันนี้พวกเราไม่มีความ innocence แบบนั้นหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

 

เนื้อเรื่องข้างล่างนี้เป็นสิ่งที่เพื่อนเราเขียนส่งอาจารย์นะ เพราะฉะนั้นการใช้ tense และไวยากรณ์ในบางประโยคจะมีข้อผิดพลาดอยู่ด้วย ส่วนการใช้ไวยากรณ์ที่ถูกต้องที่อาจารย์แก้ไขมาให้สามารถดูได้จากรูปประกอบจ้ะ

 

LOVE STORY

 

Yasmin, Cindy and Niki were seventeen years old when they had just completed their high school. Yasmin had long, curly blonde hair and a sexy body. Cindy had long straight red hair, full lips and small, violet eyes. Niki had long, brown hair which had usually been tied back with pale-colored ribbons while she was in school. After she had graduated, she pulled her ribbon away from her hair and let the wind caress her hair while she was walking out of the school. Desire flickered in her eyes. They all hadn’t decided yet whether they would continue their learning. They wanted to find out about themselves, about the meaning of life, and especially about love which they hadn’t had before. They began to work as waitresses in a restaurant on a beach near their houses. There was a man named Gary who came to have lunch at this restaurant. He had brown eyes, thin lips, and soft voice. He was six feet tall and seemed to be quiet. His job was selling plants. Yasmin, Cindy and Niki thought that he was very handsome and they all fell in love with when they just first saw him. When Cindy was going to bring him the food he had ordered, she stumbled and fell on him because she hadn’t yet been accustomed to her new high-heeled which were four inches tall. The plates and the glasses she brought were broken and scattered all over the floor and stained his clothes. However, he was not angry at all. He paid for the broken plates and glasses, and Cindy felt very grateful to him. She decided to pay him back. So Cindy, Yasmin and Niki asked him if they could be his guides for a trip to the islands near there. He agreed after he had seen the girls and thought that they were very attractive. When they were on the boat to an island, he felt seasick and had to vomit. He felt embarrassed but the girls didn’t mind it at all. Instead, they tried to help him feel better. While they were nursing him, he became impressed by their kindness. After he had spent some time with them on the island, he admitted to himself that he had fallen in love with Niki because she was the smartest. He revealed his love to her. She was very glad and told him that she loved him too. After they had returned from the trip, he introduced Niki to his parents. They all thought that Niki was the right one for him. However, when Niki asked Yasmin’s opinion, Yasmin told Niki that Niki was too young to be serious with love, but Cindy advised Niki not to let this love pass if Niki was sure that this was a real love. Niki’s parents also liked Gary although they knew that Gary had been a woman before he underwent a transsexual operation which changed him from a woman to a man. Four years later, Niki graduated from a university. Gary and Niki get married.

 

เราชอบมากที่อาจารย์ของแคชฟียาใส่เครื่องหมาย อัศเจรีย์ ไว้ตรงเนื้อหาที่เป็นเรื่อง transsexual ด้วย อาจารย์คงตกใจกับเนื้อหาตรงส่วนนี้ 55555

Wednesday, February 12, 2025

FLAT GIRLS (2025, Jirassaya Wongsutin, A+30)

 

FLAT GIRLS (2025, Jirassaya Wongsutin, A+30)

ชั้นห่างระหว่างเรา

 

เราเน้นเขียนเกี่ยวกับชีวิตตัวเองเป็นหลักนะ ไม่เน้นเขียนถึงหนังเรื่องนี้แต่อย่างใด 55555

 

SERIOUS SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

--

--

--

--

--

 

1. ชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ อยากให้ตัวละครในหนังเรื่องนี้มาปะทะกับนางเอกของหนังเรื่อง OTHERS FROM NOW ON (อื่น ๆ นับจากนี้) (2024, Tanadol Sodsri, A+30) เพราะเราชอบความ “อับจนหนทางไป” ของตัวละครหญิงในหนังทั้งสองเรื่องมาก ๆ

 

แต่เราก็ยอมรับว่า เราไม่ได้รู้สึก “อิน” กับหนังเรื่องนี้มากเท่าที่เราคาดไว้ก่อนเข้าไปดูนะ ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของหนังเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว โดยเราเดาว่าสาเหตุที่เราไม่ได้รู้สึกอินมากนักอาจจะเป็นเพราะ

 

1.1 ประสบการณ์ชีวิตของเราไม่ได้คล้ายกับตัวละครในเรื่องมากนัก คือก็มีหลาย ๆ จุดในหนังที่ทำให้นึกถึงประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง แต่ก็มีหลายจุดที่แตกต่างจากชีวิตเราอย่างรุนแรง ซึ่งเราจะเขียนถึงในข้อต่อ ๆ ไป

 

1.2 เพศสภาพของเรา เพราะพอเราเป็นเกย์ที่เงี่ยนผู้ชายมาก ๆ เราก็จะไม่ได้อินกับการดูความสัมพันธ์หญิง-หญิงในหนังเรื่องนี้มากนัก แต่ “ไม่อิน” ไม่ได้แปลว่า ไม่ชอบหนังนะ คือเราชอบหนังเรื่องนี้ด้วยสาเหตุอื่น ๆ แต่ไม่ได้ชอบเพราะ “รู้สึกอิน”

 

1.3 เราว่าหนังจงใจอยู่แล้วด้วยแหละที่รักษาระยะห่างระหว่างคนดูกับตัวละคร โดยเฉพาะการทำให้คนดูรู้สึกงง ๆ กับชีวิตและการตัดสินใจของตัวละครในช่วงท้าย ๆ โดยเฉพาะการตัดสินใจของ “แอน” คือเหมือนหนังก็อาจจะตั้งใจอยู่แล้วด้วยแหละที่จะไม่ได้ให้คนดูรู้สึกอินกับตัวละครนำในหนังมากนัก

 

เพราะฉะนั้นถ้าหากพูดกันตามจริงแล้ว ถึงแม้เราจะชอบ FLAT GIRLS มาก ๆ แต่เราก็ไม่ได้อินกับมันอย่างรุนแรงสุดขีดเหมือนอย่างหนังไทยเกี่ยวกับวัยรุ่นหญิง 2 เรื่องที่เราได้ดูในปีที่แล้ว ซึ่งก็คือ OTHERS FROM NOW ON กับ “กะจั๊วมีปีก” (2022, Wairun Akarawinake, 60min, A+30) คือเราดู OTHERS FROM NOW ON กับ “กะจั๊วมีปีก” แล้วเราร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรงมาก ๆ ร้องไห้แบบไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป ซึ่งนางเอกของหนังทั้งสองเรื่องนี้ก็เป็น “เด็กสาววัยมัธยมที่มีปัญหากับเพื่อนและครอบครัว” เหมือนอย่างนางเอก FLAT GIRLS

 

เราก็เลยถามตัวเองว่า หนัง 3 เรื่องนี้มันมีข้อแตกต่างที่สำคัญกันอย่างไร ทำไมเราถึงอินกับ OTHERS FROM NOW ON และ “กะจั๊วมีปีก” อย่างรุนแรงสุดขีด แต่ไม่อินกับ FLAT GIRLS และเราก็เลยได้คำตอบว่า มันเป็นเพราะนางเอกของ OTHERS FROM NOW ON และ “กะจั๊วมีปีก” นั้น เป็น “คนที่ผู้ชายไม่เอา” น่ะ คือนางเอกของหนังทั้งสองเรื่องนี้หลงรักชายหนุ่ม แต่ชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้รักเธอตอบ นางเอกของหนังทั้งสองเรื่องนี้ก็เลยอกหัก ชอกช้ำ และเจ็บปวดหัวใจอย่างรุนแรงมาก

 

“การที่ผู้ชายไม่เอา” นี่แหละ ก็เลยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราอินกับ OTHERS FROM NOW ON และ “กะจั๊วมีปีก” อย่างรุนแรง เพราะนี่แหละคือ “นิยามชีวิตของเราในวัยมัธยม” 55555

 

2. ถึงเราไม่ได้อินกับหนังอย่างรุนแรง แต่ก็ชอบที่หนังเรื่องนี้นำพาเราไปสัมผัส“สภาพการใช้ชีวิตในแฟลตตำรวจ” ได้อย่างถึงขั้นมาก ๆ  และนำพาเราไปสัมผัสชีวิตคนกลุ่มหนึ่งที่อาจจะมีส่วนคล้ายเราบ้าง และแตกต่างจากเราบ้าง เราว่าตัวละครในหนังมันดูจริงมาก ๆ และเป็นมนุษย์มาก ๆ และหนังเรื่องนี้อาจจะแคร์ความเป็นมนุษย์ของตัวละครมากกว่าแคร์ “การบีบให้ตัวละครเป็นเครื่องมือในการส่งสารทางสังคม” และ “การบีบให้ตัวละครกระตุ้นอารมณ์ผู้ชมตามแบบแผนสำเร็จรูป” อะไรทำนองนี้

 

คือดูแล้วอยากให้มีคนเขียนบทความ “ตัวตน, ความใฝ่ฝัน, สภาพสังคม และการดิ้นรนของตัวละครนำหญิงใน WHERE WE BELONG, NHA HARN, BLUE AGAIN, and FLAT GIRLS” โดยเปรียบเทียบกับตัวละครนำหญิงในนิยายไทยยุคเก่า ๆ อย่างเช่นนิยายของ “โบตั๋น” เพราะเรารู้สึกว่านิยายของโบตั๋นมักจะชอบสร้างตัวละครนำหญิงเพื่อ “สะท้อนปัญหาสังคม” แต่มันมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างตัวละครนำหญิงในนิยายของโบตั๋น (ซึ่งเราก็ชอบมาก) กับตัวละครนำหญิงในหนังไทยยุคใหม่ ถึงแม้ว่ามันอาจจะสะท้อนปัญหาสังคมในแต่ละยุคของมันเองได้ดีมาก ๆ เหมือนกัน

 

คือเรารู้สึกว่า ตัวละครนำหญิงใน WHERE WE BELONG, NHA HARN, BLUE AGAIN, and FLAT GIRLS มันค่อนข้างแคร์ความเป็นมนุษย์ของตัวละครมากเป็นพิเศษน่ะ และไม่ได้เอา “การส่งสารทางสังคม” กับ “การกระตุ้นอารมณ์ผู้ชม” ไปครอบตัวละครมากเกินไปจนตัวละครสูญเสียความเป็นมนุษย์ เราก็เลยรู้สึกว่าหนังไทยกลุ่มนี้มันน่าสนใจมาก ๆ ตรงจุดนี้

 

แต่เราว่าแต่ละเรื่องในกลุ่มนี้ก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป เราว่า WHERE WE BELONG กับ NHA HARN นี่ทำหน้าที่ “ส่งสารทางสังคม” ได้ดีมาก ๆ พร้อมกับที่ตัวละครก็เป็นมนุษย์มาก ๆ ไปด้วย ส่วน BLUE AGAIN นี่เราว่า ตัวละครดูเป็น “มนุษย์” มากที่สุดในความเห็นของเรา

 

ส่วนหนังที่เราว่า เอา “การส่งสารทางสังคม” มาครอบตัวละครมากไปหน่อย ก็คือ REDLIFE (2023, Ekalak Klunson, A+30) ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เป็นหนังที่เราชอบมากนะ และจุดประสงค์ของหนังก็คงเป็นการส่งสารทางสังคมอยู่แล้ว แต่เราว่ามันคงน่าสนใจดีถ้าหากมันมีการเปรียบเทียบ “วิธีการสร้างตัวละคร” ในหนังเรื่องต่าง ๆ แล้วดูว่าหนังแต่ละเรื่องจัดลำดับความสำคัญอะไรแตกต่างกันไป

 

ส่วนผู้กำกับที่เรายกให้เป็น “ขั้นเทพ” ในการสร้างตัวละครที่ได้ทั้ง “ความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์”, “การส่งสารทางสังคม” และ “การสร้างความสะเทือนใจแก่ผู้ชมอย่างรุนแรง” ได้ทั้ง 3 อย่างในเวลาเดียวกัน ก็คือ Christian Petzold โดยเฉพาะหนังอย่าง GHOSTS (2005) และ DREILEBEN: BEATS BEING DEAD (2011) และเราว่า Lino Brocka ก็สร้างตัวละครที่มีคุณสมบัติครบทั้ง 3 อย่างได้เหมือนกัน แต่อารมณ์ของ Lino Brocka อาจจะกระเดียดไปทาง melodrama แบบ “วิมานหนาม” มากกว่า

 

เพราะฉะนั้นพอเราดู FLAT GIRLS เราก็เลยรู้สึกว่า เราชอบมันในระดับเกือบมากเท่า ๆ กับ GHOSTS (2005, Christian Petzold) ที่พูดถึง “เด็กสาวสองคน” เหมือนกัน แต่ก็อาจจะชอบน้อยกว่า GHOSTS นิดหน่อยในตอนนี้ เพราะอารมณ์ของเราตอนดู FLAT GIRLS มันยังไม่พีคสุดขีดเหมือนตอนที่เราดู GHOSTS

 

 และเราว่าเราชอบ FLAT GIRLS ในระดับพอ ๆ กับหนังหลาย ๆ เรื่องของ Celine Sciamma เจ้าแม่หนังเลสเบี้ยนฝรั่งเศส 55555 คือเราชอบหนังของ Sciamma มาก ๆ นะ แต่เหมือนมันมีอะไรบางอย่างในหนังของ Sciamma ที่ไม่ได้ทำให้เรารู้สึก “พีคสุดขีด” ไปกับหนัง ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของ Sciamma แต่อย่างใด แต่คงเป็นเพราะ wavelength ของเรากับ Sciamma ที่อาจจะใกล้กัน แต่ไม่ได้ตรงกันซะทีเดียว

 

3. ย้อนกลับมาที่ “โบตั๋น” คือตอนที่เราดู FLAT GIRLS เรานึกถึงนิยายของโบตั๋นที่เราเคยอ่านตอนเด็ก ๆ มาก ๆ เพราะโบตั๋นชอบสร้างตัวละครที่เจอสภาพแวดล้อมแบบนี้ ชีวิตคนจนปากกัดตีนถีบ สังคมเส็งเคร็ง พ่อแม่นิสัยเหี้ย

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบ “การหายสาบสูญ” ของแอนอย่างรุนแรงสุดขีดน่ะ เพราะเราว่ามันคือจุดสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากนิยายของโบตั๋นที่เราเคยอ่านตอนเด็ก ๆ

 

คือตอนเด็ก ๆ เราจำได้ว่า เราเคยอ่านนิยายเรื่องนึงของโบตั๋น ที่เราจำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว ถ้าใครจำชื่อเรื่องได้ก็บอกด้วยนะ เหมือนเป็นเรื่องของ “เด็กสาววัยรุ่น 3 คนในตลาดแห่งเดียวกัน” คนนึงยากจนมาก และต้องทำงาน “เชือดไก่” ในตลาด เพื่อขายเนื้อไก่

 

เราจำได้ว่า ในตอนจบของนิยายเรื่องนั้น พระเอกได้เข้าไปช่วยอุปการะเด็กสาวคนนี้หรืออะไรทำนองนี้ โดยพระเอกบอกว่า เด็กสาวคนนี้เป็นคนจน ไม่มีเงินเรียนต่อ แต่ถ้าหากมีใครส่งเสียให้เธอได้เรียนต่อ การที่เธอ “เชือดไก่” อย่างชำนาญมาตั้งแต่เด็ก ๆ จะส่งผลให้เธอกลายเป็น “ศัลยแพทย์” ที่เก่งกาจได้แน่ ๆ ถ้าหากมีคนช่วยออกเงินค่าเล่าเรียนให้เธอ

 

เพราะฉะนั้นพอเราดู FLAT GIRLS เราก็เลยนึกถึงนิยายเรื่องนั้นของโบตั๋นมาก ๆ เพราะมันพูดถึง “เด็กสาวจน ๆ ที่น่าจะเรียนดี ถ้าหากเธอมีเงินเรียนต่อมหาลัย” เหมือนกัน แต่ตอนจบของนิยายของโบตั๋น กับของ FLAT GIRLS มันแตกต่างจากกันอย่างรุนแรง และความแตกต่างกันนี้มันอาจจะสะท้อนสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างทศวรรษ 1980 กับทศวรรษ 2020 ได้ดีมาก

 

4. เนื่องจากเราเติบโตมากับการอ่านนิยายของ “ทมยันตี” จำนวนมากในช่วงที่เราเป็นเด็กในทศวรรษ 1980 เราก็เลยขอจดบันทึกความทรงจำของเราเองไว้ตามตรงว่า ตอนที่ดู FLAT GIRLS เรานึกถึงนิยายของทมยันตีด้วย ถึงแม้ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งใจเลยก็ตาม 55555

 

คือเราว่า ตัวละคร “แอน” ในหนังเรื่องนี้ มี dignity บางอย่าง ที่ทำให้เรานึกถึงตัวละครนางเอกในนิยายหลาย ๆ เรื่องของ “ทมยันตี” น่ะ คือตัวละครนางเอกในนิยายของทมยันตีจะเป็นคนที่ “เข้มแข็ง”, “ใจเด็ดเดี่ยว” และมีการสร้าง dignity บางอย่างให้ตัวเองน่ะ ไม่ว่าตัวละครนางเอกคนนั้นจะเป็น “เมียน้อย” อย่างในนินายเรื่อง “คุณหญิงนอกทำเนียบ”, เป็น “โสเภณี” อย่างในนิยายเรื่อง “เมียน้อย”, เป็น “แม่เล้า” อย่างในนิยายเรื่อง “คลื่นชีวิต” หรือเป็นคนถ่ายภาพโป๊ แบบในนิยายเรื่อง ”โซ่สังคม” นางเอกในนิยายเหล่านี้ก็จะมีการสร้างกฎเกณฑ์บางอย่างให้ตัวเอง เพื่อรักษา dignity ในใจตัวเองเอาไว้

 

เพราะฉะนั้นการที่ แอน รับเงินจากตอง แต่พยายามปฏิเสธที่จะรับเงินจาก เจน และตัดสินใจคืนแหวนให้เจนในช่วงท้ายของหนัง มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า ตัวละครแอนสร้างกฎเกณฑ์บางอย่างให้ตัวเอง และมีการรักษา dignity ในแบบของตัวเอง และเราก็เลยรู้สึกว่า ตัวละครแอน มันทำให้เรานึกถึงนางเอกในนิยายของทมยันตี หลาย ๆ เรื่อง โดยที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งใจ 55555

 

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นึกถึง “ทมยันตี” เป็นเพราะตัวละครในหนังมันมี “ประโยคคม ๆ” แบบเดียวกับในนิยายของทมยันตีด้วยแหละ โดยใน FLAT GIRLS นั้น มันมีประโยคที่ตัวละครพูดในทำนองที่ว่า “ถ้าหากเราหลับตาตอนที่เรือหันหัวกลับ เราก็จะได้ไม่รู้สึกว่าเรือมันหันหัวกลับมาตามทางเดิมแล้ว เราจะยังคงรู้สึกว่าเรือมันยังคงแล่นไปเรื่อย ๆ” หรืออะไรทำนองนี้

 

ซึ่งการมีประโยคคม ๆ แบบนี้ก็เลยทำให้เรานึกถึงนิยายเรื่อง “เมียน้อย” ของทมยันตีโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะใน เมียน้อย (หรือในนิยายเรื่องไหนสักเรื่องของทมยันตี) มันมีบทสนทนาระหว่างนางเอกกับตัวละครเพื่อนกะหรี่สาวคนนึงมั้ง ที่กะหรี่สาวคนนึงที่หมดกำลังใจในการพัฒนาชีวิตตัวเองพูดว่า “เราจะพยายามหนีตัวเองไปทำไม เพราะโลกมันกลม เราพยายามวิ่งหนีตัวเองไปมากเท่าไหร่ เราก็จะวิ่งกลับมาอยู่ที่จุดเดิมอยู่ดี” แล้วนางเอกก็ตอบในทำนองที่ว่า “ถึงโลกมันกลม เราก็เลือกลากจุดวิ่งที่มันไกลที่สุดดูสิ ลากจุดวิ่งในแบบที่ว่า ต่อให้เราวิ่งจนเหนื่อยตายแค่ไหน เราก็ไม่มีทางได้กลับมาอยู่จุดเดิมได้อยู่ดี”

 

คือเราชอบมาก ๆ ที่บทสนทนาของกะหรี่สาวสองคนออกมาในแง่ปรัชญา และการอุปมาอุปไมยได้หนักขนาดนี้ คือถ้าคุณวิ่งรอบโลก แต่ไปวิ่งที่ขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้ คุณก็วิ่งกลับมาอยู่ที่จุดเดิมได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าคุณวิ่งรอบโลก แต่ไปวิ่งที่เส้นศูนย์สูตร คุณก็จะไม่มีทางได้วิ่งกลับมาอยู่ที่จุดเดิม

 

เราก็เลยรู้สึกว่า ประโยคคม ๆ ใน FLAT GIRLS มันทำให้นึกถึงประโยคคม ๆ ในนิยายของทมยันตีโดยไม่ได้ตั้งใจ มันเหมือนเป็นประโยคที่พูดโดย “หญิงสาวที่พยายามรับมือกับความอับจนของชีวิต” คล้าย ๆ กัน

 

5. ชอบ “ฉากขนตา” ในหนังมาก ๆ คือเราอายุ 51 ปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยเจอฉากอะไรแบบนี้มาก่อน รู้สึกว่ามัน original มาก ๆ

 

6. แต่จุดที่เราชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ ก็คือการเลือกจบแบบที่ให้แอน NOT RECONCILED กับครอบครัวนี่แหละ

 

คือเราไม่รู้ว่า แอนฆ่าตัวตาย หรือแค่ทิ้งครอบครัวไปตั้งต้นชีวิตใหม่นะ แต่ไม่ว่าแอนจะเลือกเส้นทางไหน มันก็เห็นได้ชัดว่า แอนเลือกที่จะ NOT RECONCILED กับครอบครัวตัวเอง

 

ซึ่งเรากราบทางเลือกของตัวละครแบบนี้มาก ๆ เพราะเอาจริงแล้วเราก็อินมาก ๆ กับจุดนี้

 

อย่างที่เราเคยเขียนไปแล้วหลายร้อยครั้งว่า ปัญหาหนึ่งที่เรามีกับ “หนังสั้นไทย” ในทศวรรษ 1990 และทศวรรษ 2000 ก็คือการที่หนังสั้นไทยหลายเรื่อง เล่าเรื่องของตัวละคร “ลูก” ที่มีปัญหาทะเลาะกับพ่อแม่ปู่ย่าตายาย แล้วก็หนีออกจากบ้าน แล้วก็ถูกข่มขืน หรือได้รับบทเรียนต่าง ๆ นานา แล้วก็จบลงด้วยการที่ตัวละครลูกกลับมาซบอกครอบครัวตัวเอง กลับมา RECONCILE กับครอบครัวตัวเองน่ะ

 

ซึ่งการที่เรามีปัญหากับหนังเหล่านี้ เป็นเพียงเพราะว่า เรา “ไม่อิน” กับหนังเหล่านี้นะ ไม่ได้เป็นเพราะว่าหนังเหล่านี้เป็นหนังไม่ดี และเราก็ไม่ได้มองว่าหนังเหล่านี้ทำผิดแต่อย่างใด แต่เรา “ไม่อิน” กับหนังไทยเหล่านี้เท่านั้นเองจ้ะ

 

แต่ก็มีหนังสั้นไทยไม่กี่เรื่อง ที่เลือกจบในแบบที่เข้าทางเรานะ บางเรื่องก็เลือกจบด้วยการให้ลูก “ฆ่าตัวตาย” และบางเรื่องก็เลือกจบด้วยการให้ลูก “หนีออกจากบ้าน และไม่กลับบ้านอีกตลอดไป” WE CAN’T GO HOME AGAIN ซึ่งหนังไทยเหล่านี้ก็มีเช่นเรื่อง “บังเกิดเกล้า” (2011, Kamontorn Eakwattanakij), LET THE DOVES FLY (2017, Anuroth Ketlekha อนุโรจน์ เกตุเลขา) และ UNFORTUNATELY แค่วันที่โชคร้าย (2023, Kawinnate Konklong) แต่หนังสั้นไทยที่เลือกจบแบบ NOT RECONCILED นี้ก็มีน้อยมาก เหมือนมีแค่ 3 เรื่องจากทั้งหมด 3000 เรื่อง อะไรทำนองนี้

 

เพราะฉะนั้นพอ FLAT GIRLS เลือกจบแบบ NOT RECONCILED เราก็เลยกราบหนังเรื่องนี้มาก ๆ กราบจอมาก ๆ จั๋งหนับที่สุด ได้ใจเราอย่างรุนแรงที่สุด

 

7.และเราว่าการเลือกจบแบบ “ปลายเปิด” แบบนี้ มันกระตุ้นจินตนาการของเราอย่างรุนแรงมาก ๆ ด้วย เพราะเรารู้สึกว่า แอนคงไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่แอนคงหนีไปตั้งต้นชีวิตใหม่อยู่ที่ไหนสักแห่ง และดิ้นรนหาทางมีความสุขในแบบของตัวเองต่อไป เหมือนแอนยังคงมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในหัวใจและจินตนาการของเราในตอนนี้ ถึงแม้เราดูหนังเรื่องนี้จบไปหลายวันแล้วก็ตาม

 

ซึ่งในจินตนาการส่วนตัวของเรานั้น เราหวังว่า แอนอาจจะหนีไปตั้งต้นชีวิตใหม่ และเริ่มต้นด้วยการทำงานเป็น “สาวเสิร์ฟ” ในบาร์สักแห่งที่มีลูกค้าต่างชาติเยอะ ๆ เพราะงานสาวเสิร์ฟแบบนี้น่าจะรับคนที่มีวุฒิม. 6 ได้ และพอเธอมีประสบการณ์ทำงานสาวเสิร์ฟในบาร์ได้ระยะหนึ่งแล้ว เธอก็เอาประสบการณ์นี้ไปใช้ในการสมัครทำงานในเรือสำราญแบบ TRIANGLE OF SADNESS (2022, Ruben Östlund) เพราะการทำงานในเรือสำราญแบบนี้ จะส่งผลให้เธอได้ท่องเที่ยวทั่วโลก, ส่งผลให้เธอเก็บเงินได้เยอะ รวยเร็ว เพราะการอยู่บนเรือสำราญ มันไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ใช้เงิน และการทำงานบนเรือสำราญ มันเหมาะกับคนที่ “ไม่มีบ้านให้กลับ” มาก ๆ ด้วย

 

ซึ่งการที่เราจินตนาการถึงชีวิตของแอนออกมาแบบนี้ มันเป็นเพราะประสบการณ์ของเราด้วยแหละ คือเราเคยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร/บาร์เกย์แห่งหนึ่งในสีลมซอย 4 ในปี 1997 แล้วก็มีเพื่อนเด็กเสิร์ฟบางคน ชักชวนกันไปสมัครทำงานเรือสำราญ โดยงานนี้ต้องการคนที่มีประสบการณ์ทำงานบริการ (อย่างเช่นเด็กเสิร์ฟ) และพูดอังกฤษคล่อง แต่เราเสียดายสุดขีดที่ตอนนั้นเรายัง “ว่ายน้ำไม่เป็น” เราก็เลยไม่สามารถสมัครทำงานเรือสำราญได้

 

แต่เราอิจฉาเพื่อนๆ  เด็กเสิร์ฟบาร์เกย์บางคนที่ได้ไปทำงานเรือสำราญอย่างรุนแรงที่สุด เพราะพวกเขาได้เย็ดกับเกย์หนุ่มหล่อทั่วโลก 55555 และพวกเขาเก็บเงินได้เยอะมาก เหมือนทำงานเรือสำราญแค่ไม่กี่ปี พวกเขาก็มีเงินมากพอที่จะ “ซื้อที่ดิน” ในบ้านเกิดของพวกเขาในชนบทได้ คือพวกเขาเลื่อนฐานะจากเด็กเสิร์ฟในบาร์เกย์ เป็น “คุณนาย” หรือ “เศรษฐีนี” ในชนบทบ้านเกิดของตัวเองได้เร็วมาก ๆ

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยแอบจินตนาการว่า แอน น่าจะเลือกทางเดินชีวิตแบบเพื่อน ๆ ของเราแบบนี้ แป๊บเดียวก็ตั้งตัวได้แล้ว 55555 (แต่เราก็ไม่รู้ว่า ธุรกิจเรือสำราญในปัจจุบันนี้กับในทศวรรษ 1990 มันแตกต่างกันอย่างไรบ้างนะ)

 

8. หนึ่งในหนังที่นึกถึงโดยไม่ได้ตั้งใจระหว่างที่ดู FLAT GIRLS ก็คือ THE BLOSSOMING OF MAXIMO OLIVEROS (2005, Auraeus Solito, Philippines, A+30) เพราะว่าเป็นหนัง queer วัยรุ่น ที่มี “ตำรวจหนุ่มหล่อ” เป็น object of desire เหมือนกัน โดยใน THE BLOSSOMING นั้น ตัวละครตำรวจหนุ่มหล่อเป็น “เป้าหมาย” ของตัวละครกะเทยวัยรุ่นในเรื่องอย่างชัดเจน ส่วนใน FLAT GIRLS นั้น ตัวละครตำรวจหนุ่มหล่อเป็น object of desire ของดิฉันค่ะ 55555

 

เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยขำมากที่ตัวละครใน FLAT GIRLS ชอบปีนเข้าห้องตำรวจหนุ่มหล่อโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือแอบสะเดาะกลอนประตูห้องตำรวจหนุ่มหล่อโดยไม่ได้รับอนุญาต คือ “จุดประสงค์” ของตัวละครใน FLAT GIRLS แตกต่างจากดิฉัน แต่สิ่งที่ตัวละครทำก็คือสิ่งที่ดิฉันอยากทำ ด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างออกไป 55555

 

การที่ตัวละครใน FLAT GIRLS ชอบบุกรุกห้องของตำรวจหนุ่มหล่อโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ทำให้เรานึกถึง CHUNGKING EXPRESS (1994, Wong Kar-wai, Hong Kong, A+30) โดยไม่ได้ตั้งใจด้วย แต่ยังดีที่พฤติกรรมของตัวละครนางเอกทั้งสองของ FLAT GIRLS ไม่ได้มีความ creepy มากเท่ากับตัวละครของ Faye Wong ใน CHUNGKING EXPRESS

 

อีกจุดนึงที่ FLAT GIRLS ทำให้นึกถึง CHUNGKING EXPRESS โดยไม่ได้ตั้งใจก็คือว่า ตัวละครของ Faye Wong ทิ้งตำรวจหนุ่มหล่อเพื่อไปเป็น “แอร์โฮสเตส” และเดินทางไปยัง “รัฐแคลิฟอร์เนีย”

 

9. มีบางจุดใน FLAT GIRLS ที่ทำให้เรานึกถึงหนังของคุณ Pimpaka Towira โดยไม่ได้ตั้งใจด้วย ซึ่งก็คือ

 

9.1 ฉากเปลี่ยนเสื้อชั้นในใน FLAT GIRLS ทำให้เรานึกถึงฉากเปลี่ยนเสื้อชั้นในใน ONE NIGHT HUSBAND (2003, Pimpaka Towira) ฉบับ DIRECTOR’S CUT

 

9.2 ประโยค ความรักมันเป็นเรื่องของคนมีเงินเท่านั้นแหละ” ใน FLAT GIRLS มันทำให้เรานึกถึงหนังเรื่อง “สุดสะแนน” TERRIBLY HAPPY (2011, Pimpaka Towira) มาก ๆ เพราะเราว่าประโยคนี้ก็ใช้อธิบายตัวละคร “ผู้หญิง” ใน TERRIBLY HAPPY ได้ดีมาก ๆ เหมือนกัน มันคือทางเลือกของ “ผู้หญิงจน ๆ” ที่ “จำเป็น” ต้องเลือก “เงิน” ก่อน “ความรัก” เพราะความจำเป็นของชีวิตมันบีบบังคับ

 

10. ต่อไปนี้เราจะเน้นเขียนถึงประเด็นที่ว่า FLAT GIRLS ทำให้เรานึกถึงชีวิตตัวเองยังไงบ้าง 555555

 

 

อะไรคือการที่เรานึกถึงหนังเรื่อง FLAT GIRLS แล้วมันนำเราไปสู่เพจ MALE MODEL RETRO 55555

https://web.facebook.com/uomoclassico/photos

 

 คือพอดู FLAT GIRLS แล้วมันพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวที่มี AGE GAP  มันก็เลยทำให้เรานึกถึง sexual fantasy ของตัวเองตอนที่เรายังเป็นเด็กมัธยมในช่วงทศวรรษ 1980 น่ะ คือช่วงนั้นเราชอบมี fantasy ว่า เราอยากได้ “พ่อเลี้ยง” คือในชีวิตจริงเราไม่มี “พ่อเลี้ยง” นะ แต่ตอนที่เราเป็นเด็กมัธยม เราอยากได้ผู้ชายที่มี 4 function ในตัวคนคนเดียวน่ะ คือผู้ชายในฝันของเราในตอนนั้นควรเป็นให้เราได้ทั้ง

 

10.1 “พ่อเลี้ยง” ที่สามารถสั่งสอนเราได้ และมีเงินเลี้ยงดูเราได้

10.2 “พี่ชาย” ที่มีคุณสมบัติเหมือนเพลง “พี่ชายที่แสนดี” ของอุ้ย รวิวรรณ จินดา

10.3 “เพื่อน” ที่พูดคุยหยอกล้อเล่นหัวกับเราได้

10.4 “ผัว” ที่สามารถตอบสนองแฟนตาซีทางเพศของเราในวัยนั้นได้

 

คือในตอนนั้นเราอยากได้ผู้ชายหนึ่งคนที่เป็นให้เราได้ทั้ง 4 อย่างข้างต้นในคนคนเดียวกัน คนเดียวแต่ให้เราได้ถึง 4 functions การใช้งาน แต่มันก็เป็นได้แค่แฟนตาซีของเราในตอนนั้น เพราะตอนมัธยมเราก็ได้แต่แอบ want ผู้ชายข้างเดียวไปเรื่อย ๆ เราขายไม่ออกแต่อย่างใดในตอนนั้น

 

ซึ่งในช่วงทศวรรษ 1980 นั้น เราเป็นเด็กผู้ชายจน ๆ ที่ไม่มีช่องทางในการเข้าถึงสื่ออีโรติกอะไรใด ๆ และยุคนั้นก็ไม่มีอินเทอร์เน็ตด้วย เพราะฉะนั้นเวลาเราจินตนาการถึง “พ่อเลี้ยง” ในตอนนั้น เราก็เลยเอา “นายแบบ” ในโฆษณากางเกงใน JOCKEY, J.PRESS หรือโฆษณา GILLETTE ในยุคทศวรรษ 1980 มาใช้เป็น “พ่อเลี้ยง” ในแฟนตาซีทางเพศของเรา

 

พอเราย้อนรำลึกถึงอดีตตรงจุดนี้ วันนี้เราก็เลย search internet เพื่อหาโฆษณากางเกงใน JOCKEY ยุคทศวรรษ 1980 เผื่อจะได้เจอ “พ่อเลี้ยง” ในจินตนาการของเราเมื่อราว 30-40 ปีก่อน แต่ก็หาไม่เจอ แต่ก็เจอเพจ MALE MODEL RETRO แทน ซึ่งเป็นเพจที่ดีงามสุด ๆ และมันทำให้เรา nostalgia ถึงจินตนาการทางเพศของตัวเองสมัยยังเป็นวัยรุ่นมาก ๆ 55555

 

ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่า การที่เราในวัยมัธยม มีจินตนาการทางเพศถึง “พ่อเลี้ยง” แบบนี้ มันมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากชีวิตของเราเองหรือเปล่านะ อย่างที่เราเคยเขียนเล่าไปแล้วหลายครั้งว่า พ่อของเราเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่เราอายุ 3 ขวบน่ะ เพราะฉะนั้นเราก็เลยเติบโตมาโดยไม่มีพ่อ และบางทีเราก็เลยตั้งข้อสงสัยว่า การที่เราเติบโตมาโดย “ไม่มีพ่อ” แบบนี้ มันเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีจินตนาการทางเพศถึง “พ่อเลี้ยง” เมื่อเราเริ่มเป็นวัยรุ่นหรือเปล่า

 

11. การที่แอนรับเงินจากตอง ก็ทำให้เรานึกถึงตัวเองนิดนึงด้วย ซึ่งมันก็มีจุดที่เหมือนกันและต่างกันมากกับชีวิตของเรา ซึ่งจุดที่เหมือนกันก็คือว่า เราก็เคยรับเงินจาก “ฝรั่งแก่ ๆ” บางคน แต่เราทำแบบนั้นตอนที่เราอายุ 20 กว่าปีแล้ว เรียนจบมหาลัยแล้ว เราทำแบบนั้นตอนที่เราบรรลุนิติภาวะแล้ว คือตอนนั้นเราอายุ 20 กว่าปี และเราชอบไปออกเดทกับฝรั่งแก่ ๆ อายุ 40-60 ปี

 

คือมันมีอยู่ช่วงนึงที่เราหลงรักฝรั่งหนุ่มหล่อคนนึง แต่เขาไม่ได้รักเรา เราก็เลยอกหักมาก รู้สึกอยากฆ่าตัวตาย อยากจะเดินไปให้รถชนตายไปเลย แต่อยู่ดี ๆ ช่วงนั้นเราก็พบว่า เราขายออกในบรรดา “ฝรั่งแก่ ๆ” ฝรั่งแก่ ๆ หลายคนต้องการเรา เราอาจจะ “ไร้ค่า” ในสายตาของฝรั่งหนุ่มหล่อ แต่เรา “มีค่า” ในสายตาของฝรั่งแก่ ๆ เราก็เลยออกเดทกับฝรั่งแก่ ๆ บางคนในช่วงปลายทศวรรษ 1990 แล้วเราก็ประทับใจมาก พวกเขา treat เราดีมาก ๆ โดยเฉพาะในเรื่องเงิน 55555

 

แต่อีกสิ่งที่แตกต่างกันมากระหว่างเรากับ “แอน” ก็คือเรื่อง “หน้าตา” ของคู่ขานี่แหละ คือถ้าหากตอนนั้นเราได้คู่เดทที่มีหน้าตาแบบ “อาตอง” เราคงจะยิ้มแฉ่งไปแล้ว 55555 แต่นี่คู่เดทของเราแต่ละคนหน้าตาเหมือน “คุณลุง KFC” น่ะ ประสบการณ์ของเรากับแอนก็เลยแตกต่างกันอย่างรุนแรงในจุดนี้ด้วย แต่เราก็มีความสุขกับประสบการณ์ตรงนั้นมาก ๆ นะ คือถึงแม้พวกเขาจะแก่ แต่พวกเขาก็ “ปฏิบัติต่อเราเป็นอย่างดี” และเงินดีน่ะ สิ่งเดียวที่เราเสียใจก็คือว่า ถ้าหากเราย้อนเวลากลับไปได้ เราจะตัดสินใจเลือกคบกับฝรั่งแก่ ๆ สักคนอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไปเลย และป่านนี้เราคงใช้ชีวิตอยู่ในยุโรปอย่างมีความสุขไปแล้ว ไม่ต้องมาจมปลักดักดานอยู่ในไทยแบบนี้ “ชีวิตเหมือนเพลง บรรเลงผิดคีย์” จริง ๆ ค่ะ กูเลือกเส้นทางชีวิตผิดพลาดจริง ๆ เมื่อ 20 กว่าปีก่อน อีโง่ อีควาย ขอด่าตัวเอง

 

12. ฉากชาวบ้านในแฟลตซุบซิบนินทา ทำให้เรานึกถึงฉากนินทาใน ALI: FEAR EATS THE SOUL (1974, Rainer Werner Fassbinder, West Germany) ด้วย

 

13. ฉากคอร์ทแบดมินตันในตอนท้ายของหนังนี่ รู้สึกว่ามันเหมาะกับเนื้อเพลง THIS USED TO BE MY PLAYGROUND ของ Madonna มาก ๆ

 

This used to be my playground
This used to be my childhood dream
This used to be the place I ran to
Whenever I was in need of a friend
Why did it have to end?
And why do they always say?

Don't look back
Keep your head held high
Don't ask them why because life is short
And before you know you're feeling old
And your heart is breaking
Don't hold on to the past
Well that's too much to ask

This used to be my playground (ah used to be)
This used to be my childhood dream
This used to be the place I ran to
Whenever I was in need of a friend
Why did it have to end?
And why do they always say?, no regrets

But I wish that you were here with me
Well then there's hope yet
I can see your face in our secret place
You're not just a memory
Say goodbye to yesterday
Those are words I'll never say (I'll never say)

This used to be my playground (used to be)
This used to be our pride and joy
This used to be the place we ran to
That no one in the world could dare destroy

This used to be our playground (used to be)
This used to be our childhood dream
This used to be the place we ran to
I wish you were standing here with me

This used to be our playground (used to be)
This used to be our childhood dream
This used to be the place we ran to
The best things in life are always free

Wishing you were here with me

Monday, February 10, 2025

BACK TO THE FUTURE VS. LONELY HEART

 

ลูกหมีกับสูจิบัตรเทศกาลหนังทดลองทั้ง 7 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1997-2025

 

ถ้าเข้าใจไม่ผิด มีผู้กำกับภาพยนตร์อย่างน้อย 5 คนที่มีหนังฉายทั้งในเทศกาลหนังทดลองครั้งที่ 1 และครั้งที่ 7 ซึ่งผู้กำกับภาพยนตร์ 5 คนนี้ก็คือ

 

1. Apichatpong Weerasethakul ซึ่งมีหนังเรื่อง 001 6643 225 059 (1994) ฉายในเทศกาลหนังทดลองครั้งที่ 1 และมีหนังเรื่อง FICTION (2018) กับ A CONVERSATION WITH THE SUN (VR) ฉายใน BEFF ครั้งที่ 7

 

2.Daniel Eisenberg ซึ่งมีหนังเรื่อง DISPLACED PERSON ฉายในเทศกาลหนังทดลองครั้งที่ 1 และมีหนังเรื่อง PERSISTENCE (1997) และ THE UNSTABLE OBJECT II (2022) ฉายใน BEFF ครั้งที่ 7

 

3. David Gatten ซึ่งมีหนังเรื่อง HOLLYWOOD PROCESS (1996) ฉายในเทศกาลหนังทดลองครั้งที่ 1 แต่เราไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ และมีหนังเรื่อง WHAT THE WATER SAID NOS 1-3 (1998) ฉายใน BEFF ครั้งที่ 7

 

4. Sasithorn Ariyavicha ซึ่งมีหนังเรื่อง TRANSFIGURED NIGHT (1993) และ DRIFTER (1993) ฉายในเทศกาลหนังทดลองครั้งที่ 1 และมีโปรแกรม RETROSPECTIVE ฉายใน BEFF ครั้งที่ 7

Edit เพิ่ม: 5. Takashi Ito ซึ่งมีหนังเรื่อง ZONE (1995) ฉายทั้งในเทศกาลหนังทดลองครั้งที่ 1 และครั้งที่ 7

+++++++++++++

เพิ่มเติมรายชื่อหนังที่มีอะไรใกล้เคียงกัน แล้วออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกันโดยบังเอิญ

 

79. BACK TO THE FUTURE (1985, Robert Zemeckis)

+ LONELY HEART (1985, Nobuhiko Obayashi, Japan)

 

หนังทั้งสองเรื่องพูดถึงการเดินทางข้ามกาลเวลา และส่งผลให้ “แม่” กับ “ลูกชาย” ของตัวเอง เกือบจะมีความสัมพันธ์ incest กัน โดยใน BACK TO THE FUTURE นั้น ลูกชายวัยหนุ่มเดินทางย้อนกลับไปในอดีต แล้วได้เจอกับแม่ของตัวเองในวัยสาว ส่วนใน LONELY HEART นั้น แม่ในวัยสาวหลุดเข้ามาในโลกอนาคต และได้เจอกับลูกชายของตัวเองในวัยหนุ่ม

 

เราชอบ LONELY HEART มากกว่า BACK TO THE FUTURE นะ

 

80. WEREWOLVES (2024, Steven C. Miller)

+ WOLF MAN (2025, Leigh Whannell)

 

หนังเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่า ที่พระเอกกลายร่างเป็นหมาป่าเหมือนกัน และนางเอกต้องพยายามปกป้องลูกของตัวเองอย่างสุดชีวิต โดยใช้ปืนเป็นอาวุธสำคัญ

 

เราชอบ WOLF MAN มากกว่า WEREWOLVES นะ

https://web.facebook.com/photo?fbid=10224847974130010&set=a.10221574828503415

+++++++

เคยดู 1 2 3 ด่วนมหาภัย (1977, Narong Poomin) ตอนเด็ก ๆ รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันสนุกมาก ๆ จำได้ว่ามีช่วงนึงของหนังที่คนบนรถทัวร์ต้องเลือกระหว่างเส้นทางสองเส้น เส้นนึงจะเจอ "น้ำป่า" ส่วนอีกเส้นนึงจะเจอ "ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์" ถ้าหากเราจำไม่ผิดนะ

https://www.youtube.com/watch?v=CPdqJk4AWWM

 

Sunday, February 09, 2025

HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan, 113min, A+30)

 

หนึ่งในหนังที่นึกถึงโดยไม่ได้ตั้งใจระหว่างที่ดู FLAT GIRLS (2025, Jirassaya Wongsutin, A+30) ก็คือ THE BLOSSOMING OF MAXIMO OLIVEROS (2005, Auraeus Solito, Philippines, A+30) เพราะว่าเป็นหนัง queer วัยรุ่น ที่มี “ตำรวจหนุ่มหล่อ” เป็น object of desire เหมือนกัน โดยใน THE BLOSSOMING นั้น ตัวละครตำรวจหนุ่มหล่อเป็น “เป้าหมาย” ของตัวละครกะเทยวัยรุ่นในเรื่องอย่างชัดเจน ส่วนใน FLAT GIRLS นั้น ตัวละครตำรวจหนุ่มหล่อเป็น object of desire ของดิฉันค่ะ 55555 เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยขำมากที่ตัวละครใน FLAT GIRLS ชอบปีนเข้าห้องตำรวจหนุ่มหล่อโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือแอบสะเดาะกลอนประตูห้องตำรวจหนุ่มหล่อโดยไม่ได้รับอนุญาต คือ “จุดประสงค์” ของตัวละครใน FLAT GIRLS แตกต่างจากดิฉัน แต่สิ่งที่ตัวละครทำก็คือสิ่งที่ดิฉันอยากทำ ด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างออกไป 55555

 

การที่ตัวละครใน FLAT GIRLS ชอบบุกรุกห้องของตำรวจหนุ่มหล่อโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ทำให้เรานึกถึง CHUNGKING EXPRESS (1994, Wong Kar-wai, Hong Kong, A+30) โดยไม่ได้ตั้งใจด้วย แต่ยังดีที่พฤติกรรมของตัวละครนางเอกทั้งสองของ FLAT GIRLS ไม่ได้มีความ creepy มากเท่ากับตัวละครของ Faye Wong ใน CHUNGKING EXPRESS

 

อีกจุดนึงที่ FLAT GIRLS ทำให้นึกถึง CHUNGKING EXPRESS โดยไม่ได้ตั้งใจก็คือว่า ตัวละครของ Faye Wong ทิ้งตำรวจหนุ่มหล่อเพื่อไปเป็น “แอร์โฮสเตส” และเดินทางไปยัง “รัฐแคลิฟอร์เนีย”

+++++

 

รายงานผลประกอบการประจำวันเสาร์ที่ 8 ก.พ. 2025

 

1. GOOD MORNING (1959, Yasujiro Ozu, Japan, A+30)

 

ดูที่ HOUSE รอบ 14.30 น.

 

2. HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan, 113min, A+30)

 

ดูที่ HOUSE รอบ 16.15 น.

 

3. LET’S GO KARAOKE! (2023, Nobuhiro Yamashita, Japan, A+30)

 

ดูที่ HOUSE รอบ 19.00 น.

 

สรุปว่าวันนี้ก็ชอบหนังในระดับ A+30 ทั้งสามเรื่องเลย โดยชอบ HAPPYEND มากเป็นอันดับหนึ่ง, LET’S GO KARAOKE! มากเป็นอันดับสอง และ GOOD MORNING มากเป็นอันดับสาม

 

ก็เลยรู้สึกว่าคนเลือกหนัง JAPANESE FILM FESTIVAL ปีนี้เก่งมาก ๆ สามารถเลือกหนังที่สามารถทำให้เราชอบหนังของ Ozu เป็นอันดับต่ำสุดของวันได้ 555555 ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างแน่นอนที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้

 

ซึ่งจริง ๆ แล้วเราก็ชอบ GOOD MORNING อย่างรุนแรงมาก เพียงแต่ว่าพอมันมีชื่อของ Ozu แปะไว้ เราก็เลยคาดหวังไว้ก่อนดูหนังอยู่แล้วว่า “หนังมันจะต้องดีมาก” และพอหนังมันออกมาดีมากจริง ๆ มันก็เลยไม่ surprise อะไรเรา 55555 ซึ่งแตกต่างจาก HAPPYEND และ LET’S GO KARAOKE! ที่เราไม่ได้ตั้งความหวังอะไรไว้เลยก่อนเข้าไปดูหนัง

 

LET’S GO KARAOKE! นี่ตอบสนอง fantasy ของเราอย่างรุนแรงมาก ๆ โดยเฉพาะฉากหลัง ending credits ที่มันสามารถกระตุ้นให้ผู้ชมจินตนาการได้อย่างรุนแรงว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น เมื่อตัวละครใกล้จะบรรลุนิติภาวะแล้ว 55555 ซึ่งผู้ชมแต่ละคนก็สามารถจินตนาการต่อได้ตามใจชอบ ว่าอยากให้เกิดอะไรขึ้นต่อจากฉากนั้น

 

ฉากหลัง ENDING CREDITS ของ LET’S GO KARAOKE! นี่จริง ๆ แล้วมันเข้ากับ concept หนึ่งในงาน BANGKOK EXPERIMENTAL FILM FESTIVAL มาก ๆ นั่นก็คือ concept ทำนองที่ว่า “สิ่งที่สำคัญในภาพยนตร์ คือสิ่งที่ไม่ปรากฏบนจอภาพยนตร์ สิ่งที่ภาพยนตร์ละไว้ ไม่พูดถึงมันโดยตรง” 55555

 

ส่วน HAPPYEND นั้น เรายกให้เป็นอันดับหนึ่งของวัน หรืออาจจะอันดับหนึ่งนับตั้งแต่ต้นปีนี้ เพราะดูแล้วร้องห่มร้องไห้หนักมาก นึกว่าเป็น Political version ของละครโทรทัศน์เรื่อง “อดีตฝันวันวาน” (HAKUSEN NAGASHI) (1996)

 

ชอบการใช้ดนตรีประกอบในหนังเรื่องนี้มาก ๆ ด้วย

 

ส่วนอันดับหนึ่งของเราในสาขาหนังสารคดีประจำปีนี้คือ THE UNSTABLE OBJECT II (2022, Daniel Eisenberg, 203min) เพราะฉะนั้นเราก็เลยถือว่า THE UNSTABLE OBJECT II กับ HAPPYEND ครองอันดับหนึ่งร่วมกัน เพราะอยู่คนละสาขากัน 55555

 

HAPPYEND เป็นหนังเรื่องที่สามของ Neo Sora ที่เราได้ดู ต่อจาก THE CHICKEN (2020, A+30) และ RYUICHI SAKAMOTO: OPUS (2023)

 

ส่วน LETS GO KARAOKE! เป็นหนังเรื่องที่สามของ Nobuhiro Yamashita ที่เราได้ดู ต่อจาก NO ONE’S ARK (2003) และ GHOST CAT ANZU (2024, animation)

 

ส่วน GOOD MORNING นั้น เป็นหนังของ Ozu เรื่องที่ 8 ที่เราได้ดู ซึ่งถ้าหากจัดตามลำดับความชอบตอนนี้ อาจจะจัดได้ดังนี้

 

1.EARLY SPRING (1956) 

 

2.TOKYO CHORUS (1931)

 

3. TOKYO STORY (1953)

 

4. GOOD MORNING (1959)

 

อันดับ 5 ถึง 8

 I WAS BORN, BUT... (1932), LATE SPRING (1949), LATE AUTUMN (1960) และ AN AUTUMN AFTERNOON (1962) 

 

4 เรื่องนี้เราชอบน้อยพอ ๆ กัน ตามที่เราเคยเขียนถึงไปแล้ว

 

ฉันรักเขา Yukito Hidaka from HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan, 113min, A+30)

 

HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan, 113min, A+30)

 

SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

--

--

--

--

--

 

1. เรายกให้เป็นอันดับหนึ่งนับตั้งแต่ต้นปีนี้ เพราะดูแล้วร้องห่มร้องไห้หนักมาก นึกว่าเป็น Political version ของละครโทรทัศน์เรื่อง “อดีตฝันวันวาน” (HAKUSEN NAGASHI) (1996)

 

ชอบการใช้ดนตรีประกอบในหนังเรื่องนี้มาก ๆ ด้วย

 

ส่วนอันดับหนึ่งของเราในสาขาหนังสารคดีประจำปีนี้คือ THE UNSTABLE OBJECT II (2022, Daniel Eisenberg, 203min) เพราะฉะนั้นเราก็เลยถือว่า THE UNSTABLE OBJECT II กับ HAPPYEND ครองอันดับหนึ่งร่วมกัน เพราะอยู่คนละสาขากัน 55555

 

HAPPYEND เป็นหนังเรื่องที่สามของ Neo Sora ที่เราได้ดู ต่อจาก THE CHICKEN (2020, A+30) และ RYUICHI SAKAMOTO: OPUS (2023)

 

2.อันนี้เป็นสิ่งที่เราเขียนตอบเพื่อนใน facebook คนนึง ก็เลย copy มาแปะไว้ในนี้ด้วย

 

ผมชอบหนังเรื่อง HAPPYEND อย่างสุดขีด เพราะมันตรงกับ “ปมสำคัญในใจผม” หรือ “ประวัติชีวิตของผม” ครับ ผมมักจะอินกับเรื่องราวของ “ความสุขที่ได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อน ๆ สมัยมัธยม” ครับ และผมรู้สึกว่า HAPPYEND มันนำเสนอจุดนี้ได้ตรงใจผมมาก ๆ ผมก็เลยร้องไห้หนักมากครับ

 

คือตอนนี้ปี 2025 แล้ว แต่ผมยังคงคิดถึง “ความสุขในปี 1989” อยู่ทุก ๆ วัน อยากตื่นนอนขึ้นมาแล้วพบว่า ตอนนี้เป็นปี 1989 อยู่ และช่วงเวลาในปี 1990-2025 เป็นเพียงแค่ฝันไป อยากให้ช่วงเวลา 35 ปีที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ความฝัน ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง

 

คือปี 1989 เป็นปีที่ผมเรียนม.5 เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ผมได้ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน ๆ มัธยม ก่อนที่แต่ละคนจะเริ่มห่างกันไปเมื่อแยกย้ายกันไปเข้ามหาลัย

 

“ความสุขอย่างสุดขีดในปีสุดท้ายของช่วงมัธยม” มันนำมาซึ่ง “ความเศร้า” เมื่อช่วงเวลานั้นจบสิ้นลง เราทำได้เพียงแค่รำลึกถึงความสุขในอดีต และเมื่อรำลึกถึงความสุขในอดีต มันก็นำมาซึ่งความเศร้าที่มันจบสิ้นลงไปแล้วด้วย

 

ผมก็เลยรู้สึกว่า HAPPYEND มันนำเสนอจุดนี้ได้ดีมาก ๆ ทั้งความสุขของการได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อน ๆ ไฮสกูลในปีสุดท้าย ก่อนที่แต่ละคนจะแยกทางกันไป และความสุขแบบนั้นคงไม่มีวันหวนกลับคืนมาได้อีก

 

ผมชอบประเด็นการเมืองในหนังเรื่องนี้มาก ๆ ด้วย แต่ประเด็นการเมืองไม่ใช่จุดสำคัญที่ทำให้ผมร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรงในหนังเรื่องนี้ ผมก็เลยขี้เกียจเขียนถึงมัน 55555

 

3. ตอนดู HAPPYEND เราจะนึกถึง “เนติวิทย์” และ “เพนกวิน” และกลุ่มเพื่อนๆ ของพวกเขา ในช่วงที่พวกเขาเรียนอยู่มัธยมปลายด้วย 55555 และก็นึกถึง “กลุ่มนักเรียนเลว” และหนังเรื่อง ARNOLD IS A MODEL STUDENT (2022, Sorayos Prapapan) ด้วย เพราะ HAPPYEND มีการพูดถึง “การเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักเรียนมัธยม” เหมือนกัน

 

4. ชอบ “ความเปลี่ยนแปลงทาง political consciousness” ของตัวละครแต่ละตัวมาก ๆ และชอบ “ทางเลือก” ของตัวละครแต่ละตัวในสถานการณ์ต่าง ๆ มาก ๆ

 

5.ชอบที่ตัวละครมันมีหลายเฉดทางการเมืองมาก ๆ ทั้งในระดับ นักเรียนและครู คือในบรรดาครู เราก็ได้เห็นทั้งครูที่หัวก้าวหน้า, ครูที่เป็นเผด็จการ และครูที่คอยรับใช้เผด็จการ

 

และในบรรดานักเรียนนั้น เราก็ได้เห็นทั้ง

 

5.1 นักเรียนที่สนับสนุน safety มากกว่าสิทธิมนุษยชน

 

5.2 นักเรียนที่ radical ทางการเมืองอย่างรุนแรงในการลุกขึ้นเรียกร้องสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้สิ่งนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองโดยตรง

 

5.3 นักเรียนที่ลุกขึ้นเรียกร้องทางการเมือง เพราะสิ่งนั้นลิดรอนสิทธิเสรีภาพของตัวเองโดยตรง

 

5.4 นักเรียนที่ลุกขึ้นเรียกร้องทางการเมือง โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะชอบสาว activist

 

5.5 นักเรียนที่ลุกขึ้นเรียกร้องทางการเมือง แต่ไม่พร้อมที่จะ “แลกด้วยชีวิต” เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

 

5.6 นักเรียนที่ทำตัวขบถต่อกฎระเบียบต่าง ๆ แต่ไม่ได้มี political consciousness

 

5.7 นักเรียนที่เห็นถึงความเลวร้ายของปัญหาทางการเมือง แต่ยังไม่กล้าลุกขึ้นทำอะไร

 

5.8 นักเรียนที่ลุกขึ้นกล้าทำอะไร แต่อาจจะทำเพราะ “ความรัก” เป็นปัจจัยหลัก

 

6.เราชอบการที่ตัวละครนักเรียนหลายกลุ่มข้างต้น ปะทะกัน ขัดแย้งกันไปมามาก ๆ โดยเฉพาะฉาก

 

6.1 ฉากที่ Ata-chan พยายามทำความสะอาดห้อง แต่ Kou พยายามขัดขวางการทำความสะอาด

 

6.2 ฉากที่นักเรียนคนหนึ่งยอมล้มเลิกการประท้วง เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกไล่ออก

 

6.3 ฉากนักเรียนด่าทอกันเองอย่างรุนแรงในช่วงท้าย

 

7. เรารู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในการสร้างตัวละครที่ดูเป็นมนุษย์จริง ๆ ด้วย และสะท้อนปัญหาทางการเมืองได้ด้วยในเวลาเดียวกัน ตัวละครในหนังไม่ได้เป็นเพียงแค่ “สัญลักษณ์ทางการเมือง” เท่านั้น แต่มีเลือดเนื้อจิตวิญญาณจริง ๆ ด้วยในความเห็นของเรา

 

8. เราไม่รู้ว่า Yuta แอบหลงรัก Kou อยู่หรือเปล่า แต่เราจิ้นไปแล้วว่า Yuta แอบหลงรัก Kou อยู่ 555555

 

เราชอบพัฒนาการของตัวละคร Yuta มาก ๆ จากเริ่มต้นที่เขาเป็น “เด็กเกเร” แต่ยังไม่มี political consciousness ใด ๆ

 

ต่อมาเขาก็เริ่มเห็นว่า Kou มี “การตื่นรู้ทางการเมือง”

 

แล้วตัวละคร Yuta ก็เริ่มกล้าท้าทายผู้มีอำนาจมากขึ้น ถึงแม้เขายังไม่ได้เข้าร่วมในการเคลื่อนไหวทางการเมือง

 

ต่อมาเขาก็เห็นว่าตำรวจญี่ปุ่น discriminate คนเชื้อสายเกาหลี อย่างใดบ้าง

 

และเขาก็ทำในสิ่งที่กล้าหาญมาก ๆ ในช่วงท้ายของหนัง โดยที่เราไม่แน่ใจว่า เขาทำไปเพราะ “จิตสำนึกทางการเมือง” หรือเพราะ “เขาแอบหลงรัก Kou” หรือเพราะทั้งสองอย่าง 55555

 

การที่เขาทำในสิ่งที่กล้าหาญมาก ๆ นั้น ทำให้ชีวิตของเขาลำบากมากอย่างรุนแรง และเขาก็ไม่ได้รับรักจาก Kou เป็นการตอบแทนด้วย ทั้งสองแยกทางกันไปในตอนจบ แต่อย่างน้อยเราก็หวังว่า Yuta คงได้มีความสุขเล็กน้อยกับการทำงานในร้านดนตรีแห่งนั้น

 

9. พัฒนาการของตัวละคร Yuta ใน HAPPYEND ก็เลยทำให้เรานึกถึงตัวละครกะเทย (William Hurt) ใน KISS OF THE SPIDER WOMAN (1985, Hector Babenco, Brazil/USA) มาก ๆ ด้วย เพราะตัวละครกะเทยใน KISS OF THE SPIDER WOMAN ก็มี “พัฒนาการของจิตสำนึกทางการเมือง” เหมือนกัน

 

คือพอเราจิ้นว่า Yuta แอบหลงรัก Kou อยู่ เราก็เลยรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Yuta กับ Kou ทำให้เรานึกถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Molina (William Hurt) กับ Valentin (Raul Julia) น่ะ คือเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง “ชายหนุ่มผุ้มีความมุ่งมั่นทางการเมือง มีจิตสำนึกอันแรงกล้าในทางการเมือง” และชายหนุ่มคนนั้นก็เลยพลอยทำให้เกย์/กะเทย ที่หลงรักเขา กลายเป็นคนที่มีจิตสำนึกทางการเมืองตามไปด้วย 55555

 

10. อีกจุดที่ชอบมาก ๆ ใน HAPPYEND คือเราชอบหนังหลาย ๆ เรื่องที่แสดงให้เห็นว่า “อะไรที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มันสามารถทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่คาดคิด จนกลายเป็นอะไรที่ชิบหายอย่างสุดขีด” ได้

 

ซึ่งหนังที่เราชอบที่สุดในกลุ่มนี้ ก็คือ L’ARGENT (1983, Robert Bresson) ที่เริ่มต้นเรื่องด้วย “วัยรุ่น” ไม่กี่คนที่มองว่า การใช้แบงค์ปลอมไปจับจ่ายซื้อของ คงไม่ใช่ “อะไรที่เลวร้ายมากนัก” แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า “การทำผิด ทำชั่วเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ” นี่แหละ มันส่งผลกระทบต่อเนื่อง จนส่งผลให้เกิด “ฆาตกรโรคจิต” ที่ฆ่าคนบริสุทธิ์จำนวนมากในเวลาต่อมา

 

หรือหนังที่สร้างจากเรื่องจริงอย่างเช่น ROSEWOOD (1997, John Singleton) ที่ “คำโกหกของผู้หญิงผิวขาวเพียงคนเดียว” ส่งผลให้เกิดการสังหารหมู่คนผิวดำผู้บริสุทธิ์จำนวนมากในเวลาต่อมา

 

ซึ่ง HAPPYEND ก็ทำให้เรานึกถึงอะไรแบบนี้เหมือนกัน เพราะมันเริ่มต้นเรื่องด้วย การทำอะไรห่าม ๆ ของนักเรียนไม่กี่คน ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่ความผิดร้ายแรงอะไร แต่สังคมที่บิดเบี้ยวและปัจจัยอะไรต่าง ๆ ก็อาจจะส่งผลให้อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ขยายผลต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก และก่อให้เกิดความชิบหายทับทวีขึ้นไปเรื่อย ๆ ได้อย่างไม่คาดคิด