ROB REINER AND FILM DIRECTORS IN THE AGE OF MY NAIVETE
ร็อบ ไรเนอร์ และผู้กำกับภาพยนตร์คนอื่น ๆ ในยุคที่เรายังคงมองโลกแบบใส ๆ
RIP ROB REINER
หนังของเขาที่เราเคยดู เรียงตามลำดับความชอบ
1. A FEW GOOD MEN (1992)
ดูในโรงหนัง จำได้ว่า James Marshall หล่อสุดขีดในหนังเรื่องนี้
2. STAND BY ME (1986)
ดูทางวิดีโอ
3. WHEN HARRY MET SALLY (1989)
ดูที่โรงหนังในห้าง Siam Center
4. THE AMERICAN PRESIDENT (1995)
ดูในโรงหนัง
5. MISERY (1990)
ดูในโปรแกรม Big Cinema ของช่อง
7
6.THE PRINCESS BRIDE (1987)
ดูทางวิดีโอ จำได้ว่า Cary Elwes หล่อสุดขีดในหนังเรื่องนี้
และเราก็อาจจะได้ดูหนังเรื่องอื่น ๆ
ที่เขากำกับอีกด้วยนะ แต่เราจำไม่ได้แน่นอน ก็เลยไม่ได้ลงในลิสท์นี้ด้วย
สำหรับเราแล้ว เขาเหมือนเป็นตัวแทนของ “ช่วงวัยแห่งความ
innocence และความ naive ของเรา”
เพราะเราได้ดูหนังของเขาในช่วงที่เรายังเป็นวัยรุ่น ในช่วงราวปี 1985-1995
หรือช่วงที่เรามีอายุราว ๆ 12-22 ปี ช่วงที่เราเรียนมัธยมและมหาลัย ช่วงที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต
และเป็นช่วงที่เราไร้เดียงสามาก ๆ ในทางการเมือง ทั้งการเมืองในประเทศและการเมืองต่างประเทศ
จำได้ว่า เราชอบ THE AMERICAN PRESIDENT มาก ๆ ตอนที่เราได้ดู มันเป็นยุคของ Bill Clinton และเป็นยุคที่เรายังคงมองสหรัฐอเมริกาในทางบวกอย่างมาก
(เราเติบโตมาในยุคสงครามเย็น เติบโตมากับการถูกปลูกฝังให้หวาดกลัวสหภาพโซเวียตและเวียดนามอย่างรุนแรง)
คือเหมือนตอนที่เราได้ดู THE AMERICAN PRESIDENT ในปี 1995
เราอาจจะชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ 95/100 แต่ถ้าหากเราได้ดูหนังเรื่องนี้ในปัจจุบันนี้
เราอาจจะชอบหนังเรื่องนี้แค่ในระดับ 65-75/100 ก็ได้ มันเหมือนกับว่าหนังของเขาหลายเรื่องที่เราได้ดูในยุคนั้นมันนำเสนอภาพของสหรัฐและโลกในแบบที่
“ใสสะอาด” มาก ๆ มันเหมือนกับมี “ความเชื่อเรื่องความดีงาม” อยู่ในหนังของเขา และตอนนั้นในปี
1995 เราก็ยังไม่ได้เป็น cinephile เราเคยดูแต่หนังใส ๆ ของฮอลลีวู้ดแบบ
DAVE (1993, Ivan Reitman) และตอนนั้นเราก็ยังไม่เคยดูหนังของ
Ken Loach แบบ CARLA’S SONG (1996) มาก่อน
(ซึ่งเป็นหนังที่เปลี่ยนทัศนคติที่เรามีต่อสหรัฐอเมริกาอย่างรุนแรง)
เราก็เลยรู้สึกว่า การที่เราเคยชอบหนังแบบ THE AMERICAN PRESIDENT มาก ๆ ในยุคนั้น เป็นเพราะว่ามันเป็นหนัง naive ที่เราได้ดูในช่วงที่เรา
naive พอดี 55555
เราชอบ A FEW GOOD MEN
มากที่สุดในบรรดาหนังของเขาที่เราได้ดู เพราะมันเป็นหนังด่าระบอบทหาร
และเป็นหนังขึ้นโรงขึ้นศาลที่สนุกสุดขีด ส่วน STAND BY ME นั้นก็ซึ้งดี
WHEN HARRY MET SALLY นั้นก็เป็นหนังที่สนุกดี
แต่เราไม่ค่อยอินกับหนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่ คือเหมือนเป็นหนังที่เราชอบ “เพราะความสนุก”
แต่เราไม่ได้รู้สึกโรแมนติกไปกับมัน เพราะโดยปกติเราไม่อินกับหนังโรแมนติกอยู่แล้ว
55555 เหมือนเราไม่อินกับตัวละครของ Meg Ryan ในเรื่องนี้
และ Billy Crystal ก็ไม่ใช่ผู้ชายในฝันของเรา
หนังโรแมนติกในดวงใจของเราในยุคนั้นจนถึงปัจจุบันนี้ ก็เลยเป็น ALWAYS
(1989, Steven Spielberg) เพราะเราอินกับ Holly Hunter อย่างรุนแรง
พอพูดถึงยุคแห่งความ naive ของเรา เราก็เลยคิดว่า เราควรทำรายชื่อผู้กำกับหนังในยุคนั้นดีกว่า
FILM DIRECTORS IN THE AGE OF MY NAIVETE
ผู้กำกับภาพยนตร์ในยุคที่เรายังคงมองโลกแบบใส ๆ
1. Rob Reiner
2. Steven Spielberg
3. Barry Levinson (THE NATURAL, RAIN MAN, GOOD MORNING
VIETNAM, TOYS, DISCLOSURE, BUGSY)
4. Garry Marshall (PRETTY WOMAN, OVERBOARD, FRANKIE &
JOHNNY, BEACHES, EXIT TO EDEN, VALENTINE’S DAY)
5. Penny Marshall (AWAKENINGS, A LEAGUE OF THEIR OWN, BIG,
RIDING IN CARS WITH BOYS)
6. Ivan Reitman (GHOSTBUSTERS, KINDERGARTEN COP, JUNIOR,
DAVE, LEGAL EAGLES)
7. Chris Columbus (HOME ALONE, HOME ALONE 2, MRS. DOUBTFIRE,
ADVENTURES IN BABYSITTING, ONLY THE LONELY)
คือเหมือนหนังของผู้กำกับเหล่านี้ที่เราได้ดูในช่วงก่อนปี
1995 (หรือก่อนที่เราจะเริ่มเป็น cinephile) มันเป็นหนังที่ให้ความสุขความบันเทิงแก่เรา,
ทำให้เรามองโลกในแง่ดี, ทำให้เราเชื่อว่ามีอนาคตที่สดใสรอเราอยู่ข้างหน้า อะไรแบบนั้นน่ะ
คือพอเรานึกถึงหนังของผู้กำกับเหล่านี้ เราก็เลยมักจะนึกถึงช่วงเวลาตอนที่เรายังเป็นเด็ก,
ยังเป็นวัยรุ่น, ยังเป็นนักเรียนนักศึกษา ช่วงที่เรายังคงเชื่อมั่นอย่างผิด ๆ ว่า “ชีวิตของเราจะประสบความสำเร็จในอนาคต”
ช่วงที่เรายังไม่รู้หรือสำเหนียกว่า “ชีวิตมนุษย์มันโหดร้ายและเลวร้ายเกินพรรณนาอย่างมาก
ๆ ชีวิตมนุษย์มันเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างมาก ๆ”
แต่ในตอนเด็กเราก็ได้ดูหนังสยองขวัญของสหรัฐ
และดูหนังของ Brian De Palma, Costa-Gavras, Oliver Stone, Martin
Scorsese, John Waters, Norman Jewison, Mike Nichols, Jonathan Demme, etc. นะ แต่เราไม่ถือว่าหนังของผู้กำกับเหล่านี้ช่วยส่งเสริมความ innocence
และความ naive ของเราในวัยเด็ก 55555
++++
หนักที่สุด รัฐบาลอินเดียสั่งแบนหนัง 19
เรื่องในเทศกาลภาพยนตร์เคราลา หนังที่ถูกสั่งแบนรวมถึง
1. BATTLESHIP POTEMKIN (1925, Sergei Eisenstein, Soviet
Union, A+30)
2. SANTOSH (2024, Sandhya Suri, A+30)
3. TIMBUKTU (2014, Abderrahmane Sissako, Mauritania, A+30)
4. BAMAKO (2006, Abderrahmane Sissako, Mali, A+30)
5. YES (2025, Nadav Lapid, A+30)
6. THE HOUR OF THE FURNACES (1968, Fernando Solanas, Octavio
Getino, Argentina, 4hrs 20mins)
7. PALESTINE 36 (2025, Annemarie Jacir, Palestine)
8. ONCE UPON A TIME IN GAZA (2025, Arab Nasser, Tarzan
Nasser, Palestine)
9. ALL THAT’S LEFT OF YOU (2025, Cherien Dabis, Jordan)
10. WAJIB (2017, Annemarie Jacir, Palestine)
11. CLASH (2016, Mohamed Dieb, Egypt)
12. EAGLES OF THE REPUBLIC (2025, Tarik Saleh, Sweden)
13. RED RAIN (2025, Dang Thai Huyen, Vietnam)
14. RIVERSTONE (2025, Lalith Rathnayake, Sri Lanka)
15. TUNNELS: SUN IN THE DARK (2025, Bui Thac Chuyen,
Vietnam)
16. FLAMES (2025, Ravi Shankar Kaushik, India)
ในบรรดาหนัง 16 เรื่องนี้เราเคยดูไปแค่ 5 เรื่อง
มีอีก 11 เรื่องที่เรายังไม่ได้ดู ซึ่งทั้ง 11 เรื่องนี้ก็เลยถูกจัดให้เข้ามาอยู่ใน
film wish list ของเราในทันที เพราะอย่างที่ใครบางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า
“การที่หนังเรื่องใดก็ตามถูกรัฐบาลสั่งแบน มันเท่ากับว่าหนังเรื่องนั้น “ได้รับตรารับประกันคุณภาพ”
ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย”
+++
QUINTUPLET FILM WISH LIST
1. KEEPER (2025, Osgood Perkins, A+30)
2. NIRANAM (2014, Araya Rasdjarmrearnsook, video installation,
60min, A+30)
3. SOUND OF FALLING (2025, Mascha Schilinsky, Germany, A+30)
4. A PALE VIEW OF HILLS (2025, Kei Ishikawa, Japan, A+30)
5. WITCHES CAN’T BE BURNED เจ้าดอกกระดังงา
(2025, Naphat Thanarotchudet, A+30)
พอเราได้ดู KEEPER แล้วก็เลยรู้สึกว่า
มันเหมาะฉายควบกับวิดีโอของอารยา ราษฎร์จำเริญสุข และหนังอีก 3
เรื่องในลิสท์นี้มาก ๆ
SPOILERS ALERT FOR “KEEPER”
--
--
--
--
--
--
--
--
--
--
1. สิ่งหนึ่งที่หนังเรื่อง KEEPER อาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำให้เรานึกถึงโดยบังเอิญก็คือว่า
หนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่า สิ่งที่ตัวละครผู้ร้ายทำ ซึ่งก็คือ “การนำผู้หญิงมาสังเวยให้ปีศาจเป็นระยะ
ๆ เพื่อที่ตัวผู้ชายจะได้ยืดอายุตัวเองออกไป” ในแง่หนึ่งมันคล้าย ๆ กับความเชื่อเรื่องการ
“พยายามสืบสกุลต่อไป โดยที่ลูกผู้ชายในตระกูลต้องหาลูกสะใภ้เข้ามา จะได้มีทายาทสืบต่อ
และนามสกุลนี้จะได้ดำรงอยู่ต่อไป”
คือเรารู้สึกว่า ตัวละครผู้ร้ายในหนังเรื่องนี้
มันพูดย้ำ “นามสกุล” ของตัวเองจนบ่อยผิดสังเกตน่ะ เราก็เลยนึกถึงประเด็นนี้
โดยที่หนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้ คือในความเป็นจริงนั้น คงไม่มีคนที่ยืดอายุตัวเองออกไปเรื่อย
ๆ เป็น 200-300 ปีได้ แต่ในความเป็นจริงนั้น มันมีคนหลายคนบนโลกนี้ ที่เชื่อว่า “นามสกุลของตัวเองควรดำรงอยู่ต่อไป
เพราะฉะนั้นเราจะต้องแต่งงานกับผู้หญิง เพื่อจะได้มีลูกชาย
และนามสกุลของตัวเองจะได้ดำรงอยู่ต่อไป” เพราะฉะนั้นการที่ตัวละครผู้ร้ายใน KEEPER
พยายามหาผู้หญิงมาสังเวยเป็นระยะ ๆ เพื่อจะได้ยืดอายุของตัวเองต่อ
ก็เลยเหมือนทำให้เรานึกถึงความเชื่อของคนบางกลุ่มในสังคมโดยที่หนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจ
ปัจจัยอื่น ๆ ใน KEEPER
ที่เราว่าน่าสนใจดีก็คือ เรารู้สึกว่าหนังมันพูดถึงเรื่อง Patriarchy, Property Law, การที่เพศหญิงผูกพันกับ Mother
Earth + Nature + Memory และการที่ “เหยื่อยอมทำตามความต้องการของผู้กดขี่
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วตนเองสามารถพลิกกระดาน ลุกขึ้นมาเป็นฝ่ายฆ่าผู้กดขี่ได้”
(สิ่งนี้ถูกถ่ายทอดผ่านทางเรื่องเล่าเรื่อง “ปลาที่ให้พรได้”, ตอนจบของหนัง
และทำให้เรานึกถึงการที่มนุษย์เราแต่ละคนสามารถเลือกที่จะปฏิเสธขนบธรรมเนียมประเพณีที่เราไม่เห็นด้วยได้)
2. พอเรามองหนังเรื่อง KEEPER ตามแบบข้างต้น โดยที่ผู้สร้างหนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจ
เราก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันพูดถึง Patriarchy, พลังอำนาจของผู้หญิง
และตัวละครนางเอกของหนังก็เหมือน “สามารถรับรู้ได้ถึงความทุกข์ทรมานของผู้หญิงรุ่นก่อน
ๆ หน้าเธอ” (ลูกสะใภ้รุ่นก่อน ๆ?)
การที่ KEEPER เหมือนสะท้อนความทุกข์ของผู้หญิงหลายรุ่นในช่วง
200 ปีที่ผ่านมา ที่เผชิญความทุกข์ยาก “ในบ้านหลังเดียวกัน”
มันก็เลยทำให้เรานึกถึง SOUND OF FALLING โดยไม่ได้ตั้งใจด้วย
เพราะ SOUND OF FALLING นี่เล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า
มันพูดถึงชีวิตของผู้หญิงหลายรุ่นในบ้านหลังเดียวกัน ตั้งแต่รุ่นของ Alma +
Trudi ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ทรูดี้ถูกบังคับให้มีเซ็กส์กับคนงานชายจำนวนมาก,
รุ่นของ Erika ที่พยายามหนีกองทัพโซเวียตที่ข่มขืนผู้หญิงเยอรมันจำนวนมากในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
(ดูรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นนี้ได้ในหนังสารคดีเรื่อง LIBERATORS TAKE
LIBERTIES (1992, Helke Sander, Germany, 3hrs 12min, A+30)), รุ่นของแองเจลิกาในเยอรมันตะวันออก
และรุ่นของ Lenka + Kaya + Nelly ในยุคปัจจุบัน
ก็เลยรู้สึกว่า มันน่าสนใจดีที่ SOUND OF
FALLING กับ KEEPER พูดถึง “ความทุกข์ของผู้หญิงหลายรุ่นในบ้านหลังเดียวกัน
ท่ามกลางระบอบปิตาธิปไตยที่ดำรงอยู่มานานหลายปี” เหมือนกัน และเป็นหนังที่ “หลอนมาก
ๆ” ทั้งสองเรื่อง โดยที่ SOUND OF FALLING อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังในกลุ่ม
“haunting poetic หรือ haunting arthouse film” ส่วน KEEPER อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังในกลุ่ม “poetic
horror” หรือ “ambient horror”
คือเหมือนถ้าหากเราลากเส้นที่ปลายสุดข้างหนึ่งเป็นหนัง
arthouse/poetic film แบบวิดีโอของ Araya Rasdjarmrearnsook
และปลายสุดอีกข้างหนึ่งเป็นหนัง horror มันก็อาจจะมีหนังอยู่
2-3 กลุ่มที่อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 ขั้วนี้
หนังกลุ่ม haunting poetic films ก็อาจจะเป็นหนังกลุ่ม arthouse ที่มีความ “หลอน” แบบหนัง
horror ผสมอยู่ด้วย ตัวอย่างหนังในกลุ่มนี้ก็มีเช่น SOUND
OF FALLING, MAE NAK (1992, Pimpaka Towira), SECRET OF A MOUNTAIN SERPENT (2025,
Nidhi Saxena, India), GOD WILL NOT HELP (2025, Hana Jusic, Croatia, 137min), THE
NIGHT WILL PAY (2003, Nestor Mazzini, Argentina), LIKE THE RELENTLESS FURY OF
THE POUNDING WAVES (1996, Apichatpong Weerasethakul), หนังของ Maya
Deren, หนังของ David Lynch, หนังของ Taiki
Sakpisit, หนังของ Jakrawal Nilthamrong, etc.
และถ้าขยับออกมาอีกหน่อย เราก็จะเจอหนังกลุ่ม horror
ที่ไม่พยายามทำตามขนบหนัง horror ทั่วไป แต่ใส่ความ
poetic หรือเน้นบรรยากาศ
หรือเน้นการกระตุ้นความคิดมากเป็นพิเศษ เราก็เลยเรียกหนังกลุ่มนี้เล่น ๆ ว่า
หนังกลุ่ม POETIC HORROR หรือ AMBIENT HORROR หนังในกลุ่มนี้ก็อาจจะรวมถึง KEEPER, FEBRUARY (2015, Osgood
Perkins), WENT UP THE HILL (2024, Samuel Van Grinsven, Australia/New Zealand), SHE
DIES TOMORROW (2020, Amy Seimetz), THE VANISHING (1988, George Sluizer,
Netherlands), THE WITCH (2015, Robert Eggers), FREVEL (1983, Peter Fleischmann,
West Germany), HOTEL (2004, Jessica Hausner, Austria), etc.
ส่วนปลายสุดอีกข้าง ก็คือหนัง horror ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี อย่างเช่น DEADLY BLESSING (1981, Wes
Craven)
3. KEEPER + SOUND OF FALLING ทำให้เรานึกถึง NIRANAM (2014, Araya
Rasdjarmrearnsook) โดยไม่ได้ตั้งใจด้วย เพราะ NIRANAM พูดถึงชีวิตของอารยาและชีวิตของคุณแม่ของอารยาในบ้านหลังเดียวกัน โดย NIRANAM
อาจจะไม่ได้พูดถึงระบอบปิตาธิปไตย แต่การที่ NIRANAM เน้นพูดถึง “ชีวิตของผู้หญิงหลายรุ่นในบ้านหลังเดียวกัน”
มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า มันเหมาะจะฉายควบกับ KEEPER และ SOUND
OF FALLING อย่างมาก ๆ
4. น่าสนใจดีที่ปีนี้เราได้ดูหนังหลายเรื่องที่พูดถึง
“ความทุกข์ของผู้หญิงหลายรุ่น” หรือ “ความทุกข์ของผู้หญิงรุ่นแม่และรุ่นลูก” โดยหนังที่พูดถึงประเด็นนี้
นอกจาก SOUND OF FALLING และ NIRANAM แล้ว
ก็มีเรื่อง A PALE VIEW OF HILLS และ WITCHES CAN’T
BE BURNED เจ้าดอกกระดังงา ด้วย
เพราะหนังญี่ปุ่นและหนังไทยเรื่องนี้ พูดถึง “ความทุกข์ในยุคของแม่/ยาย
และความทุกข์ในยุคของลูกสาว” เหมือน ๆ กันเลย เพียงแต่ว่า SOUND OF FALLING
+ NIRANAM นั้น พูดถึง “ชีวิตของผู้หญิงหลายรุ่นในบ้านหลังเดียวกัน”
ส่วน A PALE VIEW OF HILLS + WITCHES CAN’T BE BURNED นั้น
พูดถึง “ความทุกข์ของผู้หญิงหลายรุ่น ในครอบครัวเดียวกัน แต่ผู้หญิงในแต่ละรุ่น
อาศัยกันอยู่คนละเมือง หรือคนละประเทศ”
โดยในส่วนของ WITCHES CAN’T BE BURNED นั้น จัดให้อยู่ในหนังกลุ่ม HAUNTING POETIC ได้เลย
เพราะเหมือนมันเป็นหนัง arthouse ที่เน้นความหลอกหลอนมากเป็นพิเศษ
ส่วน A PALE VIEW OF HILLS นั้น ถือเป็นหนัง narrative, drama ที่มีบรรยากาศความหลอนเจือปนอยู่เล็กน้อย
5. เราก็เลยรู้สึกว่า หนัง 5 เรื่องนี้เหมาะฉายควบกันมาก
ๆ มันเป็นหนัง 5 เรื่องที่เราได้ดูในเวลาไล่เลี่ยกันในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
พูดถึงชีวิตของผู้หญิงหลายรุ่นเหมือนกัน โดยเน้นไปที่ความทุกข์ของผู้หญิงในแต่ละรุ่น
และหนังแต่ละเรื่องก็มีระดับความหลอนแตกต่างกันไป โดย KEEPER หลอนมากสุด, WITCHES CAN’T BE BURNED หลอนเป็นอันดับสอง,
SOUND OF FALLING หลอนเป็นอันดับสาม, A PALE VIEW OF
HILLS หลอนเป็นอันดับสี่ และ NIRANAM หลอนเป็นอันดับห้า
ใครอยากแสดงความเห็นเพิ่มเติมอะไร
ว่ามีหนังเรื่องไหนบ้างที่น่าจะจัดให้อยู่ในกลุ่ม HAUNTING POETIC และกลุ่ม POETIC HORROR ก็ comment มาได้นะคะ
Edit เพิ่ม: คิดว่าผู้กำกับ
auteur คนสำคัญในกลุ่ม POETIC HORROR ก็คือ
Kiyoshi Kurosawa
+++
เพิ่งรู้ว่ามีการฟ้องร้องคดีว่า
ยาลดความอ้วนอาจจะส่งผลให้คุณตาบอดได้
DEC 15 (Reuters) - A federal judicial panel said Monday it would centralize a
growing number of lawsuits against Novo Nordisk and Eli Lilly alleging patients
lost some or all of their eyesight while taking the companies' blockbuster
weight loss drugs before a judge in Pennsylvania.
No comments:
Post a Comment