เรายังไม่ได้ไปดูวิดีโอของ Araya
Rasdjarmrearnsook ในงาน THE SAME OLD KARMA เลย
แต่ก่อนไปดู เราก็ขอตรวจสอบก่อนว่า เราเคยดูเรื่องไหนไปแล้วบ้างใน 23 เรื่องนี้
เราจะได้รู้ว่าเราสามารถหลบไปเข้าห้องน้ำหรือหลบไปหาผัวได้ตอนที่วิดีโอเรื่องไหนฉาย
เรื่องที่เคยดูแล้ว
1.READING FOR ONE FEMALE CORPSE (1997,
Araya Rasdjarmrearnsook)
ติดอันดับ 23 ในลิสท์หนังสุดโปรดของเราประจำปี
2019
2.READING INAOW TO FEMALE CORPSE (2001,
Araya Rasdjarmrearnsook)
3. A WALK (2002, Araya
Rasdjarmrearnsook)
ติดอันดับ 37 ในลิสท์หนังสุดโปรดของเราประจำปี
2019
4.GLOME PEE: THE CRYING OF THE EARTH
(2005-2006, ARAYA RASDJARMREARNSOOK
5.“FECES, LIFE, LOVE, LUST”
6.THE NINE-DAY PREGNANCY OF A SINGLE,
MIDDLE-AGED ASSOCIATE PROFESSOR
7. IN THIS CIRCUMSTANCE, THE SOLE OBJECT OF ATTENTION SHOULD
BE THE TREACHERY OF THE MOON (2009, Araya Rasdjarmrearnsook, Thailand)
8. SOME UNEXPECTED EVENTS SOMETIMES BRING MOMENTARY
HAPPINESS (2009, Araya Rasdjarmrearnsook)
+
AFTERWARDS, REGRET RISES IN OUR MEMORY EVEN FOR BYGONE HARDSHIPS (2009, Araya
Rasdjarmrearnsook)
9.THE TREACHERY OF THE MOON (2012, Araya Rasdjarmrearnsook,
video installation, 13min)
10.NECESSITY'S RHYTHM (2020, Araya Rasdjarmrearnsook, video
installation A+30)
11.DOG'S PALATIAL HOUSE (2022, Araya Rasdjarmrearnsook,
video installation, A+30)
สรุปว่าเราเคยดูไปแค่ 11 จาก 23 เรื่องนี้
ยังไม่ได้ดูอยู่อีก 12 เรื่อง กรี๊ดดดดด
++++
พอดู KEEPER เจ้าที่ปีศาจ
(2025, Osgood Perkins, A+30) แล้วก็ดีใจมาก ๆ ที่ Osgood
Perkins ยังคงหนักแน่นในการทำหนังในแนวทางของตัวเองต่อไป
ซึ่งก็คือหนังแนวที่นำเสนอ “THE WORLD WITHOUT GOD” “THE WORLD IN WHICH
GOD IS ABSENT” “THE WORLD IN WHICH GOD DOESN’T EXIST, BUT SATAN/EVIL EXISTS.”
++++
เติม SOUND OF FALLING (2025, Mascha
Schilinski, Germany, A+30) เข้าไปเป็นเรื่องที่ 4 ในลิสท์
“หนังที่เราได้ดูในปีนี้ ที่กำกับโดยผู้หญิง และมีฉากพลิกบนลงล่าง พลิกล่างขึ้นบน”
โดยใน SOUND OF FALLING นั้นมีบอกไว้อย่างชัดเจนถึงสาเหตุของฉากดังกล่าวด้วย
เพราะตัวละครบอกว่า ดวงตาของมนุษย์เราเห็นภาพกลับหัว
แต่หัวสมองของมนุษย์แปลงสัญญาณดังกล่าวให้กลับทิศทางอีกรอบนึง
เพราะฉะนั้นตัวละครก็เลยสงสัยว่า จริง ๆ
แล้วหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตมนุษย์เรามันเป็นตรงกันข้ามกับสิ่งที่มันเป็นหรือเปล่า
สิ่งที่ถูกจริง ๆ แล้วอาจจะเป็นสิ่งที่ผิดก็ได้ อะไรทำนองนี้
แต่ถ้าหากนับหนังที่กำกับโดยผู้ชายด้วย
ก็ต้องรวม KEEPER (2025, Osgood Perkins, A+30) ที่ให้คนดูได้เห็น
“ภาพกลับหัว” ด้วยเหมือนกัน
+++
ภาพยนตร์เรื่อง “หน่วยรบผู้เชี่ยวชาญ” หรือ DHURANDHAR
(2025, Aditya Dhar, India, 3hrs 32mins, A+30) รอบ 20.30 น.คืนนี้
ตั๋วขายไปเกินครึ่งโรงแล้วนะคะ ใครจะดูก็ซื้อตั๋วไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ดีกว่านะคะ
ดิฉันดูหนังเรื่องนี้แล้ว ชอบในระดับ A+30
ค่ะ แต่หนังเรื่องนี้อาจจะติดอันดับประจำปีในอันดับที่ไม่สูงมากนัก
เพราะว่ามันเป็น “หนังขวาจัดคลั่งชาติอินเดีย
ที่อาจจะมีการใส่ร้ายปากีสถานอย่างรุนแรง” ค่ะ คือถ้าหากวัดจาก
“ทัศนคติทางการเมือง” ของหนังเรื่องนี้ ก็คงต้องให้ F กันเลยทีเดียว
เพราะทัศนคติทางการเมืองของมันเลวร้ายสุดขีด
แต่ถ้าหากเทียบกับ “หนังขวาจัดคลั่งชาติอินเดีย”
อีกหลายสิบเรื่องที่ดิฉันเคยดูมา DHURANDHAR ก็ถือเป็นหนึ่งในหนังที่ดิฉันชอบมากที่สุดในกลุ่มนี้
เพราะว่าหนังในกลุ่มนี้เรื่องอื่น ๆ มักจะพูดถึงตัวละครแค่ 2 กลุ่ม ซึ่งก็คือ
“กลุ่มผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงชาวปากีสถาน” กับกลุ่ม “ทหารอินเดียผู้รักชาติยิ่งชีพ”
แต่ DHURANDHAR มันแตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ในกลุ่มนี้
เพราะว่าหนังเรื่องนี้มันเน้นพูดถึง “กลุ่มต่าง ๆ ในปากีสถาน” อย่างละเอียด
ทั้งกลุ่มนักธุรกิจ, สายลับปากีสถาน, พรรคการเมืองในปากีสถานที่ตบตีกันเอง, กลุ่มตำรวจ,
แขกปาทาน และที่สำคัญที่สุดก็คือกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน Balochistan
การที่หนังเรื่อง DHURANDHAR เน้นพูดถึงปัญหาระหว่างรัฐบาลปากีสถาน กับกลุ่มกบฏ Balochistan ก็เลยเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดิฉันชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+30
ค่ะ
เพราะหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องแรกที่ดิฉันได้ดูที่พูดถึงปัญหา Balochistan
หลังจากที่ดิฉันเคยได้แต่อ่านข่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้
แต่ไม่เคยดูหนังที่พูดถึงประเด็นนี้มาก่อน
แต่ DHURANDHAR ไม่ใช่
“หนังบู๊สะบั้นหั่นแหลก” แบบ RRR (2022, S.S. Rajamouli, A+30) นะคะ หนังมีฉากบู๊น้อยมาก หนังเรื่องนี้มันเน้นแสดงให้เห็นถึง
“โครงสร้างทางการเมืองในปากีสถาน” มากกว่า ดูหนังเรื่องนี้แล้วจะนึกถึงหนังอย่าง
RAAJNEETI (2010, Prakash Jha, India, A+30) อะไรแบบนั้นมากกว่า
ซึ่งการที่หนังเรื่องนี้ไม่เน้นฉากบู๊
แต่เน้นแสดงให้เห็นถึง “โครงสร้างทางการเมืองอันซับซ้อน” ระหว่าง นักการเมือง,
นักธุรกิจ, แก๊งนักเลง, ตำรวจ, สายลับ, กลุ่มอิทธิพลเชื้อชาติ (แก๊งแขกปาทาน), ศัตรูต่างชาติ,
และ “ศัตรูภายในชาติ” (กบฏ Balochistan) ที่แต่ละกลุ่มต่างก็ช่วยเหลือกันเอง
และต่างก็ห้ำหั่นกันเอง ฆ่าฟันกันเอง แล้วแต่สถานการณ์ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร
อะไรแบบนี้ก็เลยทำให้นึกถึง การเมืองไทย อยู่เหมือนกัน 55555
ในแง่นึง DHURANDHAR กับ WARFARE
(2025, Alex Garland, Ray Mendoza, A+25) ก็เป็นหนังที่ทำให้ดิฉันรู้สึก
“เสียดายอย่างสุดขีด” เหมือน ๆ กัน เพราะดิฉันชอบความ cinematic ของหนังสองเรื่องนี้อย่างสุดขีดคลั่งมาก ๆ
แต่ทัศนคติทางการเมืองของหนังสองเรื่องนี้มันเลวร้ายจริง ๆ
ดิฉันก็เลยไม่สามารถชอบหนังสองเรื่องนี้ได้มากเท่าที่ควร
No comments:
Post a Comment