Tuesday, December 26, 2006

CONFLICT MOVIES

--ข้อความข้างล่างนี้อาจจะมีเนื้อหาบางส่วนที่ไม่มีประโยชน์กับน้อง merveillesxx แต่ดิฉันขอชวนคุยนอกเรื่องตามประสาค่ะ

--ประโยคที่ว่า “หนังเรื่องนี้มีขายในรูปแบบดีวีดี” ข้างล่างนี้ หมายถึงมีขายใน AMAZON.COM แต่ไม่รู้ว่ามีเข้ามาในไทยแล้วยัง


--ถ้าให้คิดถึงหนังเกาหลีที่พูดถึงคนญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน ดิฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกันค่ะ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าไม่ค่อยมีคนญี่ปุ่นเข้าไปทำงานในเกาหลี มีแต่คนเกาหลีที่เข้าไปทำงานในญี่ปุ่น

ถ้าจำไม่ผิด มีหนังเกาหลีใต้อยู่สองเรื่องที่พูดถึงยุคที่คาบสมุทรเกาหลีตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และหนังสองเรื่องนี้มีจุดที่เหมือนกันก็คือมันเป็นหนังผีที่พูดถึงวิญญาณอาถรรพ์จากยุคอาณานิคมที่ยังคงเฮี้ยนไม่เลิกมาจนถึงยุคปัจจุบัน และหนังสองเรื่องนี้ก็คือ THE RED SHOES (2005, KIM YONG-GYUN, A++++++++++) กับ THE CIRCLE (SEOKKEUL) (2003, PARK SEUNG-BAE, B+)

ส่วนหนังญี่ปุ่นที่พูดถึงชาวเกาหลีนั้นมีหลายเรื่องจริงๆ อย่างเช่น

1.KT (2002, JUNJI SAKAMOTO)
เรื่องนี้มีขายในรูปแบบ DVD

2.BLOOD AND BONES (2004, YOICHI SAI หรือ CHOI YANG-IL, A)
นำแสดงโดยคิตาโน่

3.THE MOST TERRIBLE TIME IN MY LIFE (1994, KAIZO HAYASHI)
หนังเรื่องนี้พูดถึงชาวไต้หวันกับเกาหลีที่ทำงานในญี่ปุ่น
เรื่องนี้มีขายในรูปแบบ DVD
http://www.amazon.com/Most-Terrible-Time-My-Life/dp/B0001FVDPK/sr=1-1/qid=1167145740/ref=pd_bbs_sr_1/103-9259746-9485413?ie=UTF8&s=dvd

--ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าพูดถึงชาวเกาหลีกับญี่ปุ่น ก็มักจะนึกถึงละครทีวีมากกว่าภาพยนตร์ อย่างเช่นละครทีวีเรื่อง

1.FIGHTING GIRL (2001, A-/B+)
ท่าทางยัย KYOKO FUKADA จะถูกโฉลกกับคนเกาหลีจริงๆแฮะ
http://en.wikipedia.org/wiki/Fighting_Girl

2.A.D. 2000 – DON’T SHOOT HER (2000, B+)
นำแสดงโดย MIHO NAKAYAMA + TAKESHI KANESHIRO หนังเรื่องนี้พูดถึงสายลับเกาหลีเหนือในญี่ปุ่น แต่มีการเปลี่ยนชื่อประเทศเกาหลีเหนือเป็นประเทศสมมุติแทน

--นอกจากญี่ปุ่นจะสร้างหนังเกี่ยวกับชาวเกาหลีในประเทศของตัวเองแล้ว คิดว่ายังมีหนังอีกหลายเรื่องในญี่ปุ่นที่แสดงให้เห็นชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรืออาศัยอยู่ในญี่ปุ่น อย่างเช่น

1.STAR REFORMERS (2006, HIROSHI NISHITANI, A+)

2.NABBIE’S LOVE (1999, YUJI NAKAE, A+)

3.FEAR AND TREMBLING (2003, ALAIN CORNEAU, A-)

4.STRATOSPHERE GIRL (2004, MATTHIAS X. OBERG, A+)

5.THE GRUDGE ภาค 1+2

6.THE FAST AND THE FURIOUS: TOKYO DRIFT (2006, JUSTIN LIN, B+/B)
บทคนเกาหลีที่แสดงโดย SUNG KANG ในเรื่องนี้โดดเด่นมากๆ
http://www.imdb.com/name/nm0437646/


แต่นึกไม่ออกว่ามีหนังเกี่ยวกับชาวญี่ปุ่นที่ไปทำงานถาวรในต่างประเทศบ้างหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่นึกออกแต่ชาวญี่ปุ่นที่ไปท่องเที่ยวในต่างประเทศหรือไปทำธุรกิจชั่วคราวแบบใน MYSTERY TRAIN (1989, JIM JARMUSCH, A) และ THE GODDESS OF 1967 (2000, CLARA LAW) ส่วนชาวญี่ปุ่นที่ดูเหมือนอยู่ในต่างประเทศนานหน่อยก็คือ TAKASHI TSUKAMOTO ใน ABOUT LOVE: SHANGHAI (2005, ZHANG YIBAI, A)

ดิฉันเดาเล่นๆว่าสาเหตุที่ไม่ค่อยมีหนังเกี่ยวกับชาวญี่ปุ่นที่ไปตั้งรกรากในต่างประเทศ มีแต่หนังเกี่ยวกับชาวต่างประเทศที่ไปตั้งรกรากในญี่ปุ่น บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าญี่ปุ่นมีตำแหน่งงานที่น่าสนใจมากกว่าประเทศอื่นๆ วันนี้เพิ่งเห็นข้อมูลว่า สัดส่วนระหว่างตำแหน่งงานต่อผู้สมัครงานในญี่ปุ่นนั้น สูงถึง 1.06 เลยทีเดียว หรือเท่ากับว่า “มีตำแหน่งงาน 106 ตำแหน่ง ต่อผู้สมัครงาน 100 คน” และอัตราการว่างงานในญี่ปุ่นก็ต่ำมาก


--หนังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคนจีน-คนไต้หวันที่นึกออกก็คือ LOVE OF MAY (2004, HSU HSIAO-MING, A-)

--หนังเกี่ยวกับแอลจีเรีย-ฝรั่งเศสที่ชอบมากๆก็คือ WILD REEDS (1994, ANDRE TECHINE, A+) ถ้าจำไม่ผิด หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไปของคนฝรั่งเศสในยุคนั้นที่มีต่อปัญหาในแอลจีเรีย ทั้งปฏิกิริยาของชนชั้นแรงงาน, คนทั่วไป และปัญญาชน

--ตัวละครพระเอกใน THE LIGHT (2004, PHILIPPE LIORET, A) ก็เคยเป็นทหารฝรั่งเศสที่ไปทรมานคนในแอลจีเรียเหมือนกัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://celinejulie.blogspot.com/2005/06/arsene-lupin.html

--หนังเกี่ยวกับอิสราเอล-ปาเลสไตน์

1.WALL (2004, SIMONE BITTON)
สารคดีเรื่องนี้มีขายในรูปแบบ DVD

2.AVENGE BUT ONE OF MY TWO EYES (2005, AVI MOGRABI)
สารคดีเรื่องนี้มีขายในรูปแบบ DVD
http://www.amazon.co.uk/exec/obidos/ASIN/B000IFS06I/imdb-button/
Shot in the Occupied Territories by renowned Israeli filmmaker Avi Mograbi, this controversial documentary draws a parallel between the Israeli - Palestinian situation today and the myths of Samson and Masada. Mograbi makes provocative comparisons between Israeli's deep-rooted identification with these stories and contemporary Palestinian suicide bombers. He offers a powerful, at times chilling, lament to the continuing cycles of violence, rooted in the past but threatening to completely engulf everyone's future. A believer in the power of dialogue, Mograbi is passionate in his desire to see an end to the bloodshed.


3.CHRONICLE OF A DISAPPEARANCE (1996, ELIA SULEIMAN)
มีขายในรูปแบบ DVD

4.PRIVATE (2004, SAVERIO COSTANZO, A+)
มีขายในรูปแบบ DVD

5.WEDDING IN GALILEE (1988, MICHEL KHLEIFI, A)
มีขายในรูปแบบ DVD

6.RANA’S WEDDING (2002, HANY ABU-ASSAD)
มีขายในรูปแบบ DVD

7.KEDMA (2002, AMOS GITAI)
มีขายในรูปแบบ DVD

8.THE DEATH OF KLINGHOFFER (2003, PENNY WOOLCOCK)
มีขายในรูปแบบ DVD
http://www.amazon.com/Adams-Klinghoffer-Maltman-Boutros-Melrose/dp/B0000D9R0E/sr=11-1/qid=1167147760/ref=sr_11_1/103-9259746-9485413

9.THIRST (2004, TAWFIK ABU WAEL, A+)

10.THE BUBBLE (2006, EYTAN FOX) หนังเกย์
http://www.imdb.com/title/tt0476643/
The Bubble is the story of a group of young people who live in Tel-Aviv (a main city in Israel). The movie follows the group's difficulties of living in Israel's reality. Their routine brakes when a young Palestinian man enters their life.


หนังเกี่ยวกับไอร์แลนด์, ไอร์แลนด์เหนือ, IRA และอังกฤษ

1.BLOODY SUNDAY (2002, PAUL GREENGRASS)
มีขายในรูปแบบ DVD

2.OMAGH (2004, PETE TRAVIS)
มีขายในรูปแบบ DVD
เขียนบทโดย PAUL GREENGRASS

3.THE CRYING GAME (1992, NEIL JORDAN, A+)

4.MICHAEL COLLINS (1996, NEIL JORDAN, A+)

5.THE DEVIL’S OWN (1997, ALAN J. PAKULA)

6.PATRIOT GAMES (1992, PHILIP NOYCE, B+/B)

7.SOME MOTHER’S SON (1996, TERRY GEORGE)
หนังเรื่องนี้ชอบมาฉายบ่อยๆทางช่อง HBO และร่วมเขียนบทโดย JIM SHERIDAN

นำแสดงโดย HELEN MIRREN

8.CAL (1984, PAT O’CONNOR)
มีขายในรูปแบบ DVD

นำแสดงโดย HELEN MIRREN


9.FOOLS OF FORTUNE (1990, PAT O’CONNOR)
http://www.imdb.com/title/tt0099594/


10.A PRAYER FOR THE DYING (1987, MIKE HODGES)
http://www.imdb.com/title/tt0093771/
มีขายในรูปแบบ DVD

Thursday, December 21, 2006

SVEN VATH STILL LIVES

From filmsick’s blog
http://filmsick.exteen.com/20061220/distant-voices-still-lives?page=1#

ขอบคุณมากค่ะที่เขียนถึง DISTANT VOICES, STILL LIVES

TERENCE DAVIES จัดเป็นเกย์นักกำกับภาพยนตร์แถวหน้าคนนึงของอังกฤษค่ะ เขามักได้รับการเปรียบเทียบกับ DEREK JARMAN อยู่เป็นประจำ แต่แตกต่างกันตรงที่ TERENCE DAVIES มาจากชนชั้นแรงงาน และไม่ได้มีพื้นฐานความรู้ด้านศิลปะสูงมากแบบ DEREK JARMAN อย่างไรก็ดี ถึงแม้ TERENCE DAVIES ไม่ได้เรียนด้านศิลปะ แต่หนังของเขาก็ถ่ายภาพออกมาได้งามสุดๆ

เคยดูหนังของเขาแค่สองเรื่องค่ะ ซึ่งก็คือ THE NEON BIBLE (1995, A+) กับ THE LONG DAY CLOSES (1992, A++++++++++) โดย THE LONG DAY CLOSES นั้นมีการใช้เพลงประกอบที่เพราะสุดๆในช่วงท้ายเรื่อง และเป็นหนังแนวกึ่งอัตชีวประวัติของเขาเหมือนกับ DISTANT VOICES, STILL LIVES

The Long Day Closes is the story of eleven-year-old "Bud." A sad and lonely boy, Bud struggles through his days. With cinema as his main source of solace, he haunts the local movie-house. All the while, his family looms large in our peripheral vision as do the menacing bullies of his school, but Bud is the center of attention both from the camera's angle and from his doting family. With a gray background, the film fuses clips and audio from classic movies into Bud's dreary childhood and brings it to life with an elegance Bach would bring to your home movies. The overall effect is a montage of memory which seems to ignite flashes of recognition in the viewer.

เนื่องจาก DISTANT VOICES, STILL LIVES มีเนื้อหาเกี่ยวกับ “พ่อ” ก็เลยรวบรวมรายชื่อหนังเกี่ยวกับพ่อ-ลูกที่น่าสนใจมาไว้ในที่นี้ด้วยค่ะ

1.MUSIC BOX (1989, COSTA-GAVRAS, A++++++++++)
หนึ่งในหนังที่ชอบที่สุดในชีวิต เรื่องของลูกสาวที่ไม่รู้ว่าพ่อของเธอเป็นอาชญากรสงครามใจโหดหรือเปล่า
http://www.imdb.com/title/tt0100211/


2.FIELD OF DREAMS (1989, PHIL ALDEN ROBINSON, A++++++++)
เรื่องของลูกชายที่สร้างสนามเบสบอลให้วิญญาณของพ่อ ถ้าจำไม่ผิด คุณวาสนา วีระชาติพลีชอบ KEVIN COSTNER ในหนังเรื่องนี้มากๆ เพราะเขาดูอบอุ่นมาก


3.PAPA (2005, MAURICE BARTHELEMY, A++++++++++)
เรื่องของพ่อกับลูกชายที่นั่งรถไปด้วยกัน


4.SECRET DEFENSE (1998, JACQUES RIVETTE, A+)
ลูกสาวที่พยายามแก้แค้นให้พ่อ


5.TRAGEDY OF A RIDICULOUS MAN (1981, BERNARDO BERTOLUCCI, A+)
เรื่องของพ่อที่พยายามแสวงหาผลประโยชน์จากการที่ลูกชายของเขาถูกลักพาตัว
http://www.imdb.com/title/tt0084813/


6.ACCUSED (2005, JACOB THUESEN, A+)
เรื่องของพ่อที่ถูกกล่าวหาว่าข่มขืนลูกสาว


7.TRANSAMERICA (2005, DUNCAN TUCKER, A+)


8.LA PETITE MORT (2005, FRANCOIS OZON, A+)
เรื่องของลูกชายที่ถ่ายภาพพ่อขณะนอนแก้ผ้า
http://www99.epinions.com/content_242209033860

Paul is an artist, his current project is to take photos of the faces of men during orgasm. He lives with Martial, his lover. His sister Camille, who's running the family business, takes Paul to the hospital to see their father, who is dying. Paul hasn't seen him in six years, and all his life has believed his father thinks he's ugly and perhaps not even his child. There's no deathbed reconciliation, but subsequent exchanges of Paul with Martial and with Camille bring opportunities for growth and change to this temperamental and self-pitying young man.


9.THE SPIDER’S STRATAGEM (1970, BERNARDO BERTOLUCCI, A+)
เรื่องของลูกชายที่พยายามค้นหาความจริงเกี่ยวกับพ่อของตัวเอง
http://www.imdb.com/title/tt0066413/


10.FATHER (1966, ISTVAN SZABO, A+)
เรื่องของผู้ชายที่พยายามค้นหาความจริงเกี่ยวกับพ่อของตัวเอง
http://www.imdb.com/title/tt0060116/#comment


11.DON’T TELL (2005, CRISTINA COMENCINI, A+/A)
เรื่องของลูกสาวที่ถูกพ่อข่มขืน


12.FREQUENCY (2000, GREGORY HOBLIT, A)
พ่อลูกที่สื่อสารกันข้ามมิติเวลา


13.THE RIVER (1997, TSAI MING-LIANG, A/A-)


14.THE SUM OF US (1994, GEOFF BURTON + KEVIN DOWLING, A-)
เรื่องของคุณพ่อใจประเสริฐที่พยายามหา “ผัว” ให้ “ลูกชาย” (Russell Crowe)
http://www.imdb.com/title/tt0111309/


15.BLISS (1997, LANCE YOUNG, A-)
เรื่องของลูกสาวที่ถูกพ่อข่มขืน


16.THE FEAST OF THE GOAT (2005, LUIS LLOSA, B+)
พ่อที่กระทำบางอย่างที่ลูกสาวยากจะให้อภัย

From bioscope’s webboard
http://www.bioscopemagazine.com/web2006/webboard/index-in.php?id=51161


ตอบคุณน้องเต้

ขอบคุณมากค่ะสำหรับมิวสิควิดีโอของ U2 และรายชื่อศิลปินในนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ดิฉันจะจำหน้าไม่ได้เลยว่าใครเป็นใคร ขณะที่ดูมิวสิควิดีโอเพลงนี้ ดิฉันรู้สึกเหมือนตอนที่ดูหนังเรื่อง “HERO” (2006, A++++++++++) ของคุณทวีศักดิ์ ศรีทองดี เพราะในหนังเรื่องนั้นก็จะขึ้นภาพใบหน้าของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์มาหลายคน แต่มีที่ดิฉันรู้จักอยู่แค่ประมาณ 30 % เท่านั้น


ตอบคุณ pc

--พูดถึง FELLINI – SATYRICON (1969) ซึ่งเคยเข้ามาเปิดฉายในโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพในชื่อเรื่องว่า “เสื่อม” แล้ว ก็ทำให้นึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง CRYSTAL DRAGON ที่ดิฉันติดตามอ่านอยู่ในตอนนี้ เพราะถ้าเข้าใจไม่ผิด PETRONIUS ซึ่งเป็นเจ้าของบทประพันธ์ SATYRICON ได้กลายเป็นตัวละครตัวหนึ่งในการ์ตูนเรื่อง CRYSTAL DRAGON ด้วย รู้สึกว่าตอนนี้ CRYSTAL DRAGON ออกมา 16 เล่มแล้ว แต่ใช้เวลาแต่งราว 20 กว่าปี ดิฉันเคยอ่านการ์ตูนเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนอายุประมาณ 13 ปี จนตอนนี้ดิฉันอายุ 33 ปีแล้ว การ์ตูนของ ASHIBE YUHO เรื่องนี้ก็ยังไม่จบสักที

--พูดถึงศิลปินที่อาจจะได้ชื่อวงมาจากชื่อหนังแล้ว ก็นึกถึง DIRTY ROTTEN SCOUNDRELS ซึ่งเป็นรีมิกเซอร์ วงนี้ประกอบด้วย DAN BEWICK และ MATT FROST และเคยรีมิกซ์เพลง PEOPLE HOLD ON ให้ LISA STANSFIELD

ดูรายชื่อผลงานของ DIRTY ROTTEN SCOUNDRELS ได้ที่
http://www.discogs.com/artist/Dirty+Rotten+Scoundrels

ดิฉันไม่แน่ใจว่าชื่อวงนี้มาจากภาพยนตร์เรื่อง DIRTY ROTTEN SCOUNDRELS (1988, FRANK OZ) หรือเปล่า หนังเรื่องนี้นำแสดงโดย STEVE MARTIN กับ MICHAEL CAINE ในบทของสองนักต้มตุ๋นที่พยายามพิชิตใจของ GLENNE HEADLY
http://www.amazon.com/Dirty-Rotten-Scoundrels-Steve-Martin/dp/B00005PJ6O/sr=8-1/qid=1166715568/ref=pd_bbs_sr_1/104-3287267-6364766?ie=UTF8&s=dvd
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B00005PJ6O.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056698532_.jpg


--ขอสารภาพว่าเสียงของ CLAUDIA BRUECKEN นั้น ตอนแรกดิฉันนึกว่าเป็นเสียงเทปยืดค่ะ เพราะดิฉันเคยยืมซีดี CLAUDIA BRUECKEN ของเพื่อนมาอัดลงเทปของตัวเอง แล้วพอเปิดเทปฟัง ดิฉันก็นึกว่าเทปยืด เพราะเสียงของเธอมันดูเพี้ยนๆในบางช่วง แต่พอได้มาดูมิวสิควิดีโอของเธอใน YOUTUBE เสียงของเธอใน YOUTUBE มันก็เหมือนนกับในเทปของดิฉันนี่นา งั้นเทปดิฉันก็ไม่ได้ยืดน่ะสิ แต่เสียงของเธอเป็นอย่างนั้นเอง


--ศิลปินเยอรมันอีกคนที่ดิฉันชอบมากคือ SVEN VATH ค่ะ เขาทำเพลงแนวเทคโน

เว็บไซท์ของ SVEN VATH
http://cocoon.net/

มิวสิควิดีโอของ SVEN VATH

1.FACE IT (1998)
http://www.youtube.com/watch?v=Tff05RG_VNQ
ชอบเพลงในระดับ A+ และชอบมิวสิควิดีโอในระดับ A

2.L’ESPERANZA (1993)
http://www.youtube.com/watch?v=DnhhiPallYo
ชอบเพลงและมิวสิควิดีโอในระดับ A-


--สำหรับความเห็นเรื่องวัฒนธรรมเยอรมันนั้นน่าสนใจมากค่ะ ตัวดิฉันเองไม่ค่อยมีความรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ และก็แทบไม่เคยได้ฟังเพลงเยอรมันอย่างจริงๆจังๆด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าหากถามว่าตัวเองชอบเพลงอะไร ก็คงตอบว่าชอบเพลงของประเทศอังกฤษมากที่สุดค่ะ เพราะแทบไม่เคยได้ฟังเพลงของชาติยุโรปชาติอื่นๆเลย

ส่วนภาพยนตร์นั้น ดิฉันคิดว่าตัวเองอาจจะชอบหนังเยอรมันมากกว่าหนังอังกฤษค่ะ แต่นั่นเป็นเพราะว่าหนัง “เฮี้ยนๆ” ของอังกฤษนั้นหาดูยากกว่าหนังเฮี้ยนๆของเยอรมันที่เคยมาฉายทางสถาบันเกอเธ่หลายต่อหลายเรื่อง ถ้าหากดิฉันไม่เคยไปดูหนังที่สถาบันเกอเธ่ ดิฉันก็อาจจะชอบหนังอังกฤษมากกว่าหนังเยอรมันไปแล้วก็ได้

สิ่งที่ชอบที่สุดในความเป็นเยอรมัน ก็คือความบ้าจนกู่ไม่กลับของผู้กำกับหนังเยอรมันในทศวรรษ 1970 และความบ้าจนกู่ไม่กลับของนักร้องอย่าง NINA HAGEN ค่ะ ดิฉันรู้สึกเหมือนกันว่าเยอรมันที่เห็นในหนังมีความแข็งๆและเย็นชา แต่พอดูหนังเยอรมันไปนานๆเข้า ก็รู้สึกชินและชอบความแข็งๆและเย็นชาแบบนี้

มีเพื่อนที่เคยไปเที่ยวเยอรมัน เขาก็บอกว่ามันดูเป็นประเทศที่เคร่งครัดกฎระเบียบมากค่ะ ซี่งมันก็ทำให้บ้านเมืองดูเรียบร้อยดี แต่มันก็ทำให้เขาเกร็ง เพราะเขาไม่รู้ตัวว่าเขาจะทำผิดกฎอะไรเข้าหรือเปล่า ไม่เหมือนเนเธอร์แลนด์หรือเดนมาร์กที่เขาบอกว่าเขารู้สึก “สบายใจ” เมื่อได้ไปเที่ยวประเทศนี้

อย่างไรก็ดี เพื่อนที่ไปเที่ยวเบอร์ลินก็ชอบคลับเซ็กส์รูปแบบต่างๆในเบอร์ลินมากค่ะ เห็นเพื่อนบอกว่าในเบอร์ลินมีคลับเซ็กส์แปลกๆที่ถูกกฎหมายตั้งอยู่มากมาย ก็เลยรู้สึกว่าประเทศของเขาอาจจะเคร่งครัดกฎระเบียบมากเกินไปในบางจุดก็จริง แต่เขาก็รู้จักผ่อนคลายกฎระเบียบในสิ่งที่ควรผ่อนคลายด้วยเหมือนกัน

ตอนนี้กำลังลุ้นให้ KLAUS WOWEREIT นายกเทศมนตรีเบอร์ลินสุดหล่อได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของเยอรมนีที่ประกาศตัวว่าเป็นเกย์ค่ะ

อ่านข่าวเกี่ยวกับ KLAUS WOWEREIT ได้ที่
http://www.365gay.com/Newscon06/09/091706gerrmany.htm

Many now within the party are looking at Wowereit as a future leader.

Wowereit is seen as a consensus builder who can unite the various factions of German politics.

Of his ambitions for the future he's playing his cards close to the vest, but acknowledged in a recent interview in the news magazine Stern that "I would like to have more say than I have had in the last five years."

But if he does have his sites on federal politics he'll have to wait until party leader Kurt Beck, who has little public recognition, bows out or is pushed out.

If he were to become chancellor it would make Wowereit the fist openly gay man to lead a country in modern times.

HEAVEN GIVE ME WORDS

http://www.bioscopemagazine.com/web2006/webboard/index-in.php?id=51161

ตอบคุณ pc

เห็นคุณ pc แนะนำนักร้องหญิงจากเยอรมัน ดิฉันก็เลยนึกถึงนักร้องอีกคนที่ดิฉันชอบค่ะ เธอชื่อ CLAUDIA BRUECKEN เป็นนักร้องในยุค 1980-1990 เธอเคยเป็นนักร้องวง PROPAGANDA

อันนี้เป็นมิวสิควิดีโอ KISS LIKE ETHER ของ CLAUDIA BRUECKEN ค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=UkhrC9uyQ5Q ส่

วนอันนี้เป็นมิวสิควิดีโอเพลง HEAVEN GIVE ME WORDS ของ PROPAGANDA ค่ะ แต่เพลงนี้ไม่ได้ร้องนำโดย CLAUDIA BRUECKEN แต่ร้องนำโดย BETSI MILLER
http://www.youtube.com/watch?v=HJGYI_PYQH4

ดิฉันชอบเพลง HEAVEN GIVE ME WORDS ในระดับ A+++++++++++++++ ค่ะ

Tuesday, December 19, 2006

ADVENTURES IN SUPERMARKET

ตอบคุณโอลิเวอร์

ฮือ ฮือ ช่วงปีใหม่หนูต้องทำงานค่ะ อาจจะไปร่วมงานปาร์ตี้ช่วงดึกๆด้วยไม่ได้ อาจจะไปร่วมได้ช่วงเย็นๆเท่านั้นค่ะ หนูต้องทำงานทั้งวันศุกร์ 29, เสาร์ 30 และอาทิตย์ 31 ธ.ค.ค่ะ แต่ได้หยุดวันที่ 1-2 ม.ค.ค่ะ ถ้าจะจัดปาร์ตี้อะไรยังไง ก็จัดไปเลยนะคะ ไม่ต้องห่วงหนู ถ้าหนูมาร่วมแจมด้วยได้ตอนไหน หนูก็จะมาร่วมแจมค่ะ

ถึงหนูอาจจะไปร่วมงานปาร์ตี้ด้วยไม่ได้ หนูก็ขออวยพรปีใหม่ให้ทุกคนล่วงหน้าด้วยเพลงเพลงนี้นะคะ

THE PERFECT YEAR ของ DINA CARROLL
http://www.youtube.com/watch?v=p9LJ57TlPmw

Ring out the old, bring in the new
A midnight wish to share with you
Your lips are warm, my head is light
Were we in love before tonight?
I don't need a crowded ballroom everything I need is here
If you’re with me next year will be
The perfect year
No need to hear the music play,
You eyes say all there is to say
The stars can fade and they can shine
'Long as your face is next to mine
I don't need a crowded ball room everything I need is here
If you’re with me next year will be
The perfect year
We don't need a crowded ballroom everything we need is here
If your with me next year will be
The perfect year
It's New Year's Eve and hopes are high
Dance one year in, kiss one goodbye
Another chance, another start
So many dreams to tease the heart
We don't need a crowded ballroom everything we need is here
And face to face we will embrace
The perfect year

Oh, we don't need a crowded ballroom everything we need is here
And face to face we shall embrace
The perfect year
Ahh, the perfect year


--ทาง ALLIANCE FRANCAISE ประกาศตารางฉายหนังออกมาแล้วค่ะ แต่ไม่รู้ว่าน่าเชื่อถือมากแค่ไหน เพราะเขามักฉายไม่ตรงตามตารางเป็นประจำ

เข้าไปดูตารางฉายหนังได้ที่นี่ค่ะ
http://en.alliance-francaise.or.th/index.php?option=com_content&task=blogcategory&id=29&Itemid=59



ตอบคุณ pc

ได้ลองเข้าไปฟังเพลงของ krawalla แล้ว เพลงน่ารักมากเลยค่ะ รู้สึกว่าเธอจะชอบหมีเหมือนดิฉันด้วย เห็นในเว็บไซท์ของเธอมีคนแต่งชุดหมีมายืนคู่กับเธอตลอดเลย ไม่แน่ใจว่านั่นคือสมาชิกในทีมแสดงของเธอหรือเปล่า

ตอบน้อง merveillesxx

ยังไม่ได้ดู LA STRADA เลยจ้ะ

หนังของ FEDERICO FELLINI ที่เคยดูก็มีเรื่อง

1.JULIET OF THE SPIRITS (1965, A++++++++++)

2.NIGHTS OF CABIRIA (1957, A+)

3.8 1/2 (1963, A+)

4.IL BIDONE (1955, A/A-)

5.THE CLOWNS (1971, A/A-)

6.INTERVISTA (1987, A-)

7.CITY OF WOMEN (1980, A-)

8.SPIRITS OF THE DEAD: TOBY DAMMIT (1968, A-)

9.AMARCORD (1973, A-/B+)


--ได้อ่านเรื่องที่น้องโดนผู้หญิงแซงคิวตอนไปปาร์ตี้ DUDE/SWEET แล้ว ก็นึกถึงเรื่องการแซงคิวที่เพื่อนคนนึงเล่าให้ฟัง แต่จำรายละเอียดของเรื่องไม่ได้ เนื้อเรื่องคร่าวๆรู้สึกว่าจะมีดังนี้

เพื่อนเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของเธอคนนึง สมมุติว่าชื่อ “ติ๋งก่าย” เธอทำงานเป็นพนักงานประจำเคาน์เตอร์ทำบัตรอะไรสักอย่าง ที่ต้องมีลูกค้ามาต่อคิวเป็นแถวยาวเพื่อรอทำบัตร แต่มีวันนึงตอนประมาณ 4-5 โมงเย็น อยู่ดีๆก็มีผู้หญิงคนนึงเดินมาแซงคิวลูกค้าคนอื่นๆ เพื่อจะมาทำบัตรที่เคาน์เตอร์ของติ๋งก่าย ติ๋งก่ายเห็นดังนั้นก็เลยแกล้งพูดกับลูกค้าคนอื่นๆที่ต่อคิวอยู่ตรงนั้นดังๆว่า

“ให้คนนี้เขาลัดคิวได้มั้ยคะ เพราะสุสานมันจะปิดตอน 6 โมงเย็น” แล้วก็หันมาถามยัยตัวที่แซงคิวว่า “คุณจะรีบกลับสุสานใช่มั้ยคะ”

ยัยคนนั้นก็ตอบว่า “ไม่ ฉันไม่ได้จะไปสุสาน”

ติ๋งก่ายก็เลยบอกกับยัยคนนั้นว่า “ถ้าคุณไม่ได้จะรีบกลับสุสาน งั้นก็เชิญคุณไปเข้าคิวท้ายแถวค่ะ” แล้วยัยคนนั้นก็เลยต้องไปเข้าคิวท้ายแถว


--อีกเรื่องนึงเป็นเรื่องของเพื่อนดิฉันตอนไปจ่ายตังค์ซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมันจะมี FAST LANE สำหรับสินค้าไม่เกิน 8 ชิ้น พอเพื่อนดิฉันจะไปจ่ายตังค์ในเลนนั้น ก็เจอคุณนายอะไรไม่รู้ต่อคิวอยู่พร้อมกับสินค้าเต็มคันรถเข็น เพื่อนดิฉันก็เลยแกล้งเดินไปถามแคชเชียร์ตรงที่มีป้ายเคาน์เตอร์ FAST LANE ดังๆว่า

“โทษนะคะ ไม่ทราบว่าช่องจ่ายตังค์สำหรับสินค้าไม่เกิน 8 ชิ้นอยู่ตรงไหน”

ยัยแคชเชียร์ก็ทำอึกๆอักๆ เพราะไม่กล้าไล่ยัยคุณนายคนนั้นออกไป แล้วยัยแคชเชียร์ก็เลยบอกให้เพื่อนดิฉันไปเลนอื่นๆแทน เพื่อนดิฉันก็เลยตัดสินใจไปจ่ายตังค์ตรงเลนอื่นๆ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ประจานยัยคุณนายคนนี้ออกมาดังๆ


--พูดถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว ก็นึกถึงเรื่องที่เพื่อนดิฉันเล่าให้ฟัง ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่เพื่อนบอกว่าซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งมีสินค้าราคาถูกมากๆยี่ห้อนึงวางขาย สินค้าเหล่านี้จะมีหลากหลายประเภท แต่คุณภาพห่วยแตกมาก เพื่อนคนนึงเคยซื้อไม้หนีบหนีบผ้าไปชุดนึง ปรากฏว่าไม่ทันจะได้หนีบอะไร ลวดในไม้หนีบผ้าก็เด้งดึ๋ง เด้งดึ๋ง หลุดออกมา พอเพื่อนหยิบลวดจะไปใส่ในไม้หนีบตามเดิม ลวดมันก็เด้งดึ๋งเด้งดึ๋งออกมาอีก แล้วก็เป็นอย่างนี้แทบทุกอัน แทบจะใช้การไม่ได้เลย

ส่วนเพื่อนอีกคนก็ซื้อ “ฟองน้ำ” ยี่ห้อเดียวกันไปใช้ ปรากฏว่าใช้ล้างจานไปแค่ครั้งเดียว ฟองน้ำนั้นก็เปื่อยยุ่ยสลายไปในทันที

ส่วน “ยาสีฟัน” ที่มียี่ห้อเดียวกันนั้น เพื่อนดิฉันสรุปสรรพคุณของยาสีฟันยี่ห้อนั้นให้ฟังเล่นๆว่า “มันคือสิ่งที่มีคุณสมบัติขั้นต่ำสุดของสิ่งที่สามารถเรียกว่าเป็นยาสีฟันได้ เพราะถ้าคุณสมบัติของมันต่ำไปกว่านี้แม้แต่เพียงนิดเดียว มันจะไม่สามารถเรียกว่าเป็นยาสีฟันได้อีกต่อไป ถ้าหากเกิดมีส่วนผสมอะไรสักอย่างของมันหกตกหล่นออกไปแม้แต่เพียงนิดเดียว มันจะไม่ใช่ยาสีฟันอีก แต่มันจะเป็นยาล้างตีน”

Sunday, December 17, 2006

HUE & CRY

ตอบคุณ pc

ได้เข้าไปดูมิวสิควิดีโอที่นำเพลงของ MUSE มาประกอบกับ A CLOCKWORK ORANGE แล้ว เห็นด้วยอย่างมากๆค่ะว่าคนตัดต่อเก่งมากที่นำฉากต่างๆมาเรียงร้อยเข้ากับเสียงเพลงได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว

พูดถึงวง MOLOKO กับ A CLOCKWORK ORANGE แล้ว ก็นึกถึงวงดนตรีอื่นๆที่ได้ชื่อวงหรือชื่ออัลบัมมาจากชื่อหนัง อย่างเช่น

1.วง TEXAS ที่ได้ชื่อวงมาจากหนังเรื่อง PARIS, TEXAS (WIM WENDERS, A+)

2.วง THEY MIGHT BE GIANTS ที่ได้ชื่อวงมาจากหนังเรื่อง THEY MIGHT BE GIANTS (1971, ANTHONY HARVEY) ซึ่งนำแสดงโดย GEORGE C. SCOTT + JOANNE WOODWARD และดัดแปลงมาจากบทละครเวทีของ JAMES GOLDMAN (อย่าจำสลับกับ JAMES MANGOLD)

รายละเอียดเกี่ยวกับหนังเรื่อง THEY MIGHT BE GIANTS
http://www.imdb.com/title/tt0067848/

They Might be Giants chronicles the adventures of Sherlock Holmes and Dr. Watson in modern day New York City. The fact that Sherlock Holmes (George C. Scott) is a psychotic paranoid and Dr. Watson (Joanne Woodward) is a female psychiatrist fascinated by his case is almost beside the point. Dr. Watson follows Holmes across Manhattan and is, against her better judgement, drawn into the master detective's world of intrigue and danger. This is a sweet, goofy and fairly romantic film that asks the questions "Who's reality is right...and does it really matter?"

ปกดีวีดีภาพยนตร์ THEY MIGHT BE GIANTS
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B00004KDEP.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056666201_.jpg

ประวัติวง THEY MIGHT BE GIANTS
http://www.vh1.com/artists/az/they_might_be_giants/bio.jhtml

BLOG ของวง THEY MIGHT BE GIANTS
http://profile.myspace.com/index.cfm?fuseaction=user.viewprofile&friendid=30773604

อัลบัมชุด DIAL-A-SONG: 20 YEARS OF THEY MIGHT BE GIANTS รวมเพลงเอาไว้ถึง 52 เพลง
http://www.amazon.com/Dial-Song-Years-Might-Giants/dp/B00006IZOC/sr=8-3/qid=1166364177/ref=pd_bbs_sr_3/105-8870084-1008416?ie=UTF8&s=music
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B00006IZOC.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1116753526_.jpg


3.วง THE KILLERS ที่ได้ชื่อวงมาจากหนังเรื่อง THE KILLERS (1946, ROBERT SIODMAK, A)
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B00007ELDG.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056758952_.jpg


4. วงสุดหล่อ WATERFRONT ที่ได้ชื่อวงมาจากหนังเรื่อง ON THE WATERFRONT (1954, ELIA KAZAN)

ดูมิวสิควิดีโอเพลง NATURE OF LOVE (1989) ของวง WATERFRONT ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=jeIIwf5Bskk
ชอบเพลง NATURE OF LOVE ในระดับ A+ แต่ชอบมิวสิควิดีโอในระดับ A


5. ชื่ออัลบัมชุด TIGER BAY ของวง SAINT ETIENNE มาจากหนังเรื่อง TIGERBAY (1959, J. LEE THOMPSON)

12 year old Gillie witnesses a Polish Sailor killing his girlfriend and manages to get hold of the gun. When the police question her about the gun, she concocts stories which only get her deeper into trouble.

http://ec2.images-amazon.com/images/P/6305186731.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1122575288_.jpg


6.สิ่งที่ดิฉันไม่แน่ใจก็คือว่าวง HUE & CRY ที่ดิฉันชอบมากๆนั้น ได้ชื่อวงมาจากหนังเรื่อง HUE & CRY (1948, CHARLES CRICHTON) หรือเปล่า

ปกดีวีดีหนังเรื่อง HUE & CRY
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B0002HSDCS.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1121608775_.jpg

A gang of street boys foil a master crook who sends commands for robberies by cunningly altering a comic strip's wording each week, unknown to writer and printer. The first of the Ealing comedies.

ปกอัลบัมชุด THE BEST OF HUE & CRY
http://www.amazon.com/Best-Hue-Cry/dp/B000024HPG/sr=8-1/qid=1166365353/ref=sr_1_1/105-8870084-1008416?ie=UTF8&s=music

http://ec2.images-amazon.com/images/P/B000024HPG.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1116139059_.jpg

ดูมิวสิควิดีโอเพลง LOOKING FOR LINDA ของวง HUE & CRY ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=ONc3OMOb98I

ชอบเพลง LOOKING FOR LINDA ในระดับ A+ และชอบมิวสิควิดีโอในระดับ A/A- ค่ะ


สิ่งที่ได้ดูในวันอาทิตย์ที่ 17 ธ.ค. 2006

1.ไม่เป็นเรื่อง (A+++++)
ละครเวทีของกลุ่ม NEW MASKS CLUB กำกับโดย PATTRUJAR KANJANAKOSOLP (PAO)


2.SELF PORTRAITS: THE ME GENERATION PART II – LONELINESS (CHRIS RODLEY, A+)
http://worldofwonder.net/productions/networks/channel_4_uk/the_me_generation_artists_self_portraits.wow


3.MAX ERNST: JOURNEY INTO THE SUBCONSCIOUS (1991, PETER SCHAMONI, A+)
http://www.imdb.com/title/tt0102419/
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B0000687E2.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056714896_.jpg

Completed in 1991 by the German producer Peter Schamoni, this 90-minute program includes remarkable footage of the German-born artist Max Ernst, who moved to the United States during World War II and later became an American citizen (throughout, the artist speaks in English, French, and German). In this magnificent production, great effort was made to obtain archival material of Max Ernst's life story as well as historical footage of the times he lived in. A soldier in World War I, Ernst was violently opposed to war, suffering periods of internment in concentration camps, which strongly reinforced his life-long desire for liberty. His marriage to Peggy Guggenheim, though short-lived, opened up the New York art world to him. During his prolific career, he also made collages and painted murals in the home of his friend Paul Edward, the French poet. His surrealist artwork was later influenced by his 12 years of living in Sedona, Arizona. When he would come to a "dead end with painting," he began making sculptures, which was for him "like taking a vacation." As a documentary about art, this program is superb, both for the quality of the cinematography and the visual metaphors that relate landscape and political events to the artist's paintings.


4.GAO XINGJIAN (A+)
สารคดีจากช่อง TV5 น่าเสียดายที่ดิฉันจำชื่อผู้กำกับไม่ได้


5.MONTIEN BOONMA (KAMOL PHAOSAVASDI, A-)
รู้สึกว่าคุณ SATHIT SATTARASART จะเป็นตากล้องของภาพยนตร์เรื่องนี้
http://www.asiasociety.org/arts/boonma/artist/biblio.html


6.เวลา (B+)
ละครเวทีกำกับและเขียนบทโดย ธนวุฒิ เศขรฤทธิ์


MOST DESIRABLE ACTOR

1.DANNY CHAN หรือ CHAN KWOK-KWAN ใน I’LL CALL YOU
http://www.imdb.com/name/nm2185928/
http://www.lovehkfilm.com/people/chan_kwok_kwan.htm
http://hk.geocities.com/ChanKwokKwan_hk/
http://www.today.ucla.edu/2005/Images/050524_china.jpg
http://graphics.jsonline.com/graphics/owlive/img/apr05/asian.three0422_big.jpg
http://hk.geocities.com/ChanKwokKwan_hk/danny5.jpg

2.กรพจน์ สืบชมพู ในละครเวทีเรื่อง “ปิดที่ไม่มิด”

***blog ของคุณ KOICHI SHIMIZU นำเพลงจากภาพยนตร์เรื่อง ANAT(T)A มาลงไว้ให้ฟังกันแล้วค่ะ เข้าไปฟังเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ดิฉันชอบที่สุดในปีนี้ได้ที่
http://www.myspace.com/eastablishrec2

Saturday, December 16, 2006

MY FAVORITE MODELS




--นิตยสาร GAYTIMES เล่มประจำเดือนพ.ย.ปีนี้ มีบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่อง SYNDROMES AND A CENTURY (2006, APICHATPONG WEERASETHAKUL) โดย BRUCE LABRUCE นังตัวแสบแห่งวงการหนังเกย์ด้วย น่าเสียดายที่บทวิจารณ์สั้นไปหน่อย แต่สรุปว่า BRUCE LABRUCE ชอบ SYNDROMES AND A CENTURY มากจ้ะ


FAVORITE MODEL

--ในมีตติ้งเมื่อต้นเดือน ดิฉันเคยบอกว่าชอบนายแบบที่โฆษณาน้ำมันพืช “ทิพ” มากๆ ตอนนี้เจอโฆษณาชิ้นนี้ใน YOUTUBE แล้ว ไม่รู้ว่ามีใครรู้จักชื่อของนายแบบคนนี้หรือเปล่า
http://www.youtube.com/watch?v=-bNjHsQHBRQ
http://www.adintrend.com/show_ad.php?id=1319

--นายแบบอีกคนที่ชอบมากในตอนนี้คือ จตุรงค์ ลิ้มวัฒนา เขาเป็นนักเทนนิส และถ่ายแบบลงนิตยสาร HEAD SHOT เขาเกิดวันที่ 8 ม.ค. 1989 สูง 167 เซนติเมตร และหนัก 70 กก. ดูรูปของเขาได้ที่ด้านบน
http://www.magazinedee.com/main/magall.php?mag=635

ตัวอย่างปกนิตยสาร HEAD SHOT

ทรงพล วิธารวัฒนา
http://www.magazinedee.com/images/42/635/HEADSHOT2006-12_00-007.jpg

ชาติพงษ์ ธนาพงศ์สากร และ โชติวัฒน์ ติ้วสุวรรณ
http://www.magazinedee.com/images/42/635/HEADSHOT2006-12_00-003.jpg

FALLING IN LOVE (NIKORN SAETUNG, A+++++)

ตอบน้อง ZM + คุณอ้วน

ขอบคุณน้อง ZM มากค่ะที่นำข่าวประกาศผลรางวัลต่างๆมาให้อ่านกัน


คุยกันต่อจากกระทู้ 50007

เนื้อหาในกระทู้นี้ต่อเนื่องมาจากกระทู้
http://www.bioscopemagazine.com/web2006/webboard/index-in.php?id=50007


ดิฉันเองเพิ่งทำรายชื่อคร่าวๆของดาราที่ชอบสุดๆในช่วงครึ่งปีแรกเสร็จค่ะ แต่ช่วงนี้ยังไม่มีเวลาว่างมากนัก ก็เลยยังไม่ได้นำมาโพสท์ให้อ่านกัน ส่วนดาราที่ชอบสุดๆในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คงจะต้องมีสองคนนี้รวมอยู่ด้วย

1.ELIZABETH MITCHELL จาก RUNNING SCARED (2006, WAYNE KRAMER, A+/A)

2.VERA FARMIGA จาก RUNNING SCARED (2006, WAYNE KRAMER, A+/A)

สำหรับผู้ที่เคยดูหนังเรื่องนี้แล้ว สามารถกลับไปดูฉากการปะทะกันครั้งสำคัญระหว่าง ELIZABETH MITCHELL กับ VERA FARMIGA ได้ที่ YOUTUBE ในคลิปนี้ค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=PueKSE0giv4

(คนที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่อง RUNNING SCARED ห้ามดูคลิปข้างบนเป็นอันขาดค่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่สนุก)




สิ่งที่น่าสนใจในช่วงนี้

1.งานประกวดสดใสอวอร์ดในวันอาทิตย์ที่ 17 ธ.ค.นี้ เข้าชมฟรี อ่านรายละเอียดได้ที่
http://www.dass.co.th/

2.ได้ข่าวว่าโรงหนัง ESPLANADE ที่ถ.รัชดาภิเษกเปิดแล้ว แถมมีหนังเรื่อง LUCKY NUMBER SLEVIN (2006, PAUL MCGUIGAN) เข้าที่โรงนี้เพียงโรงเดียวด้วย
http://www.imdb.com/title/tt0425210/
http://www.movieseer.com/DisplayPerMovie.asp?Channel=1

แผนที่ไป ESPLANADE
http://www.siamfuture.com/OurProperties/rachada/location_map.jpg



สิ่งที่ได้ดูในวันศุกร์+เสาร์ที่ 15-16 ธ.ค. 2006

1.พบรัก FALLING IN LOVE (นิกร แซ่ตั้ง, A+++++++)
ละครเวทีเรื่องนี้มีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับเกย์ ดูแล้วให้ความสุขเหมือนกับดูหนังของ ERIC ROHMER เรื่อง RENDEZVOUS IN PARIS (1995, A+)

2.ไอ้แอ๊ด I ADD (พิเชษฐ์ กลั่นชื่น, A+++++)

3.I’LL CALL YOU (2005, LAM TZE CHUNG, A-)
http://mvff.com/node/1935

4.TOTAL BANGKOK (2006, PEN-EK RATANARUANG, A-)

5.DRIVING LESSONS (2006, JEREMY BROCK, A-)

6.ERAGON (2006, STEFEN FANGMEIER, B+/B)
http://www.imdb.com/title/tt0449010/

Monday, December 11, 2006

DANI SICILIANO

จากกระทู้
http://www.bioscopemagazine.com/web2006/webboard/index-in.php?id=50007

ตอบคุณ FILMSICK

--รู้สึกเหมือนตัวเองได้ดูหนังเรื่องนึงเมื่อเร็วๆนี้ แต่จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร ในหนังมีตัวละครชายหญิงคุยกันว่า พวกเขาอยากมีลูกสองคน เป็นชายคน หญิงคน คนนึงจะชื่อ BOBBY อีกคนจะชื่อ JANIS

ไม่แน่ใจว่าบทสนทนานี้มาจาก THE TEXAS CHAINSAW MASSACRE: THE BEGINNING หรือเปล่า และถ้ามาจากหนังเรื่องนี้จริง ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าไอเดียชื่อ BOBBY กับ JANIS นี้มีที่มาจากไหน แต่เดาว่าอาจจะมาจาก BOB DYLAN กับ JANIS JOPLIN



ตอบน้อง merveillesxx

ต้องกราบขอบคุณน้องเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะที่มาแจ้งข่าวเรื่องคุณวาสนา วีระชาติพลี ดิฉันได้มีโอกาสฟังรายการของคุณวาสนาแบบผ่านๆเมื่อคืนนี้ รู้สึกมีความสุขมาก ชอบเพลงของวง METRIC มากๆเลยค่ะ

อันนี้เป็นมิวสิควิดีโอเพลง COMBAT BABY ของวง METRIC ค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=22v9Xsglx70

ดิฉันชอบเพลงนี้ในระดับ A+ และชอบมิวสิควิดีโอในระดับ B+

เพลงนี้บรรจุอยู่ในอัลบัมชุด OLD WORLD UNDERGROUND, WHERE ARE YOU NOW? (2003)
http://www.amazon.com/Old-World-Underground-Where-Are/dp/B0000C236V/sr=1-2/qid=1165840624/ref=pd_bbs_sr_2/002-1152430-7830408?ie=UTF8&s=music
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B0000C236V.01._SS400_SCLZZZZZZZ_V53137330_.jpg




ตอบคุณตี๋หล่อมีเสน่ห์

--รู้สึกงงๆกับคำถามของคุณเล็กน้อยค่ะเกี่ยวกับเรื่องตดในลิฟท์ ฮ่าๆๆๆ แต่หวังว่าคุณคงจะไม่ทำอย่างนั้นอีกนะคะ เพราะตอนนี้คุณคงรู้แล้วว่าอาจจะมีคนเข้าลิฟท์ต่อจากเราได้ทุกเมื่อ และถ้าหากดิฉันเป็นผู้หญิงคนนั้น ดิฉันก็อาจจะทำแบบเดียวกับเธอเหมือนกันค่ะ เพราะเธอคือผู้ได้รับความเดือดร้อนโดยตรง แต่ถ้าหากเป็นในเรื่อง BASHING และดิฉันเป็นชาวบ้านในเมืองนั้น ดิฉันคงจะนอนอยู่เฉยๆ และคงไม่ไปด่าทอครอบครัวนางเอกแต่อย่างใด เพราะนางเอกและครอบครัวนางเอกไม่ได้สร้างความลำบากเดือดร้อนให้ดิฉันโดยตรงหรือโดยเจตนา


--ส่วนเรื่อง MATERIAL GIRLS (2006, MARTHA COOLIDGE) นั้น ดิฉันชอบในระดับปานกลางประมาณ B+ ค่ะ รู้สึกว่าหนังมันไม่ค่อยตลกเหมือนกัน แต่ปกติดิฉันไม่ค่อยชอบหนังตลกอยู่แล้ว ดิฉันรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบอยู่หลายอย่าง อย่างเช่น

ส่วนที่ชอบ

1.รู้สึกชอบการแสดงของ HILARY DUFF (1987) ในเรื่องนี้มากกว่าใน A CINDERELLA STORY (2004, MARK ROSMAN, B-) และ RAISE YOUR VOICE (2004, SEAN MCNAMARA, B+/B) รู้สึกว่าเธอแสดงได้เป็นธรรมชาติขึ้นมาก และการแสดงดูเหมือนมีรายละเอียดยิบย่อยมากยิ่งขึ้น ซึ่งคงจะต้องยกความดีความชอบให้กับทั้งตัวเธอและ MARTHA COOLIDGE

2.ชอบตัวประกอบในหนังเรื่องนี้ ที่สร้างสีสันได้น่าสนใจในระดับปานกลาง ทั้งเลขานุการที่ไปทำจมูก, แองเจลิกา ฮุสตัน และแม่บ้าน (MARIA CONCHITA ALONSO) ในขณะที่พระเอกสองคนก็น่ารักดี อย่างไรก็ดี เสน่ห์ของตัวละครประกอบเหล่านี้ก็อาจจะสู้ตัวประกอบในหนังแนว CHICK FLICKS เรื่องอื่นๆไม่ได้

3.ชอบไอเดียเรื่องแผนการโกงบริษัทที่นางเอกกับพี่สาวต้องพยายามคลี่คลายในเรื่องนี้ เพราะมันทำให้หนังเรื่องนี้ดูซีเรียสขึ้น

แต่ส่วนที่ไม่ชอบก็มีอยู่เยอะ และมันดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับส่วนที่ชอบด้วย อย่างเช่น

1.รู้สึกว่าหนังมันไปไม่สุดสักทาง หนังมันไม่ “สนุกสุดๆ” แบบ LEGALLY BLONDE (2001, ROBERT LUKETIC, A+/A), ไม่ “จริงจัง” แบบ THE DEVIL WEARS PRADA (2006, DAVID FRANKEL, A), ไม่ “ปัญญาอ่อนสุดๆ” แบบหนังของสองพี่น้อง MARY-KATE OLSEN + ASHLEY OLSEN (จะว่านี่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้เหมือนกันนะ)

2.อยากให้หนังมันจริงจังมากกว่านี้ เพราะรู้สึกว่าพล็อตเรื่องการโกงบริษัทมันทำให้ออกมาเป็นหนังแนวหักเหลี่ยมเฉือนคม หรือหนังกึ่งๆทริลเลอร์ได้สบาย แต่หนังกลับเลือกที่จะให้ “ปัญหาทุกอย่างได้รับการคลี่คลายอย่างง่ายๆ” ก็เลยรู้สึกแย่ๆตรงจุดนี้

ไม่รู้ว่าไอเดียที่ให้ทุกอย่างคลี่คลายอย่างง่ายๆนี้เป็นไอเดียของใคร ของ “สตูดิโอ” ผู้ออกทุนสร้างหนัง, ของฮิลารี ดัฟฟ์ หรือของผู้กำกับ

3.จุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้เหมือนกับ UPTOWN GIRLS (2003, BOAZ YAKIN, A) ที่พูดถึงสาวรวยที่โดนโกงเหมือนกัน และในตอนแรกก็ดูเหมือนว่า MATERIAL GIRLS จะฉีกแนวของตัวเองออกมาได้ดี ด้วยการให้นางเอกของเรื่องพยายามคลี่คลายเล่ห์กลในวงการธุรกิจ แต่แทนที่หนังจะใช้ประโยชน์จากความเป็น SUSPENSE หรือ THRILLER ตรงจุดนี้ให้สุดๆ หนังกลับเลือกที่จะลงเอยด้วยการทำตัวเป็นหนังวัยรุ่นสดใส และทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนกับว่ามัน “โกงๆ” ทางอารมณ์ยังไงไม่รู้

ส่วน UPTOWN GIRLS นั้น หนังไม่ได้เลือกที่จะเข้าใกล้ความเป็น SUSPENSE หรือ THRILLER อยู่แล้ว แต่เลือกที่จะพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์แทน และ BRITTANY MURPHY กับ DAKOTA FANNING ก็มีฝีมือทางการแสดงที่เชื่อถือได้ ดังนั้นถึงแม้หนังจะลงเอยด้วยความสดใส แต่มันก็ดู “ราบรื่น” หรือลื่นไหลกว่า MATERIAL GIRLS เป็นอย่างมาก

สรุปว่า MATERIAL GIRLS ทำให้ดิฉันชอบ HILARY DUFF มากขึ้น แต่ทำให้ดิฉันชอบ MARTHA COOLIDGE น้อยลงค่ะ



ตอบคุณ pc

--สำหรับเรื่องมิวสิควิดีโอใน YOUTUBE หยุดเล่นนั้น ดิฉันเจอเป็นประจำทุกวันค่ะ ในบางวันมันจะมีบางเพลงที่หยุดเล่นกลางคัน และในวันนั้นจะไม่สามารถเล่นเพลงนี้ได้อีกเลย แต่ในวันต่อมาก็จะสามารถเล่นเพลงนี้ได้จนจบเพลง ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดจากอะไร

--ได้ดูวิดีโอการเล่นคอนเสิร์ตของ KYLIE MINOGUE เมื่อ 3-4 ปีก่อน มีการแสดงชุดนึงที่เธอกับแดนเซอร์แต่งชุดขาวและแต่งหน้าแต่งตาเหมือนกลุ่มพระเอกใน A CLOCKWORK ORANGE ด้วย

--ดิฉันได้ดู WITTGENSTEIN แบบไม่มีซับไตเติลเมื่อราว 10 ปีก่อนค่ะ ฟังแทบไม่ออกเลยว่าตัวละครมันพูดว่าอะไร ถึงแม้พวกเขาคุยกันเป็นภาษาอังกฤษก็ตาม แต่ก็ชอบสไตล์ของหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดี ดิฉันคิดว่าคงต้องพยายามดูหนังเรื่องนี้ซ้ำอีก เพื่อจะได้เข้าใจหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น

--พูดถึงความหวาดระแวงรัฐบาลสหรัฐในทศวรรษ 1960-1970 แล้ว ก็นึกถึงหนังสารคดีเรื่อง FROM THE JOURNALS OF JEAN SEBERG (1995, MARK RAPPAPORT, A+++++++++) ค่ะ เพราะถ้าจำไม่ผิด หนังเรื่องนี้ก็บอกว่า JEAN SEBERG ซึ่งเป็นนางเอกหนังเรื่อง BREATHLESS (JEAN-LUC GODARD, A-) ก็หวาดระแวงรัฐบาลสหรัฐมากเหมือนกัน เพราะเธอประกาศตัวสนับสนุนกลุ่ม BLACK PANTHERS ที่เรียกร้องสิทธิของคนผิวดำ และนั่นทำให้เธอตกเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลสหรัฐอาจต้องการทำลายล้าง
http://www.imdb.com/title/tt0113125/

ลองค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ตดูแล้ว มีบางคนบอกว่า FBI พยายามทำลายชื่อเสียงของ JEAN SEBERG ด้วยการปล่อยข่าวว่าเธอตั้งครรภ์กับสมาชิกกลุ่ม BLACK PANTHERS ด้วย อ่านข้อมูลนี้ได้ที่
http://www.whatreallyhappened.com/RANCHO/POLITICS/COINTELPRO/SEB/seb.html

--วง GOLDFRAPP มาทำดนตรีประกอบให้กับหนังเรื่อง MY SUMMER OF LOVE (2004, PAWEL PAWLIKOWSKI, A+) ด้วยค่ะ
http://www.imdb.com/title/tt0382189/


--ดิฉันรู้จักเพลง STRAWBERRY FIELDS FOREVER เป็นครั้งแรกเมื่อราว 15 ปีก่อนค่ะ แต่ไม่ใช่ในเวอร์ชันของ THE BEATLES แต่เป็นในเวอร์ชันของวง CANDY FLIP ที่น่ารักดี

ดูมิวสิควิดีโอ STRAWBERRY FIELDS FOREVER ของ CANDY FLIP ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=RFEsIYPJMv0

ดิฉันชอบเพลงนี้ในระดับ A และชอบมิวสิควิดีโอในระดับ B+ค่ะ


--ลอง SEARCH ใน YOUTUBE ดูแล้ว รู้สึกดีใจสุดขีดเมื่อพบว่ามีมิวสิควิดีโอ WALKING ON THIN ICE ของ YOKO ONO ด้วย

ดูมิวสิควิดีโอนี้ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=2U4AWF9zV-Q

ชอบเพลง WALKING ON THIN ICE ในระดับ A++++++++++
ชอบมิวสิควิดีโอในระดับ A+ รู้สึกว่า YOKO ONO ดูสง่ามากๆในมิวสิควิดีโอนี้

--ตอนนี้รู้สึกชอบเพลงของศิลปินหญิงในยุคต้นทศวรรษ 1980 มากเลยค่ะ ทั้ง YOKO ONO, LAURIE ANDERSON, KATE BUSH, EURYTHMICS, BLONDIE, NINA HAGEN, GRACE JONES


--สำหรับนักร้องหญิงที่ดิฉันกำลังก้มลงกราบตีนเธออยู่ในขณะนี้คือ DANI SICILIANO ค่ะ ดิฉันเพิ่งได้ฟังเพลง THE AUDIENCE ของเธอ ฟังแล้วแทบอยากลุกขึ้นมาเต้นกลางร้านอินเทอร์เน็ต

ดูบันทึกการแสดงสดเพลง THE AUDIENCE ของ DANI SICILIANO WITH THE MATTHEW HERBERT BIG BAND ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=CUkAPcO26NU

เพลง THE AUDIENCE นี้บรรจุอยู่ในอัลบัมชุด BODILY FUNCTIONS (2001) ของ HERBERT
http://www.amazon.com/Bodily-Functions-Herbert/dp/B00005B9JQ/ref=pd_bxgy_m_img_b/002-1152430-7830408
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B00005B9JQ.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1116286031_.jpg


อันนี้เป็นปกอัลบัมชุด SLAPPERS (2006) ของ DANI SICILIANO
http://www.amazon.com/Slappers-Dani-Siciliano/dp/B000GRTQIO/sr=1-1/qid=1165840716/ref=pd_bbs_sr_1/002-1152430-7830408?ie=UTF8&s=music
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B000GRTQIO.01._SS400_SCLZZZZZZZ_V59187559_.jpg

อันนี้เป็นปกอัลบัมชุด LIKES… (2004) ของ DANI SICILIANO
http://www.amazon.com/Likes-Dani-Siciliano/dp/B0000YHIX8/sr=1-2/qid=1165840835/ref=pd_bbs_sr_2/002-1152430-7830408?ie=UTF8&s=music
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B0000YHIX8.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1116216387_.jpg

Dani has an extraordinary musical worldview, informed in equal parts by jazz and soul, punk and country, go-go and hip-hop and of course house and electronica. Fragments of all these can be heard on "Likes..."

เข้าไปฟังเพลงอันหฤหรรษ์มันไม่หยุดของ DANI SICILIANO ได้ใน BLOG นี้ค่ะ
http://www.myspace.com/danisiciliano
ใน BLOG นี้มีเพลง SLAPPERS, WHY CAN’T I MAKE YOU HIGH และ BE MY PRODUCER


ตอบคุณ THE AESTHETICS OF LONELINESS
http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/12/google.html

รู้สึกว่าตัวเองกำลังเสพติดกับเทคโนโลยียุคนี้ยังไงไม่รู้ ตอนนี้พอมีเวลาว่างดิฉันก็เอาแต่เล่นอินเทอร์เน็ต ค้นหามิวสิควิดีโอจาก YOUTUBE และค้นหาเพลงจาก MYSPACE มาฟัง รู้สึกเหมือนกับว่าอินเทอร์เน็ตกลายเป็น “ต้นไม้สารพัดนึก” ที่นึกอยากหาข้อมูล, เพลง หรือมิวสิควีดีโออะไร ก็กดปุ่มหาได้ตามต้องการ

สมัยก่อนที่จะมีอินเทอร์เน็ตก็มีความสุขดีนะ นึกถึงสมัยปลายทศวรรษ 1980 ยุคนั้นได้ดูมิวสิควิดีโอเพลงต่างประเทศแค่ประมาณสัปดาห์ละครึ่งชั่วโมง จากรายการบันเทิงคดีของคุณมาโนช พุตตาล ก็มีความสุขดี แต่ความสุขส่วนใหญ่ในยุคนั้นจะได้จากการพูดคุยกับเพื่อนๆทางโรงเรียนและทางโทรศัพท์

แต่ความสุขของดิฉันในปัจจุบันนี้ กลับเป็นการคุยกับเพื่อนๆทางเว็บบอร์ด และการค้นหาสิ่งที่ต้องการเสพทางอินเทอร์เน็ตแทน ซึ่งรวมถึงการค้นหารูปหนุ่มหล่อๆตามที่คุณ BLACKFOREST นำทางไว้ให้ ฮ่าๆๆ


จากกระทู้
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=11017

ขอทยอยเพิ่มรายชื่อดาราหญิงที่ดิฉันประทับใจสุดขีดต่อจากข้างบนนะคะ

31.ELIZABETH MITCHELL กับการรับบทนางตัวร้ายของเธอใน RUNNING SCARED (2006, WAYNE KRAMER, A+/A) เธอแสดงได้อย่างน่าตบมากๆในหนังเรื่องนี้
http://www.imdb.com/name/nm0593310/

ELIZABETH MITCHELL เกิดปี 1970 และเคยแสดงหนังเรื่อง

1.MAN AND BOY (2002, SIMON CURTIS, B-) ซึ่งนำแสดงโดยสุดหล่อ IOAN GRUFFUDD
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B00008V6YZ.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1121049294_.jpg

2.NURSE BETTY (2000, NEIL LABUTE, A-)

3.FREQUENCY (2000, GREGORY HOBLIT, A)

4.GIA (1998, MICHAEL CRISTOFER, A-)

ELIZABETH MITCHELL เคยรับบทเป็น LINDA MCCARTNEY ในหนังสองเรื่อง ซึ่งได้แก่เรื่อง GIA กับเรื่อง THE LINDA MCCARTNEY STORY (2000, ARMAND MASTROIANNI)

ELIZABETH MITCHELL
http://www1.folha.uol.com.br/folha/ilustrada/images/20060729-elizabeth.jpg

LINDA MCCARTNEY
http://www.catanna.com/paulandlinnie.jpg

16 TAMBOURINES

จากกระทู้
http://www.bioscopemagazine.com/web2006/webboard/index-in.php?id=50131


ตอบน้อง merveillesxx

--หน้าปกอัลบัมเกี่ยวกับท้องฟ้าที่ชอบมากๆก็คือหน้าปกอัลบัมชุด HOW GREEN IS YOUR VALLEY? (1990, A++++++++++) ของวง 16 TAMBOURINES ค่ะ อัลบัมชุด HOW GREEN IS YOUR VALLEY? เป็นหนึ่งในอัลบัมที่ดิฉันชอบที่สุดในชีวิตค่ะ

ปกอัลบัม HOW GREEN IS YOUR VALLEY?
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B00005EHPH.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1131544912_.jpg


ฟังเพลงของวง 16 TAMBOURINES ได้ที่
http://www.myspace.com/16tambourines

Like the Pale Fountains and the Lotus Eaters, 16 Tambourines were a '60s-influenced guitar pop band from Liverpool, England that acquired more critical acclaim than album sales. Although they were signed to a major label, 16 Tambourines' true home was in the no-frills independent music scene, where their heartfelt, lovingly crafted soft rock was welcomed like a warm kiss. Although 16 Tambourines didn't form until 1985, vocalist Steve Roberts and bassist Tony Elliott had actually met in 1981 while trying to start another group, Total Action.

เพลงที่อยู่ในบล็อกนี้ได้แก่เพลง

1.BATHED IN THE AFTERGLOW (A+++++++++++++++)

2.APRIL (A++++++++++)

3.HOW GREEN IS YOUR VALLEY? (A+++++)

4.ICH LIEBE FRANK (A+++++)


เนื้อเพลง APRIL ขึ้นต้นด้วยประโยคที่ว่า “APRIL IS THE CRUELLEST MONTH”

ประโยคนี้ทำให้นึกถึงประโยคเปิดของบทกวีเรื่อง THE WASTE LAND (1922) ของ T.S. ELIOT ที่ใช้ประโยคเดียวกัน

THE WASTE LAND

April is the cruelest month, breeding

Lilacs out of the dead land, mixing

Memory and desire, stirring

Dull roots with spring rain.

Winter kept us warm, covering

Earth in forgetful snow, feeding

A little life with dried tubers.

Summer surprised us, coming over the Starnbergersee

With a shower of rain; we stopped in the colonnade,

And went on in sunlight, into the Hofgarten,

And drank coffee, and talked for an hour.

Bin gar keine Russin, stamm' aus Litauen, echt deutsch.
(ประโยคนี้หมายความว่า ผมไม่ใช่คนรัสเซีย ผมมาจากลิทัวเนีย ผมเป็นคนเยอรมันจริงๆ)

And when we were children, staying at the arch-duke's,

My cousin's, he took me out on a sled,

And I was frightened. He said, Marie,

Marie, hold on tight. And down we went.

In the mountains, there you feel free.

I read, much of the night, and go south in the winter.


อย่าจำชื่ออัลบัม HOW GREEN IS YOUR VALLEY? สลับกับภาพยนตร์เรื่อง HOW GREEN WAS MY VALLEY (1941, JOHN FORD) ที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

ปกดีวีดี HOW GREEN WAS MY VALLEY
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B00003Q435.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056663010_.jpg

At the turn of the century in a Welsh mining village, the Morgans (he stern, she gentle) raise coal-mining sons and hope their youngest will find a better life. Lots of atmosphere, very sentimental view of pre-union miners' lives.


--ชอบประโยคนั้นของ SYLVIA PLATH มากๆเหมือนกันค่ะ

--ตอนเด็กๆเคยดูละครทีวีเรื่อง “ในม่านเมฆ” ด้วย แต่รู้สึกว่าเนื้อหาของละครเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับท้องฟ้าแต่อย่างใด แต่เกี่ยวกับสาวพิการขาลีบคนหนึ่งที่แสนดี เธอถูกนางอิจฉากลั่นแกล้งรังแกอย่างรุนแรง

--มีภาพยนตร์เรื่อง “ในม่านเมฆ” (1966, พันคำ) ด้วย แต่ไม่รู้ว่าเนื้อหาเหมือนกับในละครทีวีหรือเปล่า

ในม่านเมฆ เวอร์ชันภาพยนตร์นำแสดงโดย
พิศมัย วิไลศักดิ์, สมบัติ เมทะนี, ขวัญใจ สะอาดรักษ์, ทักษิณ แจ่มผล, อดุลย์ ดุลยรัตน์, ปรียา รุ่งเรือง


--ได้เข้าไปดูมิวสิควิดีโอ LUCIFER ของ SUGIZO แล้ว ชอบเพลงในระดับ A/A- ค่ะ และชอบมิวสิควิดีโอในระดับ B รู้สึกชอบเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกแบบนี้ แต่ไม่ค่อยชอบเสียงกีตาร์เท่าไหร่ ส่วนเสียงของนักร้องนั้นรู้สึกว่าจะ “หล่อ” กว่าหน้าตานักร้อง (จริงๆ SUGIZO อาจจะหล่อก็ได้นะ แต่มาดของเขาในมิวสิควิดีโอนี้ไม่ใช่สเปคของดิฉันสักเท่าไหร่)
http://www.youtube.com/watch?v=CSaq0MWbqpE


จากกระทู้
http://www.bioscopemagazine.com/web2006/webboard/index-in.php?id=50581

ตอบคุณตี๋หล่อมีเสน่ห์

ยังไม่ได้ดู THE SHOP ON THE MAIN STREET (1965, ELMAR KLOS + JAN KADAR เลยค่ะ แต่ชอบหนังเชคในทศวรรษ 1960 อย่างมากๆ

เคยเขียนถึงผู้กำกับกลุ่ม CZECH NEW WAVE เอาไว้เล็กน้อย อ่านได้ที่
http://celinejulie.blogspot.com/2005/10/best-film-angels-fall.html#comments

ดิฉันมักจะจำชื่อหนัง THE SHOP ON THE MAIN STREET สลับกับหนังเรื่อง SHOP AROUND THE CORNER (1940, ERNST LUBITSCH) ที่นำแสดงโดย MARGARET SULLAVAN + JAMES STEWART และเป็นต้นแบบของ YOU’VE GOT MAIL (1998, NORA EPHRON, A-)
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B00006FDCV.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1057230367_.jpg

เห็นชื่อของ JAN KADAR แล้ว ทำให้นึกถึงผู้กำกับอีกหลายคนที่ชื่อ JAN เหมือนกัน อย่างเช่น

1.JAN SCHMIDT ผู้กำกับชาวเชค เจ้าของผลงาน THE END OF AUGUST AT THE HOTEL OZONE (1967) และ THE DEATH OF A TALENTED COBBLER (1982)

ปกดีวีดี THE END OF AUGUST AT THE HOTEL OZONE
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B000CEV3AK.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1133384491_.jpg
Nuclear war has destroyed most of civilization. A pack of wild girls search for males who can give them children.


2. JAN NEMEC ผู้กำกับชาวเชค เจ้าของผลงาน A REPORT ON THE PARTY AND THE GUESTS (1966), NECKLACE OF MELANCHOLY (1968) และ TIME OF SUN AND ROSES (1968)
http://www.imdb.com/name/nm0625866/


ปกดีวีดีหนังเรื่อง ’68 (1988, STEVEN KOVACS) ที่มี JAN NEMEC ร่วมแสดงด้วย
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B00005RYLF.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056702032_.jpg


3.JAN SVANKMAJER ผู้กำกับชาวเชคที่ทุกคนรู้จักกันดีจากหนังอย่าง ALICE (1988, A+)http://www.imdb.com/name/nm0840905/


4.JAN HREBEJK ผู้กำกับชาวเชค เจ้าของผลงาน DIVIDED WE FALL (2000, A-)
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B00005QFE6.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056699358_.jpg


5.JAN SVERAK ผู้กำกับชาวเชค เจ้าของผลงาน ACCUMULATOR 1 (1994, A-) , KOLYA (1996) และ DEEP BLUE WORLD (2001, B+)
http://www.imdb.com/name/nm0841232/
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B00006AUXD.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1116190377_.jpg


6.JAN SCHUETTE (1957) ผู้กำกับชาวเยอรมัน เจ้าของผลงาน THE FAREWELL: BERTOLT BRECHT’S LAST SUMMER (2000, A+++++++++), BYE BYE AMERICA (1994, A-/B+) และ DRAGON’S FOOD (1987, A-/B+)
http://www.imdb.com/name/nm0778338/


7.JAN KOMASA (1981) หนุ่มโปแลนด์ที่กำกับภาพยนตร์เรื่อง ODE TO JOY ตอน WARSAW (2005, A/A-)


8.JAN TROELL (1931) ผู้กำกับชาวสวีเดน เจ้าของผลงาน PRESENCE (2003, B) และ IL CAPITANO (1991, A++++++++++++++)
http://www.imdb.com/name/nm0873296/

ปกดีวีดี HAMSUN (1997, JAN TROELL) ที่นำแสดงโดย MAX VON SYDOW
http://www.amazon.com/exec/obidos/ASIN/B000EULK28/imdb-button/
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B000EULK28.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V57242147_.jpg
Knut Hamsun is Norway's most famous and admired author. Ever since he was young he has hated the English for the starvation they caused Norway during WWI. When the Germans occupy Norway 9 April 1940 he welcomes them and the protection they can give from Great Britain.

***อ่านเพิ่มเติมเรื่องของ KNUT HAMSUN ได้ในหนังสือ BOOKVIRUS เล่ม 1***

ละครเวทีเรื่อง SLOWFLY/V.I.C.T.O.R.I.A. ของ MONICA EMILIE HERSTAD ที่มาเปิดฉายในกรุงเทพเมื่อต้นปีนี้ก็ดัดแปลงมาจากนิยายของ KNUT HAMSUN


9.JAN JAKUB KOLSKI (1956) ผู้กำกับชาวโปแลนด์ เจ้าของผลงาน PORNOGRAFIA (2003) และ JOHNNY THE AQUARIUS (1993)

ปกดีวีดี JOHNNY THE AQUARIUS
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B000CRTB1A.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V53743600_.jpg
The old man Johnnie lives a peaceful but eccentric rural life with his young wife Veronica. Shortly after conceiving the child they have longed for, Johnnie discovers that he possesses previously unsuspected healing powers, and can control the elements, water in particular.


รูปจากหนังเรื่อง PORNOGRAFIA
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/12/86/18361949.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/12/86/18361944.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/12/86/18361946.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/12/86/18361943.jpg


10.JAN DE BONT (1943) ผู้กำกับชาวเนเธอร์แลนด์ เจ้าของหนังดังอย่าง SPEED (1994, A)



--ถ้าหากพูดถึงหนังที่มีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นในเนื้อเรื่อง แต่หนังไม่ได้แสดงให้เห็นภาพการฆ่าตัวตายเลยนั้น หนังอีกเรื่องที่ชอบมากในจุดนี้ก็คือ WHITE MISCHIEF (1987, MICHAEL RADFORD, A/A-) ที่เคยดูเมื่อ 16 ปีก่อน ในหนังเรื่องนี้มีตัวละครหญิงวัยกลางคนชื่อ ALICE DE JANZE (แสดงโดย SARAH MILES) ถ้าจำไม่ผิด ในหนังเรื่องนี้จะมีฉากเธอไปงานศพของคนรัก แล้วเธอก็ใช้นิ้วล้วงควักเข้าไปในอวัยวะเพศของตัวเองเพื่อเอาอะไรลื่นๆมาป้ายที่ปากศพคนรัก

หลังจากนั้นเราก็ได้เห็นเธอเล่นดนตรีอย่างร่าเริง แล้วเธอก็ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับพูดว่า “วันนี้อากาศดีจังโว้ย” (OH, GOD! NOT ANOTHER BLOODY BEAUTIFUL DAY) แล้วคนดูก็ได้รู้ว่าเธอฆ่าตัวตายหลังจากนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ช็อคคนดูอย่างดิฉันอย่างมากๆ อย่างไรก็ดี ดิฉันกลับรู้สึกในขณะเดียวกันว่า ถึงแม้ “เนื้อหา” ในฉากที่เธอพูดว่า “วันนี้อากาศดีจังโว้ย” จะไม่ได้บ่งชี้ในทาง “เหตุผล” ว่าเธอจะฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา แต่บางสิ่งในฉากนั้นกลับบ่งชี้ทาง “ความรู้สึก” ว่าเธอจะฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา และการที่ผู้กำกับอยู่ดีๆก็ใส่ “ฉากตัวละครตื่นเช้าอย่างร่าเริง” เข้ามาในหนัง มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ช่วยในการ “เล่าเนื้อเรื่องให้เดินไปข้างหน้า” แต่มันน่าจะส่อถึงอะไรบางอย่างอย่างแน่ๆ

WHITE MISCHIEF สร้างจากเรื่องจริง และ ALICE DE JANZE (1899-1941) ก็เป็นผู้หญิงที่มีตัวตนจริง อ่านเรื่องของเธอได้ที่
http://en.wikipedia.org/wiki/Alice_de_Janz%C3%A9

SARAH MILES
http://www.cambridgejones.com/auction/qauction%20jpegs/sarah%20miles%2020x16.jpg

ปกดีวีดี WHITE MISCHIEF
http://www.amazon.com/White-Mischief-Michael-Radford/dp/B00004RYKC/sr=1-2/qid=1165830580/ref=sr_1_2/002-1152430-7830408?ie=UTF8&s=dvd
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B00004RYKC.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1132052591_.jpg


ตอบน้อง merveillesxx

พูดถึงหนังเกี่ยวกับอิสราเอล-ปาเลสไตน์แล้วก็นึกถึงหนังเรื่อง THE ACCORD (2005, NICOLAS WADIMOFF, BEATRICE GUELPA, A++++++++++) ที่พี่ชอบสุดๆในเทศกาลเมื่อเดือนต.ค. สาเหตุนึงที่ทำให้พี่ชอบหนังเรื่องนี้เป็นเพราะว่า ปกติแล้วพี่คิดว่าผู้กำกับหนังโดยทั่วไปน่าจะตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มสร้างหนังอยู่แล้วว่า เขาจะสร้างหนังเรื่องนั้นให้ออกมาเป็นหนังแนว FEEL GOOD หรือ FEEL BAD

แต่ขณะที่ดู THE ACCORD พี่รู้สึกเหมือนกับว่ามีความเป็นไปได้ที่ผู้กำกับหนังเรื่องนี้อาจจะตั้งใจสร้างหนังแนว FEEL GOOD เพราะหนังเรื่องนี้ติดตามถ่ายทำชีวิตของคนกลุ่มนึงที่พยายามต่อสู้เพื่อสันติภาพ และหนังก็เปิดเรื่องด้วยความร่วมมือกันเป็นอย่างดีของคนกลุ่มนี้ และงานประชุมที่ดูน่าประทับใจ

แต่ถึงแม้ผู้กำกับอาจจะอยากสร้างหนังแนว FEEL GOOD โลกแห่งความเป็นจริงก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาทำหนังสารคดีแบบนั้นได้ และหนังเรื่องนี้ก็กลายเป็นหนังที่ FEEL BAD ในที่สุด เพราะเมื่อผู้กำกับติดตามถ่ายทำชีวิตคนกลุ่มนี้ไปเรื่อยๆ เราก็ค่อยๆรับรู้ว่าปัญหาในดินแดนแห่งนั้นมันยุ่งยากซับซ้อน หนักหนา และน่าท้อใจอย่างสุดๆเพียงไร และในที่สุดหนังสารคดีที่เปิดฉากด้วย “ความหวังอันสดใส” เรื่องนี้ ก็ต้องจบลงด้วย “ความสิ้นหวัง” อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้

ดิฉันคิดว่านี่แหละคือเสน่ห์อย่างนึงของสารคดี เพราะถ้าหากมันเป็นเรื่องแต่ง ผู้กำกับคงจะสามารถยัดเยียดความ FEEL GOOD เข้าไปในหนังได้โดยง่าย และอาจจะหาทางออกง่ายๆบางอย่างเพื่อให้ตัวละครมีความหวังในชีวิตต่อไป แต่ในการกำกับหนังสารคดีนั้น มันยากกว่าเยอะที่จะ “โกง” ความรู้สึกของบุคคลที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้ากล้อง

--JAY-JAY JOHANSON นักร้องชาวสวีเดน เคยร้องเพลงชื่อ SHE DOESN’T LIVE HERE ANYMORE ด้วยค่ะ ชอบเพลงนี้มากๆ เพลงของเขาเหมาะสำหรับคนที่ชอบ PORTISHEAD, LAMB, LOU RHODES, COCTEAU TWINS (ROBIN GUTHRIE สมาชิกวง COCTEAU TWINS มาเล่นกีตาร์ให้ JAY-JAY JOHANSON ในบางเพลง)
http://www.darling.se/nr37/jayjay/bild.jpg
http://www.alwaysontherun.net/jay2.jpg
http://www.tasteofindie.com/photos/2005-08-30-JayJayJohanson/Jay_Jay_Johanson_002.jpg


ดูมิวสิควิดีโอเพลงนี้ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=awxnfagxdxQ

ชอบเพลงนี้ในระดับ A+
ชอบมิวสิควิดีโอในระดับ A (ชอบฉากแมวกระโจนเข้าหาชายหนุ่ม)

1.ปกอัลบัม TATTOO (1998) ของ JAY-JAY JOHANSON
http://www.amazon.com/Tattoo-Jay-Jay-Johanson/dp/B000025NX0/ref=pd_bxgy_m_img_b/002-1152430-7830408
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B000025NX0.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1116078488_.jpg

2.ปกอัลบัม POISON (2000) ของ JAY-JAY JOHANSON
http://www.amazon.com/Poison-Jay-Jay-Johanson/dp/B00004SX1M/sr=8-1/qid=1165832652/ref=pd_bbs_sr_1/002-1152430-7830408?ie=UTF8&s=music
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B00004SX1M.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1116079772_.jpg

3.ปกอัลบัม PROLOGUE: BEST OF THE EARLY YEARS 1996-2002 (2004)
http://www.amazon.com/Prologue-Best-Early-Years-1996-2002/dp/B0001TZW3K
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B0001TZW3K.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1115798236_.jpg

4.ปก WHISKEY (2005)
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B000025NQS.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1116137953_.jpg

5.ปกอัลบัม RUSH (2005) ของ JAY-JAY JOHANSON
http://www.amazon.com/Rush-Jay-Johanson/dp/B000AMUL8Y
http://www.dustygroove.com/images/products/j/johans_jayj_rush~~~~~_101b.jpg


BLOG ของ JAY-JAY JOHANSON
http://www.myspace.com/jayjayjohanson

ใน BLOG นี้มีเพลง ONLY FOR YOU, ESCAPE (FEATURING ROBIN GUTHRIE) และ IT WOULD BE EASY


--ต้องกราบขอบคุณน้อง merveillesxx มากค่ะที่ให้ลิงค์ข้อมูลเกี่ยวกับชาวญี่ปุ่นที่ถูกจับเป็นตัวประกันในอิรัก ลองเข้าไปอ่านดูแล้ว น่าสนใจมากๆเลยค่ะ



อันนี้เป็นบทสัมภาษณ์ NORIAKI IMAI ชายหนุ่มวัย 18 ปีที่เคยถูกจับเป็นตัวประกันในอิรักในเดือนเม.ย.ปี 2004 เขาบอกว่าช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตไม่ใช่ช่วงที่เขาถูกจับเป็นตัวประกัน แต่เป็นช่วงที่เขากลับมาถึงญี่ปุ่นแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาอยากฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นถึงแม้เขารอดชีวิตมาจากอิรักได้
http://news.bbc.co.uk/1/hi/programmes/panorama/4634921.stm

นักข่าว: Um, looking back on it now, on your experience, what was the worst moment for you?

NORIAKI IMAI: After I returned to Japan. After I returned to Japan, that was the worst part. We had no freedom at all until the press conference on July 30th. It was awful. We were only allowed to go out 4 times. When I returned to Sapporo on April 21st, I genuinely wanted to commit suicide. When I think back on it now, it seems rather strange, but When I think back on it now, it seems strange really, what made me feel like that, it's really strange, but I really do think that I wanted to die then.

รูปของ NORIAKI IMAI
http://news.bbc.co.uk/nol/shared/spl/hi/pop_ups/04/asia_pac_japanese_hostages_in_iraq/img/2.jpg
http://graphics10.nytimes.com/images/2004/04/15/international/15cnd-iraq.3.184.jpg

YUMIKO YOSHIOKA

--เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้ไปดูคอนเสิร์ตของ KOICHI SHIMIZU ที่หอกลาง จุฬา ก็เลยถือโอกาสสำรวจดูหนังสือในหอสมุด แล้วพบว่ามีหนังสือสองเล่มนี้อยู่ด้วย

1.หนังสือเกี่ยวกับผลงานการประพันธ์ของ ALAIN ROBBE-GRILLET และ MICHEL BUTOR
http://www.kirjasto.sci.fi/butor.htm

2.PROUST AT THE MOVIES
http://www.amazon.com/Proust-Studies-European-Cultural-Transition/dp/0754635414/sr=1-2/qid=1165812687/ref=sr_1_2/002-1152430-7830408?ie=UTF8&s=books

หนังสือเล่มนี้พูดถึงภาพยนตร์ที่สร้างจากบทประพันธ์ของ MARCEL PROUST ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์ของ RAOUL RUIZ, VOLKER SCHLOENDORFF, CHANTAL AKERMAN

หนังเรื่อง SWANN IN LOVE (1984, VOLKER SCHLOENDORFF) ที่สร้างจากบทประพันธ์ของ PROUST มีวางขายแล้วในรูปแบบดีวีดี ถ้าเข้าใจไม่ผิด ALAIN DELON รับบทเป็นเกย์ในหนังเรื่องนี้
http://www.amazon.com/gp/product/B00020VZUW/imdb-adbox/
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B00020VZUW.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1084994234_.jpg

พูดถึง KOICHI SHIMIZU แล้วก็รู้สึกดีใจมาก เพราะเมื่อวานนี้หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจลงบทสัมภาษณ์เขาด้วย กรี๊ดดดดดด ดีใจจังเลย


ตอบน้อง zm

--ขอให้น้องได้แต่งงานกับหนุ่มหล่อใน 4 ประเทศนี้โดยเร็ววันนะคะ

1.BELGIUM

2.CANADA

3.NETHERLANDS

4.SPAIN

สี่ประเทศนี้รวมทั้งแอฟริกาใต้อนุญาตให้เกย์แต่งงานกันได้แล้วค่ะ และมีอีกหลายประเทศที่อนุญาตให้จดทะเบียนกันได้ แต่ไม่เรียกว่าเป็นการแต่งงาน
http://en.wikipedia.org/wiki/Same-sex_marriage

Civil unions, domestic partnerships or registered partnership offer varying amounts of the benefits of marriage, which are available in: Andorra, Argentina, Brazil, Croatia, Czech Republic, Denmark, Finland, France, Germany, Iceland, Israel, Luxembourg, Mexico, New Zealand, Norway, Portugal, Slovenia, Sweden, Switzerland, some regions in Italy and the United Kingdom.

ไม่รู้ข้อมูลใน WIKIPEDIA เชื่อถือได้หรือเปล่า แต่ก็อ่านไว้ก่อนแล้วกัน เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการหาผัว

ดูลิสท์รายชื่อของแต่ละประเทศได้ที่

http://en.wikipedia.org/wiki/Category:Marriage%2C_unions_and_partnerships_by_country


--พูดถึงฝันที่เป็นลางบอกเหตุ ก็นึกถึงเพื่อนผู้หญิงคนนึง สมมุติว่าเธอชื่อ “กิ๊ก้า” เธอฝันว่าเธอนอนอยู่ในมุ้งกับคุณปู่ แล้วอยู่ดีๆเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าคุณปู่ตายไปแล้วนี่นา แล้วเขาจะมานอนอยู่กับเธอได้ยังไง เธอก็เลยวิ่งออกจากมุ้งเพื่อหนีคุณปู่ ปรากฏว่าคุณปู่ก็ลุกขึ้นมาวิ่งไล่ตามเธอ เธอวิ่งหนีไปจนถึงชายหาด และวิ่งลงทะเลไป ปรากฏว่าเธอสามารถวิ่งบนผิวน้ำได้ เธอก็เลยวิ่งบนผิวทะเลไปเรื่อยๆ แต่คุณปู่ก็ยังคงตามมาอย่างไม่ลดละ และเขาก็วิ่งใกล้เธอเข้ามาเรื่อยๆ และกำลังจะเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อเธอ แต่ฉับพลันทันใดนั้นก็มีพระพุทธรูปยักษ์โผล่ขึ้นมากลางทะเลเพื่อมาขวางกั้นมือของคุณปู่ไม่ให้ไปคว้าเธอมาได้สำเร็จ

พอกิ๊ก้าตื่นขึ้นมา เธอก็เล่าความฝันนี้ให้ครอบครัวฟัง ครอบครัวก็เลยคิดว่าควรจะไปทำบุญที่วัดกัน แต่ขณะที่ครอบครัวนี้ขับรถจะไปทำบุญกันที่วัด รถก็ประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงจนทำให้น้องชายของกิ๊ก้าได้รับบาดเจ็บ

เหตุการณ์ครั้งนั้นก็เลยทำให้คนเชื่อกันว่า ความฝันของกิ๊ก้าน่าจะเป็นลางบอกเหตุว่าครอบครัวของเธอกำลังจะมีเคราะห์หนัก แต่ถ้าหากคิดในอีกแง่นึง ถ้าหากกิ๊ก้าไม่ฝันเรื่องนี้ ครอบครัวของเธอก็อาจจะไม่ต้องเดินทางไปทำบุญจนประสบอุบัติเหตุก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากมองตามหลักเหตุผลแล้ว ก็เลยไม่แน่ใจว่า ความฝันของกิ๊ก้าช่วยบรรเทาเคราะห์ให้กับครอบครัวนี้ หรือเป็นต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวประสบเคราะห์กรรมกันแน่ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่า ถ้าหากกิ๊ก้าเลือกไม่ไปทำบุญ ครอบครัวของเธอจะไม่ประสบเคราะห์ใดๆเลย หรือครอบครัวของเธอจะประสบเคราะห์หนักกว่าเดิม

แต่ดิฉันมีแนวโน้มเชื่อถือในเรื่องที่ไม่มีเหตุผลรองรับ เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยตัดสินใจลงจากรถแท็กซี่คันนั้นในครั้งนั้น เพราะดิฉันกลัวว่าความฝันของดิฉันอาจจะเป็นลางบอกเหตุว่าถ้าหากดิฉันนั่งรถต่อไป ดิฉันอาจจะถูกฆ่าตาย


--เห็นน้องทำงานเสิร์ฟ ไม่รู้ว่าน้องกับเพื่อนๆพนักงานได้ดูหนังเรื่อง WAITING (2005, ROB MCKITTRICK, A-) แล้วยังจ้ะ พี่แนะนำให้น้องดูหนังเรื่องนี้ประกอบกับการทำงานเสิร์ฟจ้ะ ฮ่าๆๆๆๆ

พี่เองก็เคยทำงานเสิร์ฟเหมือนกันค่ะ แต่ทำงานเสิร์ฟที่ร้านอาหาร/บาร์เกย์แห่งนึงในกรุงเทพ กิจกรรมที่เพื่อนๆเด็กเสิร์ฟร้านนี้ชอบทำก็คือลูบๆคลำๆ, จับ, ขยำลูกค้าที่หน้าตาหล่อๆ ฮิๆๆๆๆ

ส่วนกมลกับถวัลย์นั้นเดาว่าคงเป็นกมล ทัศนาญชลี กับถวัลย์ ดัชนี
http://www.era.su.ac.th/ArtDatabase/ArtistPhoto/A000002.jpg

SELF-PORTRAIT (2512-2523) ของกมล ทัศนาญชลี
http://www.thaiartproject.org/CAPTION/kamol04-l.jpg

มีดของถวัลย์ ดัชนี (2545)
http://www.thaiartproject.org/CAPTION/tawan1-l.jpg
http://www.thaiartproject.org/CAPTION/tawan2-l.jpg

เป็นงานที่ได้รับความบันดาลใจจากรูปทรงของกรงเล็บ จะงอยปากเหยี่ยวและกรามของเสือลายเมฆ ตัวด้ามทำจากเขี้ยวฮิปโปโป สะท้อนให้เห็นถึงความดิบและสัญชาตญาณตามธรรมชาติของสัตว์ป่า


--รายละเอียดของโปรแกรมหนังวันเสาร์ที่จะถึงนี้ที่ภัทราวดีเธียเตอร์ ข้อมูลจากเว็บไซท์ของ THAI FILM FOUNDATION

http://www.thaifilm.com/newsDetail.asp?id=225

ขอเชิญร่วมงาน ดูหนังริมน้ำ 1: คืนแห่งหนังสั้นและสื่อผสม
สถาบัน SAE (Digital Film Program), โครงการ Moviemiento และ มูลนิธิหนังไทยฯ ร่วมกับภัทราวดีเธียร์เตอร์ ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมชมงาน ดูหนังริมน้ำ 1: คืนแห่งหนังสั้นและสื่อผสม (Studio 9 Moving Arts Part 1: Wave) ในค่ำคืนวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคมนี้ เวลาตั้งแต่ 17.30 น.

โดยภายในงาน จะมีการจัดฉายหนังสั้น 3 โปรแกรม โดยจะเริ่มต้น เวลา 18.00 น. จะเป็นการฉายหนังสั้นจากมูลนิธิหนังไทยฯ ที่มีชื่อโปรแกรมว่า “หนังเงียบ ไม่มีปาก ไม่มีเสียง” (Spoken Silence) โดยโปรแกรมนี้จะเป็นหนังสั้น 5 เรื่อง ที่ผู้กำกับร่วมกันถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของอันเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน

Silence in D Minor (ชลิดา เอื้อบำรุงจิต)

The Duck Empire Strike Back (ณัฎฐ์ธร กังวาลไกล)

จดหมายจากความเงียบ (ปราบต์ บุญปาน)

สาม - สูญ (อโนชา สุวิชากรพงษ์)

จำเลยรัก (สัณห์ชัย โชติรสเศรณี)

หลังจากนั้น เวลา 19.00 น. จะเป็นโปรแกรม Moviemiento ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมผู้คนและวัฒนธรรมที่หลากหลาย เข้าด้วยกันโดยใช้สื่อภาพยนตร์เป็นหลัก โดยโปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมที่เดินทางไปฉายตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก และนี้ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แวะมาฉายที่เมืองไทย ในงานนี้

และโปรแกรมสุดท้ายของงาน จะเริ่มในเวลา 21.00 น. เป็นรายการหนังสั้นผลงานของสถาบัน SAE ซึ่งเป็นสถาบันที่สอนเกี่ยวกับการผลิตภาพยนตร์ระดับโลก ปัจจุบันมีสาขาอยู่ 48 แห่ง ใน 22 ประเทศทั่วโลก โดยสถาบันแห่งนี้มีความโดดเด่นในเรื่องของการทำเสียง และบันทึกเสียงเป็นอย่างยิ่ง ในคราวนี้สถาบันได้นำเอาผลงานชิ้นเอกจำนวน 9 ชิ้น เพื่อมาจัดฉายโชว์ งานนี้เสียค่าใช้จ่ายเข้าชมทั้ง 3 โปรแกรม เพียง 100 บาท ท่านสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ภัทราวดีเธียร์เตอร์ หมายเลข 02-4217287-8

คุณปราปต์ บุนปานเคยมาแสดงความเห็นไว้ในเว็บบอร์ด BIOSCOPE ด้วยค่ะ อ่านความเห็นของเขาได้ที่
http://www.bioscopemagazine.com/web2006/webboard/index-in.php?id=44308
(ความเห็นหมายเลข 45101)

--ดูรูปจากการแสดงละครเวทีเรื่อง ตงฟางปุ๊ป้าย กับ ไอ้แอ๊ดได้ที่กระทู้นี้ค่ะ
http://www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/C4952417/C4952417.html
http://www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/C4952417/C4952417-6.jpg


--เมื่อวันเสาร์ได้ไปดูหนังสารคดีเรื่อง SPACE OF DESIRE (2005, DAVID CHOW, B+) ที่ FLIP CAFE หนังมีทั้งส่วนที่เป็นสารคดี และส่วนที่เป็นเรื่องแต่ง รู้สึกชอบส่วนที่เป็นเรื่องแต่งมาก มันดูน่ารักดี แต่ส่วนที่เป็นสารคดีดูแล้วค่อนข้างน่าเบื่อเล็กน้อย เพราะสิ่งที่แต่ละคนพูดไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ แต่ดู “อากัปกิริยา” ของคนพูดแล้วก็เพลินดี

ชอบ “นายแบบล่ำบึ้ก” ใน SPACE OF DESIRE มากเลยค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร เพราะข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้หาได้ยากมาก
http://www.thestandard.com.hk/weekend_news_detail.asp?pp_cat=40&art_id=5472&sid=5382537&con_type=1&d_str=20051112

ส่วนวันอาทิตย์ได้ไปดูการแสดง BUTOH ของ THE FIRST GENERATION การแสดงแบ่งออกเป็นสองส่วน ซึ่งได้แก่

1.BEFORE THE DAWN (EXCERPT) (A+++++)

CHOREOGRAPHY BY YUMIKO YOSHIOKA

ส่วนนี้แสดงกันที่ดาดฟ้า มองเห็นท้องฟ้าโล่งกว้างเป็นฉากหลังประกอบ การแสดงดูขลังมาก เป็นผู้หญิงร่ายรำเพียงคนเดียว ดูแล้วทำให้เกิดจินตนาการว่า ถ้าหากปีศาจ KAYAKO จาก JU-ON (TAKASHI SHIMIZU) ไต่บันไดลงมาเจอกับ YUMIKO YOSHIOKA แล้วล่ะก็ ยัย KAYAKO คงต้องรีบคลานหนีกลับขึ้นบันไดไปแทบไม่ทัน เพราะลีลาของคุณ YUMIKO YOSHIOKA มันเฮี้ยนกว่ามากๆ

ขณะที่ดูหนังผีชุด JU-ON ดิฉันมักจะรู้สึกว่า KAYAKO เป็นผีที่ปราบไม่ได้ แต่ตอนนี้คิดว่ายังไงๆเสีย คุณ YUMIKO นี่จะต้องสยบผี JU-ON ได้อย่างแน่นอน (ฮา)

YUMIKO YOSHIOKA
http://www.ne.jp/asahi/butoh/itto/yumiko/yumiko-top.jpg
http://www.ne.jp/asahi/butoh/itto/yumiko/p-iki2.jpg
http://www.ne.jp/asahi/butoh/itto/yumiko/p-iki1.jpg
http://www.ne.jp/asahi/butoh/itto/yumiko/p-dappi2.jpg
http://www.ne.jp/asahi/butoh/itto/yumiko/p-dappi1.jpg
http://www.ne.jp/asahi/butoh/itto/yumiko/p-yoin2.jpg
http://www.ne.jp/asahi/butoh/itto/yumiko/p-yoin1.jpg


2.KOTOHOGI (CELEBRATION) (A+++++)

CHOREOGRAPHY BY KOICHI TAMANO + HIROKO TAMANO

มี DANCERS หลายคนมาเต้นในการแสดงนี้ ซึ่งรวมถึง SONOKO PROW, SAIFAH TANTHANA (ผู้กำกับ “หญิงเปรย”) และ SINEENADH KEITPRAPAI ซึ่งเคยกำกับละครเวทีเรื่อง ปริศนากาเหว่า, ละครหุ่นของคณะละครยายหุ่น, หิ่งห้อย, Venus’s Party

การแสดงนี้ก็ดูขลังมากไม่แพ้การแสดงชุดแรก ชอบฉากที่ HIROKO TAMANO ร่ายรำพร้อมกับสองสาวอย่างมากๆ เพราะยัยสองสาวนี้ดูพิศวงมาก


KOICHI TAMANO
http://www.sfgfta.org/grants_images/fundall/2002update_dance.jpg

ANNE CHARLOTTE ROBERTSON

SCREENOUT PAGE 164
http://xq28.net/s/viewtopic.php?p=192221#192221

ตอบน้อง MATT

อิจฉาน้องมากค่ะที่ได้เรียนกับ JAMES BENNING รู้สึกว่าที่อเมริกามีอาจารย์สอนภาพยนตร์ที่สุดยอดมากมายหลายคน อย่างเช่น

1.CAVEH ZAHEDI ผู้กำกับ I AM A SEX ADDICT (2005, A+)

ถ้าเข้าใจไม่ผิด คุณไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง BUNGALOWZEN: THE AMERICAN TRILOGY (2004, A+) ก็ได้เรียนหนังสือกับ CAVEH ZAHEDI ด้วย

เข้าไปดูบล็อกของคุณไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ได้ที่นี่ค่ะ
http://www.bungalowzen.blogspot.com/


2.DANIEL EISENBERG ผู้กำกับ SOMETHING MORE THAN NIGHT (2003, A+) และ PERSISTENCE (1997)
http://www.imdb.com/name/nm0251973/

เขาอยู่ชิคาโก้ และเป็นอาจารย์สอนคุณอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ด้วยเหตุนี้กระมังหนังของ DANIEL EISENBERG จึงได้มาเปิดฉายในกรุงเทพทั้งสองเรื่อง ถือเป็นบุญตาของชาวกรุงเทพเป็นยิ่งนัก


3.ULA STOECKL ผู้กำกับ THE SLEEP OF REASON (1984, A++++++++++)

ผู้กำกับหญิงชาวเยอรมันคนนี้ได้ทำงานเป็นอาจารย์ที่ฟลอริดา รู้สึกว่าเธอจะหยุดสร้างหนังไปตั้งแต่ปี 1992 ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เดาว่าหนังแนวเฮี้ยนๆของเธอน่าจะหาทุนสร้างยากพอสมควร

เว็บไซท์ของ ULA STOECKL อยู่ที่นี่ค่ะ
http://www.ula-stoeckl.com/

รายละเอียดเกี่ยวกับ THE SLEEP OF REASON
http://www.ula-stoeckl.com/Film-Seiten/17_Der_Schlaf_E.html

Sleep Of Reason by Ula Stoeckl is the subtle self-determination of one woman, who represents all women: the fight of Dea, representing Medea the goddess, against the rest of the world, against her unfaithful husband, against her immature daughters, against society's lacking comradeship and against the entire pharmaceutical industry.
This woman (Ida di Benedetto) kills them all: the daughters, the rival, herself.

นักดูหนังบางคนใน SENSES OF CINEMA จัดให้ THE SLEEP OF REASON เป็นหนึ่งในสิบหนังที่เขาชอบที่สุดในชีวิตด้วยค่ะ
http://www.sensesofcinema.com/contents/top_tens/archive00.html#phokaew


--เห็นรายชื่อบทความแต่ละบทความในหนังสือ CRITICAL CINEMA แล้วแทบร้องกรี๊ด เพราะเป็นบทความที่น่าอ่านสุดๆ น่าเสียดายที่เขาขายราคาเล่มละประมาณ 1,000 บาท อิจฉานักศึกษาใน UNIVERSITY OF CALIFORNIA จริงๆที่สามารถอ่านนิตยสารนี้ได้ฟรี

รายชื่อบทความใน CRITICAL CINEMA เล่ม 2
http://ark.cdlib.org/ark:/13030/ft2v19n825/

1.Robert Breer
http://filmref.com/notes/archives/robert_breer/index.html

อันนี้เป็นรูป CROSS COUNTRY (1950, ROBERT BREER)
http://www.artline.com/galleries/aaron/paintings/breer/Breer_Untitled_1950.jpg


2.Michael Snow

อันนี้เป็นรูปผลงานศิลปะของ MICHAEL SNOW
http://www.jackshainman.com/dynamic/images/detail/Michael_Snow_Installation_View_of_Solar_Breath_Northern_Caryati_446_539.jpg

2.1 SOLAR BREATH (NORTHERN CARYATIDS) (2002, MICHAEL SNOW)
http://www.jackshainman.com/dynamic/images/detail/Michael_Snow_Solar_Breath_Northern_Caryatids_2002_447_539.jpg

2.2 POWER OF TWO (2003, MICHAEL SNOW)
http://www.jackshainman.com/dynamic/images/detail/Michael_Snow_Powers_of_Two_2003_109_539.jpg

2.3 SSHTOORRTY (2005, MICHAEL SNOW)
http://www.jackshainman.com/dynamic/images/detail/Michael_Snow_Sshtoorrty_2005_video_still_252_539.jpg

2.4 FLASH! (MICHAEL SNOW)
http://www.jackshainman.com/dynamic/images/detail/Michael__Snow_Flash_5_518.jpg


3.Jonas Mekas

3.1 รูปจาก AS I WAS MOVING AHEAD OCCASIONALLY I SAW BRIEF GLIMPSES OF BEAUTY (2000, JONAS MEKAS)
http://www.logosjournal.com/JONAS01.JPG

3.2 รูปจาก HE STANDS IN THE DESERT COUNTING THE SECONDS OF HIS LIFE (1986, JONAS MEKAS)
http://www.logosjournal.com/JONAS3.jpg
http://www.logosjournal.com/JONAS5.jpg

3.3 รูปจาก NOTES FOR JEROME (1981, JONAS MEKAS)
http://www.logosjournal.com/JONAS4.jpg

3.4 รูปจาก REMINISCENCES OF A JOURNEY TO LITHUANIA (1972, JONAS MEKAS)
http://www.logosjournal.com/JONAS02.JPG


4.Bruce Baillie
เคยดูหนังของเขาบางเรื่อง เท่าที่พอนึกออกตอนนี้ก็มี
4.1 ALL MY LIFE (1966, A+++++)
4.2 CASTRO STREET (1966, A+++++)
4.3 TUNG (1966, A+++++)
4.4 QUICK BILLY (1971, A)
http://www.canyoncinema.com/B/Baillie_Billy2.JPG
4.5 THE P-38 PILOT (1990, A-)

เว็บไซท์ของ BRUCE BAILLIE
http://www.brucebaillie.net/


5.Yoko Ono


6.Anthony McCall
http://www.anthonymccall.com/
รูปจากผลงานของ ANTHONY MCCALL

6.1 LINE DESCRIBING A CONE (1973)
http://www.anthonymccall.com/gfx/340/r715a.jpg

6.2 LONG FILM FOR FOUR PROJECTORS (1974)
http://www.anthonymccall.com/gfx/340/LFF4P-Photograph01(col)web.jpg

6.3 DOUBLING BACK (2003)
http://www.anthonymccall.com/gfx/340/DB-Photo03.jpg

6.4 BETWEEN YOU AND I (2006)
http://www.anthonymccall.com/gfx/340/yai_install.jpg

6.5 ปกหนังสือ ANTHONY MCCALL: THE SOLID LIGHT FILMS AND RELATED WORKS
http://ec1.images-amazon.com/images/P/0810123185.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1105033904_.jpg
Anthony McCall's Line Describing a Cone has long been a classic of American avant-garde cinema, but because it was most often screened in dusty Soho lofts in the past, the piece was little known to a wider audience. The inclusion of Line Describing a Cone,1973 in the Whitney Museum of American Art exhibition "Into the Light: the Projected Image in American Art, 1964-1977" has opened McCall's work to a great deal of interest both in America and abroad. While curators are only now beginning to mine the history of the projected image in art, McCall continues to be one of the most important of the Post-Minimalist artists to use projected film.


7.Andrew Noren

7.1 รูปจาก TIME BEING (2001, ANDREW NOREN) ซึ่งมีความยาว 55 นาที
http://www.hi-beam.net/views/jpegs2001/noren2.gif

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ANDREW NOREN ได้ที่
http://www.hi-beam.net/instants/
Cinema isn't materials.It's refined, imaginative seeing...darkness made visible.It existed long before modern devices, since the first opening of the firstanimal eyelid...scene one, take one

When solar light (Sun's thought?) and our own light-of-mind meet, whateverthe medium, cinema is possible.This is a spiritual transaction.

7.2 รูปจาก THE ADVENTURES OF THE EXQUISITE CORPSE
http://www.roberthaller.com/firstlight/noren.jpg


8.Anne Robertson
http://www.thestranger.com/seattle/Content?oid=5672

LIFE JUST BREAKS your heart, and Anne Robertson's work is life itself. Since 1979, Anne Robertson, a diagnosed manic-depressive and borderline schizophrenic, has kept a Super-8 diary. The subjects of this now-labyrinthine work are those you might expect to find in any diary: the colors of the day, the growth of favorite plants (Robertson is an avid organic gardener), visits from friends. A drive to a relative's house or a walk through the woods may occupy a whole day; fractured close-ups of Robertson talking to the camera may telescope months at a time.

One year-long record deals largely with the death of her niece; the resultant meditation--culminating in Robertson asserting her right to grieve--is among the most moving cinematic works I've ever seen.

รูปจากภาพยนตร์ของ ANNE CHARLOTTE ROBERTSON
8.1 SUBWAYS (1976)
http://www.cinedoc.org/IMG/IMP/OEUVRE/PHOTOS/RACsubways.jpg

8.2 GOING TO WORK (1981)
http://www.cinedoc.org/IMG/IMP/OEUVRE/PHOTOS/RACgoingto.jpg

8.3 FIVE YEARS DIARY – REEL 31 NIAGARA FALLS (1983)
http://www.cinedoc.org/IMG/IMP/OEUVRE/PHOTOS/RACniagara.jpg

8.4 FIVE YEARS DIARY – REEL 80 EMILY DIED (1994)
http://www.cinedoc.org/IMG/IMP/OEUVRE/PHOTOS/RACemily.jpg


9.James Benning


10.Lizzie Borden
อ่านเรื่องของ LIZZIE BORDEN ได้ที่
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=11017


11.Ross McElwee
เคยดูหนังของเขาแค่เรื่องเดียว ซึ่งก็คือ SHERMAN’S MARCH (1986, A+)
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B0001ADAS8.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1077295043_.jpg

*****ตอนนี้หนังของ ROSS MCELWEE มีขายในรูปแบบดีวีดีแล้วถึง 6 เรื่อง*****
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B000B5XPK6.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1125420387_.jpg


12.Su Friedrich (ผู้กำกับหนังเลสเบียน)
http://www.sufriedrich.com/
เคยดูหนังของซู ฟรีดริชแค่เรื่องเดียว ซึ่งก็คือ SINK OR SWIM (1990, A)
http://www.sufriedrich.com/images/film_images/sink02.jpg

*****ตอนนี้หนังของ SU FRIEDRICH มีขายในรูปแบบดีวีดีแล้วถึง 13 เรื่อง*****
สั่งซื้อดีวีดีของเธอได้ที่
http://www.outcast-films.com/


รูปจากผลงานของ SU FRIEDRICH

12.1 SEEING RED (2005)
http://www.sufriedrich.com/images/film_images/red8.jpg

12.2 THE HEAD OF A PIN (2004)
http://www.sufriedrich.com/images/film_images/hp4.jpg

12.3 THE ODDS OF RECOVERY (2002)
http://www.sufriedrich.com/images/film_images/odds10.jpg

12.4 HIDE AND SEEK (1996)
http://www.sufriedrich.com/images/film_images/hide06.jpg

12.5 DAMNED IF YOU DON’T (1987)
http://www.sufriedrich.com/images/film_images/damned02.jpg


13.Anne Severson (On Near the Big Chakra) Laura Mulvey (On Riddles of the Sphinx) Yvonne Rainer (On Privilege)

If Yvonne Rainer's films explore “the ways in which art was undemocratic, ideological, fraught with problems related to power and authority, and decidedly mediated”, she had already undertaken an exploration of such issues within her choreographic work.
http://www.sensesofcinema.com/contents/directors/03/rainer.html

รูปจากผลงานการเต้นระบำของ YVONNE RAINER
http://www.thinkdance.org/TH-DNCE/mss/rainer.htm

13.1 PARTS OF SOME SEXTETS (1965)
http://www.thinkdance.org/TH-DNCE/mss/Trio-1.jpg

13.2 TRIO A (1966)
http://www.thinkdance.org/TH-DNCE/mss/rainer.jpg

13.3 THE MIND IS A MUSCLE (1966)
http://www.thinkdance.org/TH-DNCE/mss/Trio-4.jpg

ส่วนภาพยนตร์เรื่อง NEAR THE BIG CHAKRA (1972) ของ ANNE SEVERSON นั้นเป็นการสำรวจอวัยวะเพศหญิงของมนุษย์ 37 คน ที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 56 ปี

AGNES VARDA พูดถึง NEAR THE BIG CHAKRA ว่า

“The impression made by this film, its impact - has been enormous. ... This film is a new approach to our femininity."


14.Anne Severson (Alice Anne Parker)


15.Trinh T. Minh-ha
มีหนังสือเกี่ยวกับเธออยู่ในห้องสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์


16.Godfrey Reggio
เคยดูหนังของเขาแค่เรื่องเดียว ซึ่งก็คือ NAQOYQATSI (B+)


17.Peter Watkins
อ่านเรื่องราวของ PETER WATKINS ได้ใน SCREENOUT หน้า 130
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=3437&start=3225

หรือในหนังสือ PETER WATKINS ที่หอกลาง จุฬา

THINGS THAT MAKES YOU GO HMMM

ตอบคุณ THE AESTHETICS OF LONELINESS
จาก comment ใน ENTRY นี้
http://celinejulie.blogspot.com/2006/12/bloody-war-in-skytrain.html#comments

พอคุณตั้งข้อสังเกตถึงหนังเรื่อง CRASH (PAUL HAGGIS, A+) ดิฉันก็เห็นด้วยเลยค่ะ เพราะหนังเรื่อง CRASH ดูเหมือนจะสะท้อนความหงุดหงิดในใจคน และความหงุดหงิดดังกล่าวก็พร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ

ความรู้สึกของดิฉันเวลาเดินตามท้องถนนในกรุงเทพก็เหมือนกับในหนังเรื่อง CRASH ค่ะ ตอนแรกดิฉันไม่ทันได้คิดถึงหนังเรื่องนี้ เพราะพอพูดถึง CRASH ปุ๊บ ดิฉันก็จะนึกถึงประเด็นเรื่อง “เชื้อชาติ” เป็นลำดับแรก แต่กรุงเทพไม่ได้มีปัญหาเรื่อง “เชื้อชาติ” แบบใน CRASH

อย่างไรก็ดี สิ่งที่กรุงเทพไม่ได้ต่างไปจาก CRASH ก็คือความหงุดหงิดในใจคนค่ะ เพราะมีหลายๆครั้งดิฉันก็รู้สึกอยากจะตบตีกับคนหลายๆคนตามท้องถนนเพราะพฤติกรรมของพวกเขา หรือเพราะความเป็นคนมีโทสะแรงของดิฉันเอง หลายๆครั้งดิฉันรู้สึกดีใจมากที่ตัวเองรอดชีวิตกลับบ้านได้ โดยไม่ได้มีเรื่องทะเลาะบาดหมางกับใคร

เมื่อเร็วๆนี้ได้ไปเที่ยวเสม็ด รู้สึกมีความสุขมาก พอกลับมากรุงเทพก็ยังมีความสุขอยู่ จนกระทั่งต้องมากระแทกคนตอนลงจากรถไฟฟ้านี่แหละ ถึงรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเอง “ได้ลงจากสวรรค์ กลับมาอยู่ในนรกตามเดิมแล้ว”

สิ่งที่ทำให้หงุดหงิด

1.ความหงุดหงิดที่ดิฉันมักพบบ่อยๆอีกที่นึง ก็คือที่โรงหนังนี่แหละค่ะเพราะชอบมีคนมาถีบเบาะ อันนี้เจอบ่อยมาก ประมาณเดือนละครั้ง สองครั้งล่าสุดเจอตอนไปดูหนังเรื่อง GRIZZLY MAN ในเทศกาลภาพยนตร์ เป็นผู้หญิงฝรั่งมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ แล้วก็ถีบเบาะดิฉันอย่างแรง ดิฉันเลยหันไปด่ามัน มันก็เลยหยุด

อีกครั้งนึงเจอตอนไปดูหนังเรื่อง HAPPY FEET เป็นกลุ่มหญิงสาวชาวไทย ถีบไม่แรง ดิฉันเดาว่าเธอคงสลับขาไขว่ห้างไปมาเป็นระยะๆ โดยไม่ระวังพนักเก้าอี้ข้างหน้า คราวนี้ดิฉันลองหันไปมองหน้ามันก่อน มันก็เลยหยุด


2.อีกเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดก็คือเรื่องคนแซงคิว โดยเฉพาะเวลาจ่ายเงินซื้อของใน 7-ELEVEN สมัยเมื่อหลายปีก่อนดิฉันเจอบ่อยมาก ดิฉันก็เลยต้องปรับปรุงตัวด้วยการยืนขาถ่างๆ ขวางพื้นที่ไว้ไม่ให้อีหน้าไหนแทรกตัวเข้ามาแซงคิวได้


3.ผู้หญิง 2-3 คนที่คุยกันแล้วก็เดินไปด้วยกันอย่างช้าๆ กีดขวางทางจราจร

การเดินช้าๆไม่ใช่ความผิดแต่อย่างใด แต่ถ้าหากคุณเดินช้า คุณก็ควรจะเดินเรียงเดี่ยว ไม่ใช่เดินขวางทางเดินจนหมด ไม่เหลือพื้นที่ให้คนแซงขึ้นมาได้โดยง่าย

แต่อันนี้ทำให้ดิฉันหงุดหงิดแค่เล็กน้อย เพราะสามารถแก้ปัญหาได้ง่ายๆด้วยการพูดขอทางแล้วก็เดินแซงขึ้นไป แต่ที่หงุดหงิดก็เพราะจริงๆแล้วดิฉันขี้เกียจพูดขอทางบ่อยๆค่ะ แหะๆๆๆ


4.แม่ค้า

เมื่อหลายปีก่อน มีอยู่พักนึงดิฉันพยายามอุดหนุนร้านของคนไทย ด้วยการซื้อสินค้าจากร้านของคนไทยคนนึงในซอย แต่พอขอถุงพลาสติกเพื่อใส่ไอติม เจ้าของร้านก็ให้ถุงพลาสติกมาพร้อมกับตะโกนด่าไล่หลังว่าซื้อไอติมแค่อันเดียวก็ต้องเอาถุงพลาสติกด้วย ดิฉันก็เลยไม่กลับไปซื้อร้านนั้นอีกเลยตลอดชีวิตนี้


--นอกจาก CRASH แล้ว มีหนังอีกเรื่องนึงที่สะท้อนสภาพจิตของคนที่กำลังจะระงับอารมณ์โกรธไม่อยู่ได้ดีพอสมควร หนังเรื่องนั้นคือ THE CRISIS (1992, COLINE SERREAU, A-) ซี่งทำออกมาในแนวตลกขบขัน หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้ชายคนนึงที่ถูกภรรยาทิ้งและถูกไล่ออกจากงาน และเมื่อเขาเดินทางไปหาใคร เขาก็พบว่าทุกคนที่เขาพบต่างก็มีปัญหาชีวิตที่เคร่งเครียดจวนเจียนจะระเบิดอยู่มะรอมมะร่อกันทั้งนั้น
http://www.imdb.com/title/tt0104025/

When Victor finds out one morning that his wife had left him and that she had forgotten to at least buy milk for the Kids, he finds that things can only get worse. Having also been fired from his job on the very same day, he ends up searching through a list of friends and family for someone who will listen to his grief and give some advice.


LA CRISE นำแสดงโดย VINCENT LINDON, PATRICK TIMSIT, ZABOU

อันนี้เป็นรูปของ VINCENT LINDON จาก LA CONFIANCE REGNE (2004, ETIENNE CHATILIEZ)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/21/09/18392620.jpg