THE SWEETEST FEELING (2012, Pea Panuvatvanich, 21 min, A+30)
spoilers alert
สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้
1.มันทำให้นึกถึงประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเองในวัยเด็ก เราอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์รุนแรงเหมือนอย่างนางเอกของเรื่อง แต่หนังเรื่องนี้ก็ทำให้เรานึกถึงชีวิตสมัยมัธยมต้นของตัวเราเองมากๆ ทั้งเรื่องการทาเล็บและเรื่องการที่แม่พาเราเข้าวัดเพื่อไปปฏิบัติธรรม ตอนเราอยู่มัธยมต้นเราเคยไปเข้าโรงเรียนสอนศาสนาในวันอาทิตย์ และเราก็ตกหลุมรักเด็กหนุ่มคนนึงที่มาเรียนธรรมะในชั้นเรียนเดียวกับเรา เขาหล่อดี ตอนนั้นน่าจะเป็นประมาณปี 1986 ตอนนี้เวลาผ่านมา 25 ปีแล้ว เราก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง มีลูกมีเมียไปแล้วยัง คิดถึงเขาจังเลย ฮ่าๆๆ
สรุปได้ว่า สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากๆในหนังเรื่องนี้ก็คือการถ่ายทอดความรู้สึกของเด็กวัยนั้นออกมาได้ดีมากๆ ทั้งความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเรื่องเพศ, ความรู้สึกอยากแต่งตัว อยากทำอะไรแร่ดๆ, ความรู้สึกรำคาญพ่อแม่ของตัวเอง, ความรู้สึกสงสัยในพ่อแม่ของตัวเอง และการเรียนรู้กับอารมณ์ทางเพศของตัวเอง ที่สามารถเกิดขึ้นได้แม้แต่ในวัด
2. การสร้างบรรยากาศในหนังก็น่าสนใจมากนะ มันมีการสร้างบรรยากาศหลอนๆที่น่าสนใจดีน่ะ ซึ่งเราว่ามันเกิดจาก
2.1 ดนตรีประกอบ ที่สร้างความหลอนในระดับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการให้ผู้ชมได้ยินเพียงแค่ดนตรีประกอบในหลายๆฉาก แทนที่จะได้ยินเสียงตัวละครพูด มันทำให้ผู้ชมเริ่มดำดิ่งลงสู่โลกภายในจิต/อารมณ์/ความรู้สึกของตัวละคร แทนที่จะอยู่กับโลกความจริงภายนอก
2.2 การตัดต่อสลับเวลากัน มีช็อตบางช็อตที่เหมือนเป็นภาพความทรงจำจากช่วงเวลาต่างๆในหัวของนางเอกประดังประเดเข้ามาในเวลาเดียวกัน หรือมีการตัดภาพใบหน้าของแม่จากช่วงเวลาอื่นแทรกเข้ามา การตัดภาพแบบนี้ก็ช่วยสร้างอารมณ์หลอนได้ดี และช่วยพาผู้ชมเข้าสู่โลกภายในของตัวละคร
2.3 การจัดแสงและการจัดฉากในฉาก masturbation เราว่าฉากนี้น่าสนใจดี คือแทนที่มันจะถ่ายออกมาแบบ realistic มันกลับทำออกมาในทางตรงกันข้าม มีการจัดแสงที่ทำให้นึกถึงละครเวที มีแก้วน้ำที่ทำให้ฉากดู surreal มากยิ่งขึ้น
3.ชอบการเปลี่ยนโฟกัสของภาพจากระยะไกลมาเป็นระยะใกล้ด้วย มันดูติดตาดีในสองฉาก ฉากนึงก็คือฉากที่นางเอกมองหญิงสาวเซ็กซี่ในวัด กล้องโฟกัสที่หน้าหญิงสาวคนนั้นในระยะไกล แล้วก็เปลี่ยนมาโฟกัสที่หน้านางเอกในระยะใกล้ แล้วก็อีกช็อตในฉากจบ ที่กล้องโฟกัสไปที่ภาพนางเอกในวัยไร้เดียงสาในระยะไกล แล้วก็เปลี่ยนมาโฟกัสที่ตุ๊กตาที่มีรอยชำรุดในระยะใกล้ หนังนำเสนอภาพการสูญเสียความไร้เดียงสาและความเปลี่ยนแปลงของนางเอกออกมาได้ดีตรงจุดนี้ คือผ่านทางการเปลี่ยนโฟกัสของภาพ และผ่านทางการกระทำของนางเอก (การถอดวิกผม) ที่ตรงข้ามกับช่วงต้นเรื่อง ดูแล้วก็นึกถึงหนังเรื่องอื่นๆ ที่อาจจะใช้ voiceover ในทำนองที่ว่า "หลังจากเหตุการณ์นั้น ฉันก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป" หรือ "หลังจากฤดูร้อนครั้งนั้น จิ๋มฉันก็บานไม่หุบอีกตลอดไป" หรืออะไรทำนองนี้ แต่หนังเรื่องนี้เลือกใช้วิธีการนำเสนอที่ดูลึกซึ้งกว่า
4.ชอบที่หนังไม่ได้สั่งสอนศีลธรรมคนดูนะ และก็เหมือนจะไม่ได้ด่าใครด้วย หนังเหมือนกับจะบอกว่าความเงี่ยนของนางเอก, ผู้หญิง, พระ ในเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่หนังก็ไม่ได้นำเสนอภาพตัวละครฝั่งตรงข้าม (แม่, พระหนุ่มที่เป็นนักเทศน์) ในทางลบ การดูหนังเรื่องนี้ก็เลยไม่ได้ให้บทสรุปง่ายๆ หรือให้คติสอนใจแบบหนังไทยทั่วไป แต่ทำให้เรานึกถึงประสบการณ์จริงในชีวิตเราแทน
5.การแสดงก็น่าพอใจมากนะ นางเอกเล่นดี ผู้หญิงเซ็กซี่ในวัดก็เล่นได้อารมณ์อีโรติกมากๆ เธอเหมือนนางปีศาจงูที่มายั่วยวนพระหนุ่ม และเธอสามารถแสดงความเซ็กซี่ได้ทางแววตากับรอยยิ้ม โดยไม่ต้องบิดตูดหรือทำลีลาอะไรมากมาย ส่วนตัวคุณแม่ก็เล่นได้ดีมาก ชอบใบหน้าของเธอขณะที่แสดงความไม่พอใจเล็กน้อยตอนที่เห็นเล็บตีนนางเอกหรืออะไรทำนองนี้ ใบหน้าแบบที่ซ่อนความรู้สึกหงุดหงิดไว้ภายใน ไม่ได้แสดงอะไรออกมามากมาย มันทำให้นึกถึงพวกตัวละครในหนังของ Ingmar Bergman ฮ่าๆๆ ส่วนตัวประกอบที่มาฟังเทศน์ในวัดบางคนก็หน้าตาบ้านๆดีมาก
6.การจัดองค์ประกอบภาพก็ดีนะ ฉากที่เห็นชัดคือฉากที่นางเอกกับแม่นั่งอยู่ห่างจากกันขณะฟังเทศน์ แล้วมีหัวของผู้หญิงแก่คนนึงคั่นอยู่ตรงกลาง แล้วก็ชอบภาพตอนต้นเรื่องด้วย ที่นางเอกส่องกระจกสองบานในขณะเดียวกัน การถ่ายเงาสะท้อนของนางเอกในฉากนั้นทำออกมาได้สวยและน่าสนใจดี
7.โครงสร้างของเรื่องที่มีการซ้ำฉากตอนต้นกับตอนกลางเรื่องก็น่าสนใจดีนะ โดยเฉพาะเวลาดูหนังเรื่องนี้แบบแบ่งเป็นสองตอนในยูทูบ ฮ่าๆๆ คือพอเราดูส่วนที่สอง แล้วเห็นฉากตอนต้นคลิปที่เหมือนกับส่วนแรก เราจะงงๆว่าเราเข้าไปดูคลิปอันเดิมหรือเปล่า
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเวลาหนังเรื่องนี้ฉายโรงรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง การซ้ำฉากตอนกลางเรื่องมันจะส่งผลกระทบต่อคนดูยังไงบ้าง
ถ้าให้เราฉายหนังเรื่องนี้ควบกับหนังเรื่องอื่นๆ เราก็คงเลือกฉายควบกับ DIRTY WHITE (2012, Anca Oproiu, Romania), VALERIE AND HER WEEK OF WONDERS (1970, Jaromil Jires, Czechoslovakia) และ LIME (2001, Nathilde Overrein Rapp, Norway) เพราะหนังสามเรื่องนี้นำเสนอเรื่องของเด็กสาววัยรุ่นกับความรู้สึกทางเพศออกมาได้อย่างหลอนๆดี และอยากฉายควบกับช่วงกลางของหนังเรื่อง AMER (2009, Helene Cattet + Bruno Forzani) ด้วย เพราะช่วงกลางของ AMER ถ่ายทอด moment ของเด็กสาวคนนึงขณะเดินผ่านหนุ่มๆแก๊งมอเตอร์ไซค์ ช่วงกลางของหนังเรื่องนี้แทบไม่มีเนื้อหาหรือเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย แต่มันอาศัยการตัดต่อภาพแบบรุนแรงมากๆจนทำให้เกิดอารมณ์อีโรติก เราก็เลยนึกถึง THE SWEETEST FEELING ในแง่ที่มันมีการสร้างบรรยากาศที่น่าสนใจมากๆในเรื่อง คืออย่างที่บอกว่าบรรยากาศในหนังเรื่องนี้มันหลอนแบบแปลกๆน่ะ มันไม่อีโรติกนะ แต่มันเหมือนกับมีความรัญจวนใจหรือกลิ่นไอของอารมณ์ทางเพศลอยแทรกจางๆอยู่ในสายลมหรือปะปนอยู่ในความชื้นสัมพัทธ์ในหนังเรื่องนี้