Saturday, May 31, 2025

ICT 2025 DAY 2

 

เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2025 เราได้ดูหนังสั้นของ ICT SILPAKORN ไป 13 เรื่อง มีหนังที่เราชอบสุด ๆ (หรือชอบในระดับ A+30) อยู่ 6 เรื่อง เรียงตามลำดับความชอบในตอนนี้ได้ดังนี้

 

1. M-ARMORY มัมโมริ (2025, สตรีรัตน์ ดวงเนตร, A+30)

 

2. IN THE MEMORY OF FIREWORK ต่อให้ดาราดับแสง (2025, อนัญญาตาวีร์ ไหมใจดี, A+30)

 

3. A MAN กระจั๊ด สู้ ฟู๋ (2025, ชยพัทธ์ บุญเจริญ, A+30)

 

4. THE PUNK-ASS ANGEL (2025, จิตติภูมิ ประกอบชัย, A+30)

 

5. MY ALLY (2025, ธมน วีรพิรุฬโรจน์, A+30)

 

6. THE DISGUST มุมมองขยาด (2025, สรพล สิงหเสนี, A+30)

++++++

 

นึกว่าประสบการณ์ FINAL DESTINATION

 

คือวันนี้เราเดินอยู่ในห้องอพาร์ทเมนท์ของเรา แล้วเท้าของเราก็ไปเหยียบอะไรก็ไม่รู้ แข็ง ๆ คม ๆ เกิดเป็นแผลเลือดสาด เลือดไหลนองเต็มพื้นห้อง เราก็เลยหยิบวัตถุคม ๆ ที่บาดนิ้วเท้าเราออกมาดู ก็พบว่ามันเป็นวัตถุใส ๆ เหมือนเป็นพลาสติกคม ๆ ชิ้นเล็กนิดเดียว แต่ทำให้เลือดไหลออกจากเท้าเยอะมาก ๆ

 

เราก็งงมาก ๆ ว่านี่มันคือวัตถุอะไร เราตอบไม่ได้ว่ามันมาจากไหน แล้วมันมาอยู่ที่พื้นห้องเราได้อย่างไร พิศวงมาก ๆ

 

คือนี่เราอยู่ในจุดที่ปลอดภัยที่สุดแล้วนะ คืออยู่ในห้องอพาร์ทเมนท์ของเรา แล้วเราก็ไม่ได้เดินซุ่มซ่ามอะไรเลยด้วย คือวัตถุใส ๆ ชิ้นเล็ก ๆ อย่างนี้ ถ้ามันวางอยู่บนพื้นห้องเรา เราก็คงไม่สามารถสังเกตเห็นมันได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน

 

ก็เลยนึกถึง FINAL DESTINATION มาก ๆ คือเราอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว และเราก็ไม่ได้ทำตัวประมาท ทำตัวเลินเล่ออะไรเลยด้วย เราแค่เดินในห้องของเราตามปกติ แต่เราไม่สามารถหนีพ้นความซวย ความตาย หรือมัจจุราชได้จริง ๆ มันมาในแบบที่เราคาดไม่ถึงได้เสมอ

 

Thursday, May 29, 2025

16 YEARS AGO

 “16 ปีแห่งความหลัง”

 

วันนี้วันที่ 29 พ.ค. 2025 เราก็เลยขอจดบันทึกไว้เล็กน้อยว่า วันนี้คือวันครบรอบ 16 ปีที่คุณพชร์ อานนท์ ผู้กำกับภาพยนตร์ชุด “หอแต๋วแตก” กับคุณ Ratchapoom Boonbunchachoke ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง A USEFUL GHOST ผีใช้ได้ค่ะ (2025) เคยโคจรมาเจอกัน เพราะผู้กำกับภาพยนตร์ queer ทั้งสองท่านนี้เคยโคจรมาเจอกันในงาน “กางจอ 16” ที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬา ในวันที่ 29 พ.ค. 2009 หรือเมื่อ 16 ปีที่แล้ว

 

คือถ้าหากเราจำไม่ผิด ในวันที่ 29 พ.ค. 2009 ได้มีการจัดงาน “กางจอ 16” ที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬา แล้วในวันนั้นทางผู้จัดงานได้เชิญคุณ “พชร์ อานนท์” มาร่วมเป็นวิทยากรในงานด้วย

 

ซึ่งเมื่อการฉายหนังจบลง คุณพชร์ อานนท์ก็ได้แสดงความเห็นต่อหนังเรื่องต่าง ๆ ที่ได้ดูในงาน “กางจอ 16” ซึ่งรวมถึงหนังเรื่อง BODILY FLUID IS REVOLUTIONARY ของเหลวที่หลั่งจากกาย  (2009, Ratchapoom Boonbunchachoke) และคุณพชร์ก็บอกว่าชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ จนอยากเห็นหน้าผู้กำกับหนังเรื่องนี้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ขอให้ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ลุกขึ้นยืนแสดงตัวด้วย คุณ Ratchapoom ก็เลยลุกขึ้นยืนแสดงตัว แล้วคุณพชร์ก็แสดงความเห็นต่าง ๆ ต่อหนังเรื่องนี้ต่อไป แต่เราจำรายละเอียดไมได้แล้วนะว่าคุณพชร์แสดงความเห็นว่าอย่างไรบ้าง จำได้แต่ว่าเขาชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ

 

ไม่รู้ว่ามีใครอยู่ในเหตุการณ์นั้นบ้างคะ มีใครจำรายละเอียดอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง หรือถ้าหากเราจำอะไรผิดไป ก็ทักท้วงมาได้นะคะ

 

ส่วนรายชื่อภาพยนตร์ที่เราได้ดูในงาน “กางจอ 16” ในวันที่ 29 พ.ค. 2009 นั้น เราเคยแปะไว้ในเว็บบอร์ด bioscope และใน blog ของเรา เราก็เลยนำมาแปะไว้ในที่นี้ด้วยเลยแล้วกัน

 

(เกรดตอนนั้นคะแนนเต็มคือ A+ นะ ไม่ใช่ A+30 เหมือนในปัจจุบัน)

 

 

FILMS SEEN ON FRIDAY, MAY 29, 2009

Thai short films shown in Kang Jor 16

1.BODILY FLUID IS REVOLUTIONARY (2009, Ratchapoom Boonbunchachoke, A+++++++++++++++)
ของเหลวที่หลั่งจากกาย (2009, รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค, A+++++++++++++++)

2.PARAPARUMPULIANPULIAN (2009, Pawara Chatchawalpreecha, A+++++)
ปราปรัมปุเลี่ยนปุเลี่ยน (2009, ปวรา ชัชวาลย์ปรีชา, A++++)

3.WHAT IS MY ART? (2009, Tosapol Tiptinagorn, animation, A+)
WHAT IS MY ART? (2009, ทศพล ทิพย์ทินกร, animation, A+)

4.A PRINCESS WITH LONGAN EYES (JAO YING TA LUMYAI) (2009, Chanokporn Chootikamoltham, animation, A+)
เจ้าหญิงตาลำไย (2009, ชนกพร ชูติกมลธรรม, animation, A+)

5.STAINED (2009, Manusrawee Wongpradoo, A+)
STAINED (2009, มนัสรวี วงศ์ประดู่, A+)

6.MAHJONG (2009, Napa Sasaluck, A+)
มาห์จอง (2009, นภา ศศลักษณ์, A+)

7.GRANDMA CHA WANTS TO BE SURREAL (2009, Saowapak Suriyawongpaisarn, A+)
ยายชาอยากเซอร์เรียล (2009, เสาวภาคย์ สุริยะวงศ์ไพศาล, A+)

8.SOAP OPERA (NANG NAM NAO) (2009, Garutploy Thamgaew, A+)
หนังน้ำเน่า (2009, กะรัตพลอย ถ้ำแก้ว, A+)

9.ULTRAMAN (2009, Napaswon Sirisukon, A+)
ยอดมนุษย์ (2009, นภัสวรรณ ศิริสุคนธ์, A+)

10.SUCK ME RAW (DUDE CHAN DIB DIB) (2009, Patanun Chinjaroenchai, A+)
ดูดฉันดิบดิบ (2009, พัทธนันท์ ชิ้นเจริญชัย, A+)

11.MY PRESENT (2009, Thitipun Techakitrungrueng, A+)
ของขวัญ (2009, ฐิติพันธ์ เตชะกิจรุ่งเรือง, A+)

12.TAPIAN RIM KLONG (2009, Natapol Boonpragob, A+)
ตะเพียนริมคลอง (2009, ณฐพล บุญประกอบ, A+)

13.THROUGHGETHER (2009, Sasigarn Pootawon, documentary, A)
THROUGHGETHER (2009, ศศิกาญจน์ พุทธวรรณ, documentary, A)

14.THE WORLD OF DARKNESS (LOKE HANG KWAM MUED) (2009, Supatcha Tipsena + Tosapol Tiptinagorn, A)
โลกแห่งความมืด (2009, สุภัชา ทิพเสนา, ทศพล ทิพย์ทินกร, A)

15.LIFE OF THE PIE LOVER: JOURNEY TO THE TOP OF THE MOUNTAIN (2009, Chawagarn Cheewaroongnapakul, animation, A)
LIFE OF THE PIE LOVER: JOURNEY TO THE TOP OF THE MOUNTAIN (2009, ชวกานต์ ชีวรุ่งนภากุล, animation, A)

16.SUCK 3/2 SEED (2009, Siwawoot Sewatanont, A-)
SUCK 3/2 SEED (2009, ศิววุฒิ เสวตานนท์, A-)

17.I LOVE YOU DAVID! (2009, Wirunun Chitdecha, B+ )
หัวใจไซด์โป้ง (2009, วิรุนันท์ ชิตเดชะ, B+ )

18.CREEP BY RADIOHEAD (2009, Thanaporn Hirunlertprasert, B )
CREEP BY RADIOHEAD (2009, ธนพร หิรัญเลิศประเสริฐ, B )

Tuesday, May 27, 2025

AN OLD UNKNOWN WOMAN I HAVE MET A HUNDRED TIMES IN MY LIFE

 

พออ่านที่คุณ Faris เขียนเกี่ยวกับเรื่อง “ห้างคนแก่” มันก็เลยไปสะกิดความทรงจำบางอย่างของเราที่เราลืมไปแล้ว ซึ่งพอมานึกย้อนดูอีกที มันก็ประหลาดเหมือนกัน

 

คือเรากับกลุ่มเพื่อน ๆ มัธยมที่สนิทกัน มักจะนัดพบปะเพื่อคุยกันที่ food court ของห้างมาบุญครองตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา เพราะใน food court มันเป็นสถานที่ที่พวกเราสามารถนั่งคุยกันได้นานติดต่อกันหลายชั่วโมงโดยไม่มีใครมาไล่ นั่งคุยกันได้ตั้งแต่ 16.00-21.00 น.น่ะ หรือคุยกันได้นาน 5 ชั่วโมงเลย โดยไม่ต้องจ่ายเงินซื้ออาหารแพง ๆ ด้วย แค่ซื้ออาหารข้าวแกงหรืออาหารอะไรถูก ๆ มากิน แล้วถ้าหากใครรู้สึกหิวน้ำหิวขนมหลังจากคุยกันไปนานหลายชั่วโมง คนนั้นก็สามารถก็เดินไปซื้อน้ำซื้อขนมแล้วกลับมานั่งเมาธ์มอยกันต่อได้

 

แต่พอพวกเราเรียนจบชั้นมัธยม แล้วกระจายตัวกันไปเรียนกันคนละมหาลัย พวกเราก็เลยเปลี่ยนสถานที่นัดพบปะกันไปเรื่อย ๆ คือบางสัปดาห์ก็นัดเมาธ์มอยกันที่ food court ห้างมาบุญครอง, บางสัปดาห์ก็นัดเมาธ์มอยกันที่ food court ของเดอะมอลล์งามวงศ์วาน และบางสัปดาห์ก็นัดเมาธ์มอยกันที่ food court ของเซ็นทรัลลาดพร้าว คือในช่วงทศวรรษ 1990 มันมี food court อยู่ที่ชั้น 3 ของห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวน่ะ แต่ปัจจุบันนี้พื้นที่ตรงนั้นมันกลายเป็นร้านอาหารต่าง ๆ ไปแล้ว

 

สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือว่า หลาย ๆ ครั้งพวกเรามักจะเจอ “หญิงชราใส่หมวกไหมพรม” คนเดียวกันตาม food court ต่าง ๆ น่ะ เป็นหญิงชราคนไทยตัวเล็ก ๆ ที่ใส่หมวกไหมพรม เธอมากินอาหารคนเดียวนะ ไม่ได้มีกลุ่มเพื่อนฝูงมาด้วย

 

คือตอนแรกพวกเรามักจะเจอเธอที่ food court ของห้างมาบุญครอง ซึ่งพวกเราก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเรามักจะสิงสถิตกันอยู่ที่ food court ของห้างมาบุญครอง และพวกเราก็คิดว่า หญิงชราคนนี้ก็คงจะทำแบบเดียวกับพวกเรา พวกเราคิดว่าหญิงชราคนนี้คงมีบ้านอยู่แถวนี้หรืออะไรทำนองนี้ หญิงชราคนนี้ก็เลยมาสิงสถิตอยู่ food court ของห้างมาบุญครองเหมือนกับพวกเรา

 

แต่พอพวกเราย้ายไปนัดเจอกันที่ food court ของเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน พวกเราก็เจอหญิงชราคนเดิมน่ะ ใส่หมวกไหมพรมเหมือนเดิม เดินย่องแย่งย่องแย่งเหมือนเดิม พวกเราก็เลยงงมาก ว่าทำไมถึงยังเจอหญิงชราคนนี้อีก ทำไมหญิงชราคนนี้ถึงออกตระเวนทัวร์ตาม food court ในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ในกรุงเทพเหมือนพวกเรา

 

แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดมากหรืออะไรนะ เพียงแต่สงสัยว่าทำไมมัน “บังเอิญ” จังเลย ขนาดพวกเราย้ายจากมาบุญครองมาเดอะมอลล์ งามวงศ์วานแล้ว ก็ยังเจอหญิงชราคนเดิมอีก

 

พวกเรายังคงเจอหญิงชราคนนี้เป็นประจำใน food court ของห้างมาบุญครองในช่วงปลายทศวรรษ 1990 แต่พอเข้าสู่ช่วงทศวรรษ 2000 พวกเราก็ไม่ได้นัดเจอกันอีก มีแต่เราที่ไปกินข้าวตามลำพังใน food court ของห้างมาบุญครองเป็นครั้งคราว เพราะเราพักอยู่แถวราชเทวี แต่เราก็ไม่ได้เห็นหญิงชราตัวเล็กใส่หมวกไหมพรมคนนี้อีก

 

เราก็เลยลืมเรื่องของหญิงชราคนนี้ไปเลย เพราะเหมือนเราไม่ได้เห็นเธอมานาน 25 ปีแล้ว และดูจากอายุของเธอ เราว่าเธอน่าจะอายุราว 70-80 ปีแล้วในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เราก็เลยคิดว่าสังขารของเธอคงไม่เอื้ออำนวยให้เธอมาสิงสถิตในห้างตามลำพังได้อีก

 

พอเราได้อ่านสิ่งที่คุณ Faris เขียน มันก็เลยไปสะกิดความทรงจำของเราที่มีต่อ “หญิงชราที่เราไม่รู้จัก” คนนี้ขึ้นมา เหมือนเราเคยเจอเธอมาแล้วประมาณ 100 ครั้งในชีวืตนี้ เห็นเธอเดินกะย่องกะแย่งอยู่คนเดียวใน food court ห้างมาบุญครองและเดอะมอลล์ งามวงศ์วานในทศวรรษ 1990 (และอาจจะเคยเห็นเธอใน food court ของห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าวและห้างนิวเวิลด์ด้วย แต่เราไม่แน่ใจว่าเราจำถูกหรือเปล่า) แต่เราก็ไม่เคยรู้เลยจนบัดนี้ว่าเธอคือใคร และทำไมพวกเราถึง “บังเอิญ” เจอเธอบ่อย ๆ ตาม food court ของห้างต่าง ๆ ในกรุงเทพ

 

ไม่รู้มีเพื่อนคนไหนในนี้เคยเห็นหญิงชราคนนี้เหมือนกับเราหรือเปล่า หญิงชราใส่หมวกไหมพรมที่มักมากินอาหารตามลำพังใน food court ของมาบุญครองในทศวรรษ 1990

Monday, May 26, 2025

BHOOL CHUK MAAF (FORGIVE MY MISTAKES) (2025, Karan Sharma, India, A+30)

 

BHOOL CHUK MAAF (FORGIVE MY MISTAKES) (2025, Karan Sharma, India, A+30)

 

SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

1. เราเพิ่งได้ดูหนังอินเดียเรื่องนี้ที่เมเจอร์ เอกมัย เป็นหนังที่เราคิดว่าก็มี flaws ร้ายแรงอยู่ และก็คงไม่ใช่ “หนังดี” อะไรมากมาย ตอนแรกเราก็นึกว่าหนังเรื่องนี้คงเป็นเพียงแค่ “หนัง romantic comedy โง่ ๆ” แต่ดูจบแล้วปรากฏว่าหนังเอาหัวใจเราไปเลย ดูแล้วร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง

 

อย่างที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่า เรามักจะไม่อินกับ “หนังโรแมนติก ความรักหนุ่มสาว” โดยเฉพาะหนัง romantic comedy โดยทั่วไปนี่เรามักจะไม่อินเลย และที่แน่ ๆ ก็คือเรามักจะไม่อินกับ “หนังที่พูดถึงความรักความผูกพันระหว่างสมาชิกครอบครัว หนังที่ตัวละครให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัว” อะไรทำนองนี้ คือโดยปกติแล้ว love and family ในภาพยนตร์ไม่ใช่อะไรที่จะทำให้เราร้องห่มร้องไห้กับมันได้

 

เพราะฉะนั้นพอเราดูหนังเรื่องนี้ แล้วตัวละครในหนังเผชิญกับ dilemma อย่างรุนแรง และเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ให้ความสำคัญกับ love and family เป็นลำดับแรก ๆ เราก็เลยตบเข่าฉาดเลย ร้องห่มร้องไห้กับมันไปเลย กรีดร้องสุดเสียง นี่แหละตัวละครแบบที่เราหลงรัก

 

สรุปง่าย ๆ ก็คือว่า “หลักศีลธรรม” ในหนังเรื่องนี้สอดคล้องกับเราอย่างรุนแรงค่ะ และตัวละครในหนังก็ “จัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ” ในแบบเดียวกับที่เราต้องการ เราก็เลยน้ำหูน้ำตาไหล ปลื้มปีติมาก ๆ เหมือนกับว่าเราเฝ้ารอหนังที่มี “ความเชื่อแบบเดียวกับเรา” แบบนี้มานานแล้ว และพอหนังมันตอบโจทย์ของเราตรงนี้ได้อย่างจั๋งหนับ เราก็เลยพร้อมที่จะให้อภัย flaws ร้ายแรงต่างๆ ของหนังได้

 

คือโดยปกติแล้ว เรามักไม่ชอบหนัง “สั่งสอนศีลธรรม” นะ แต่พอเจอหนัง “สั่งสอนศีลธรรม” ที่ยึดหลักศีลธรรมแบบเดียวกับเรา เราก็ให้อภัยมันในทันที 555555

 

2. ดูแล้วนึกถึงทั้ง L’ARGENT (1983, Robert Bresson, France), TWO DAYS, ONE NIGHT (2014, Jean-Pierre Dardenne, Luc Dardenne, Belgium) และ BEST REGARDS TO ALL (2023, Yuta Shimotsu, Japan) ด้วยนะ รู้สึกว่าหนัง 4 เรื่องนี้ฉายควบกันได้

 

คือสถานการณ์ในหนังอินเดียเรื่องนี้มีบางจุดที่ทำให้นึกถึงสถานการณ์ของตัวละครใน TWO DAYS, ONE NIGHT

 

และจุดที่เราชอบที่สุดใน BHOOL CHUK MAAF ก็คือจุดที่เราชอบที่สุดใน L’ARGENT นั่นก็คือหนังสองเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า “คนบางคนอาจจะคิดว่าตัวเองแค่ทำผิด ทำชั่วเล็ก ๆ น้อย ๆ มันไม่เป็นอะไรหรอก แต่เขาหารู้ไม่ว่า สิ่งที่ดูเหมือนเป็นความชั่วเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในสายตาของเขา มันอาจจะสร้างความชิบหายอย่างรุนแรงจนเหลือคณานับได้”

 

และเราว่า BHOOL CHUK MAAF ก็สะท้อนอะไรบางอย่างที่คล้าย ๆ กับ BEST REGARDS TO ALL ด้วย นั่นก็คือหนังทั้งสองเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ความสุขในชีวิตประจำวันของคนเรา บางทีมันแลกมาด้วยความชิบหายของชีวิตคนอื่น แล้วคุณจะตัดสินใจอย่างไร เมื่อเจอสถานการณ์แบบนั้น”

Sunday, May 25, 2025

I A PIXEL, WE THE PEOPLE EPISODE 13: I AM VACCINATED

 

RIP Sebastião Salgado (1944-2025)

 

 เราเคยดูนิทรรศการภาพถ่ายของเขาที่ BACC และเคยดูภาพยนตร์เรื่อง THE SALT OF THE EARTH (2014, Wim Wenders, Juliano Ribeiro Salgado, documentary, A+30) ที่มีตัวเขาเป็น subject

 

RENAISSANCE FANTASY (2025, Suparirk Kanitwaranun, video installation, 8min)

 

ดูในนิทรรศการ SHADOW OF TRIANGLE ที่ชั้น 4 BACC นิทรรศการนี้จะจัดแสดงจนถึงวันที่ 1 มิ.ย.

 

I A PIXEL, WE THE PEOPLE EPISODE 13: I AM VACCINATED (2025, Chulayarnnon Siriphol, video installation, 60min, A+30)

 

เราได้ดูเพียงแค่ episode 1, 2, 3, 4, 6, 7  แล้วก็ข้ามมาดู episode 13 เลย เพราะว่าช่วงที่ผ่านมาเราป่วยโควิด กักตัว 12 วัน ก็เลยทำให้พลาดดูไป 6 episodes

 

ชอบ episode 13 มาก ๆ ตอนนี้เป็นการสำรวจสองสิ่งในสวนลุมพินี โดยสิ่งแรกก็คือ “การชุมนุมทางการเมืองในสวนลุมพินี” และสิ่งที่สองก็คือ “ตัวเหี้ยในสวนลุมพินี” โดยเน้นไปที่การใช้ปลาล่อจับตัวเหี้ยในสวนลุมพินี เพื่อย้ายตัวเหี้ยจำนวนมากมายหลายตัวออกจากสวนลุมพินี แล้วนำไปให้สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า ที่เขาสน จังหวัดราชบุรี

 

ชอบพลังทางการตัดต่อใน episode นี้อย่างรุนแรงที่สุด อยากให้มีอาจารย์สอนภาพยนตร์นำ episode นี้ไปใช้สอนในชั้นเรียน เพื่อสอนเรื่อง “พลังทางการตัดต่อ”

++++++

 

หลังจากที่เราป่วยหนักเพราะโควิดจนต้องกักตัวไปนาน 12 วันในวันที่ 7-18 พ.ค. วันนี้เราก็กลับมาดูหนังในโรงภาพยนตร์ได้ 5 เรื่องแล้ว ค่อยรู้สึกว่าชีวิตเริ่มกลับเข้าสู่สภาพปกติอีกครั้ง

 

ในวันเสาร์ที่ 24 พ.ค. เราได้ดู

 

1. IRMA VEP (1996, Olivier Assayas, France, 99min, A+30)

 

ดูที่ HOUSE รอบ 11.00 น.

 

2. CARMEN (2021, Valeria Buhagier, Malta, 87min, A+25)

 

ดูที่ HOUSE รอบ 13.00 น.

 

3. WHEN WILL IT BE AGAIN LIKE IT NEVER WAS BEFORE? (2023, Sonja Heiss, Germany, 116min, A+30)

 

ดูที่ HOUSE รอบ 15.00 น.

 

4. JIPPIE NO MORE! (2023, Margien Rogaar, Netherlands, 95min, A+20)

 

ดูที่ HOUSE รอบ 17.20 น.

 

5. TEERAK (LÓVE 2) (2024, Jakub Kroner, Slovakia, 101min, B+ )

 

ดูที่ HOUSE รอบ 19.15 น.

 

ดูแล้วนึกถึงกลุ่มหนังที่นำแสดงโดย Steven Seagal 55555

 

จริง ๆ แล้วในวันพุธที่ 21 พ.ค. เราก็เพิ่งดูหนังในโรงภาพยนตร์ไป 4 เรื่อง 555

 

วันนั้นเราดูหนังเรื่อง

 

1. OSHI NO KO: THE FINAL ACT (2024, Smith, Japan, 129min, A+25)

 

ดูที่ Paragon รอบ 11.30

 

2. THE TUTOR พี่วรรณมาสอน (2025, Bhandit Thongdee, A+15)

 

ดูที่ Paragon รอบ 14.00

 

3. SHADOW FORCE (2025, Joe Carnahan, A+25)

 

ดูที่ HOUSE รอบ 16.50

 

4. THE JOLLY FORGERS (2023, Yolande Moreau, France/Belgium, 103min, A+30)

 

ดูที่ HOUSE รอบ 19.00

 ++++++++++

Jafar Panahi ได้รับทั้งรางวัลปาล์มทองจากเทศกาลหนังเมืองคานส์, หมีทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลิน และสิงโตทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เวนิซ เราก็เลยสงสัยว่า มีผู้กำกับภาพยนตร์คนไหนอีกบ้างที่เคยกวาดทั้ง 3 รางวัลนี้มาแล้ว

 

Panahi เคยได้สิงโตทองคำจาก THE CIRCLE (2000, A+30)

เคยได้หมีทองคำจาก TAXI (2015)

และได้ปาล์มทองคำจาก IT WAS JUST AN ACCIDENT (2025)

 

Edit เพิ่ม: มีเพื่อนมาตอบแล้วว่า

 

1. Michelangelo Antonioni

เคยได้หมีทองคำจาก LA NOTTE (1961)

ปาล์มทองคำจาก BLOW-UP (1967)

สิงโตทองคำจาก RED DESERT (1964)

 

2. Robert Altman

เคยได้หมีทองคำจาก BUFFALO BILL AND THE INDIANS, OR SITTING BULL’S HISTORY LESSON (1976, 123min)

ปาล์มทองคำจาก M*A*S*H (1970)

สิงโตทองคำจาก SHORT CUTS (1993)

 

3. Henri-Georges Clouzot

เคยได้หมีทองคำและรางวัลชนะเลิศของคานส์จาก THE WAGES OF FEAR (1953)

เคยได้สิงโตทองคำจาก MANON (1949)

Friday, May 23, 2025

FILM WISH LIST: FILMS DIRECTED BY RODRIGO SOROGOYEN

 

Film Wish List: ตอนนี้อยากดูหนังที่กำกับโดย Rodrigo Sorogoyen เพราะเขาคือประธานของคณะกรรมการที่มอบรางวัลชนะเลิศของสาย Critics’ Week  หรือรางวัล AMI Paris Grand Prize ให้ A USEFUL GHOST (2025, Ratchapoom Boonbunchachoke)

 

หนังเรื่อง THE BEASTS (2022, Rodrigo Sorogoyen, Spain) เพิ่งเข้ามาฉายในกรุงเทพในปี 2023 นะ แต่เราไม่ได้ไปดู เพราะหนังเรื่องนี้เข้ามาฉายในเทศกาลภาพยนตร์สเปนในกรุงเทพในช่วงที่เราเพิ่งผ่าตัดหมอนรองกระดูกเคลื่อน

 

มีใครได้ดู THE BEASTS บ้างแล้วคะ

 

Rodrigo Sorogoyen เคยกำกับหนังเรื่อง

 

1. 8 DATES (2008)

Through eight different dates, all the moments that make up a couple's relationship are covered: the first date, the nerves, the second date, the introduction to family and friends, the changes, the routine, the breakup, and the reunion.

 

2. STOCKHOLM (2013)

A hot-blooded Spaniard engages in a long and interesting conversation with a young woman in an attempt to woo her.

 

3. MAY GOD SAVE US (2016)

Inspectors Velarde and Alfaro must find what appears to be a serial killer. This hunt against the clock will make them realize something they'd never thought about: neither one of them is that different from the killer.

 

4. MADRE (2017)

หนังสั้นเรื่องนี้ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์

While at home in her apartment with her own mother in Spain, a woman gets a phone call from her six-year-old son, who's on holiday in France with his father. Every parent's nightmare ensues.

 

5. THE CANDIDATE (2018)

A Spanish politician whose high-class lifestyle is based on nefarious and illegal business threatens to break his entire party after a newspaper exposes him to the public eye.

 

6. MOTHER (2019)

Ten years have passed since Elena's son, then six years old, has disappeared. Today Elena lives and works at a seaside restaurant until she meets a teenager who reminds her of her missing son.

 

7. THE BEASTS (2022)

An expatriate French couple operate an organic farm in the Spanish countryside but clash with villagers.

 

ใน wikipedia บอกว่า

 

His interest in filmmaking stemmed from the experience of watching Léon: The Professional, which fascinated him.

Tuesday, May 20, 2025

LONG COVID?

 

หนึ่งในหนังคานส์ที่อยากดูอย่างสุดขีดในตอนนี้ คือ SOUND OF FALLING (2025, Mascha Schilinsky, Germany, 149min) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตผู้หญิงสี่คนในแต่ละทศวรรษในบ้านไร่ในเยอรมนี ดูจากโปสเตอร์แล้วสังหรณ์ว่า หนังต้องเข้าทางเราอย่างสุดขีดแน่ ๆ แน่นอนว่าต้องมีการแย่งกันจองกับเพื่อน ๆ ว่าใครจะรับบทเป็นใครในหนังเรื่องนี้

 

ก่อนหน้านี้ Mascha Schilinsky เคยกำกับหนังเรื่อง DARK BLUE GIRL ที่น่าดูอย่างสุดขีดสำหรับเรา เพราะ DARK BLUE GIRL เล่าเรื่องของเด็กหญิงอายุ 7 ขวบที่พยายามอย่างหนักเพื่อทำให้พ่อกับแม่ของเธอเกลียดชังกันเองอย่างรุนแรง

 

ก็ขอเชียร์ให้ SOUND OF FALLING ได้ปาล์มทองนะคะ หรืออย่างน้อยก็ขอให้หนังเรื่องนี้กับ DARK BLUE GIRL ได้เข้ามาฉายในไทยก็พอแล้ว 55555

 

Jordan Mintzer of The Hollywood Reporter commended the film's unique method of storytelling and wrote, "Sound of Falling is arthouse filmmaking with a capital A that will best appeal to patient audiences. They will be rewarded by a work that reminds us how the cinema can still reinvent itself, as long as there are directors like [Mascha] Schilinski audacious enough to try.

++++

 

ช่วง “ชีวิตเราก็เท่านี้”

 

1. วันนี้ไปหาจักษุแพทย์ เพื่อตรวจว่าเราเป็นจอประสาทตาฉีกขาด หรือจอประสาทตาหลุดลอกหรือไม่ ปรากฏว่า จอประสาทตาของเราไม่ได้ฉีกขาด และก็ไม่ได้หลุดลอก แต่หมอตรวจพบ “พังผืดบนศูนย์กลางจอประสาทตา” ทั้งตาซ้ายและตาขวาของเรากรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

 

หมอบอกว่าตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไร เพราะพังผืดบนศูนย์กลางจอประสาทตาของเรามีขนาดเล็ก ตอนนี้ก็แค่มาตรวจพังผืดในลูกตาทุก ๆ 4 เดือน แต่ถ้าในอนาคต พังผืดบนศูนย์กลางจอประสาทตาของเรามีขนาดใหญ่ขึ้น เราก็ต้องผ่าตัดตา ซึ่งการผ่าตัดอันนี้จะเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด

 

ส่วนสาเหตุของการเกิด “พังผืดบนศูนย์กลางจอประสาทตา” นั้น เป็นเพราะว่า “อายุของเราย่างเข้าสู่วัยชรา” ค่ะ มันเกิดจาก “ความแก่” ค่ะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

 

2. การที่เราติดโควิดรอบที่ 4 ในช่วงที่ผ่านมา เรากักตัวไป 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค.จนถึงวันที่ 18 พ.ค. ตอนแรกเรากะจะกักตัวแค่ 10 วัน เพราะเราตรวจ ATK แล้วก็พบว่าเราเหลือขีดเดียวแล้วหลังจากกักตัวครบ 10 วัน แต่ปรากฏว่าในวันที่ 17-18 พ.ค.นั้น เราพบว่าเรายังมีเสมหะอยู่ เราก็เลยกักตัวเพิ่มอีก 2 วัน เพราะเราไม่อยากออกมาดูหนังขณะที่ยังมีเสมหะ

 

เมื่อวานนี้ (วันจันทร์ที่ 19 พ.ค.) เราก็เลยได้ออกมาดูหนังโรงเป็นครั้งแรกในรอบ 13 วัน เราดูหนังโรงไป 3 เรื่อง ตอนแรกเรากะจะดู 4 เรื่อง แต่ปรากฏว่าพอดูครบ 3 เรื่องแล้วเรามีอาการท้องเสีย เราก็เลยรีบกลับบ้านก่อน ไม่ได้ดูเรื่องที่ 4

 

ส่วนหนังโรงที่เราดูไป 3 เรื่องในวันที่ 19 พ.ค.ก็คือ

 

2.1 DORAEMON THE MOVIE: NOBITA’S EARTH SYMPHONY (2024, Kazuaki Imai, Japan, animation, A+30)

 

ดูที่พารากอนรอบ 11.30 น.

 

2.2 HOLY NIGHT: DEMON HUNTERS คนต่อยผี (2025, Lim Dae-hee, South Korea, A+25)

 

ดูที่พารากอนรอบ 14.00 น.

 

2.3 HOME SWEET HOME: REBIRTH (2025, Steffen Hacker, Alexander Kiesl, A-)

 

ดูที่ Terminal 21 รอบ 16.50 น.

 

3. ตอนช่วงที่เราเริ่มเป็นโควิดรอบ 4 ในช่วง 2-3 วันแรกนั้น อาการมันหนักและรุนแรงมาก ๆ จนเราคิดที่จะฆ่าตัวตาย เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะทนอยู่กับสังขารอันผุพังนี้ต่อไปทำไม ในหัวของเรามีแต่ประโยคที่ว่า “ฆ่าตัวตายไปเลยดีกว่า เพราะอยู่ต่อไปก็หาผัวไม่ได้” ในหัวของเรามีแต่ประโยคนี้วนเวียนไปมา

 

แต่เราก็พบว่า เรามีอาการ “สมาธิสั้น” ด้วย คือเหมือนความคิดมันไหลปรู๊ดปร๊าดจากเรื่องนึงไปยังอีกเรื่องนึงอย่างรวดเร็วมาก ๆ คือแทนที่ในหัวของเราจะคิดถึงเรื่องใดเรื่องนึง แล้วจดจ่ออยู่กับเรื่องเดียวกันแล้วคิดลึกลงไปเรื่อย ๆ เหมือนในเวลาปกติ เรากลับพบว่า หัวของเรามันคิดเรื่องนึงได้แค่ราว 1-3 นาที แล้วก็กระโดดไปอีกเรื่องนึง แล้วก็กระโดดไปอีกเรื่องนึง แล้วก็กระโดดไปอีกเรื่องนึง

 

เราก็เลยฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า หรือว่านี่เป็นอาการลองโควิดนะ เพียงแต่มันเป็นอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงที่เรายังระบมจากพิษไข้โควิดในวันแรก ๆ มันไม่ได้เพิ่งมาเกิดขึ้นในช่วงที่เราหายดีจากโควิดแล้ว

 

เราก็เลยปลอบใจตัวเองว่า บางทีนี่อาจเป็นอาการลองโควิดก็ได้ หรือไม่ก็เป็นผลข้างเคียงจากโรคโควิด โรคโควิดมันอาจจะส่งผลกระทบต่อสมดุลร่างกายของเรา ส่งผลกระทบต่อสารเคมีในระบบประสาทของเรา เราก็เลยมีอาการสมาธิสั้นตั้งแต่ในช่วงวันแรก ๆ ที่ติดโควิด และในอินเทอร์เน็ตมันก็เขียนว่า อาการลองโควิดมันรวมถึง “ภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า เครียด” ด้วย เพราะฉะนั้นการที่ในหัวสมองของเรามีแต่ประโยคที่ว่า “ฆ่าตัวตายไปเลยดีกว่า เพราะอยู่ต่อไปก็หาผัวไม่ได้” นี่มันต้องเกิดจากโรคโควิดแน่ ๆ เลย

 

เราก็เลยไม่วิตกกังวลกับประโยคนี้ที่ไหลวนเวียนอยู่ในหัวของเรา เพราะเราเดาว่ามันคงเป็นผลกระทบจากโควิด (หรือจริง ๆ แล้วกูเป็นบ้าคะ 55555)

 

ส่วนอาการสมาธิสั้นตอนนี้เราก็ดีขึ้นมาเล็กน้อยนะ ตอนนี้เราก็เลยต้องฝึกตัวเองให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา เราจะได้ดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างดีขึ้น

 

 

Monday, May 19, 2025

JOAO PEDRO RODRIGUES VS. ALAIN GUIRAUDIE

 

เนื่องจากคุณ Ratchapoom Boonbunchachoke ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร FILMMAKER ว่า “I’m particularly inspired by filmmakers whose works are often described as dreamy – like Manoel de Oliveira, Jacques Rivette, João César Monteiro, Otar Iosseliani, Raúl Ruiz, Eugène Green and Chantal Akerman; and younger queer directors like Alain Guiraudie and João Pedro Rodrigues.

 

เราก็เลยฉวยโอกาสนี้แชร์คลิป “กะหรี่ดำ กะหล่ำดอง” จากปี 2017 อีกครั้ง เพราะในคลิปนี้คุณ Ratchapoom, คุณ Nontouch และคุณ Nattawut ได้ debate กันเกี่ยวกับ Alain Guiraudie and João Pedro Rodrigues 555555

 

ในคลิปนี้มีการพูดถึงหนังเรื่อง

 

1. THE ORNITHOLOGIST (2016, João Pedro Rodrigues)

 

2. STAYING VERTICAL (2016, Alain Guiraudie)

 

3. THE KING OF ESCAPE (2009, Alain Guiraudie)

 

4. STRANGER BY THE LAKE (2013, Alain Guiraudie)

 

5. SITCOM (1998, François Ozon)

 

6. ZERO DARK THIRTY (2012, Kathryn Bigelow)

https://web.facebook.com/jit.phokaew/posts/pfbid0wqytooLLuRo2DZ41uiyYgGbxXnLZQFhCx5XDQrcTZhvyHRVZqHv3U6oCbNEdbr6xl

 

IMAMS GO TO SCHOOL

 

ขอแอบเกาะกระแสความสำเร็จของ Ratchapoom Boonbunchachoke ด้วยการทำลิสท์ว่า นอกจากเราจะเคยดูหนังสั้นที่คุณ Ratchapoom กำกับไปแล้ว 12 เรื่อง เราก็เคยดูภาพยนตร์ที่คุณ Ratchapoom มีส่วนร่วมเขียนบทไปแล้ว 3 เรื่องอีกด้วยนะคะ 55555

 

ภาพยนตร์ 3 เรื่องที่คุณ Ratchapoom มีส่วนร่วมเขียนบท

 

1. LOVE SYNDROME รักโง่ ๆ (2013, Pantham Thongsang)

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10202432222230222&set=a.10201975069921700

 

2. BAD BOYZ BAND (2023, Chantana Tiprachart)

เด็กกว่าแล้วไง ก็หัวใจมัน “I ROCK YOU”

https://web.facebook.com/photo?fbid=10231227845262801&set=a.10230383642238253

 

3. ZI MUI (2023, Baz Poonpiriya)

ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่

https://web.facebook.com/watch/?v=1020925742330773

 

จริง ๆ แล้วคุณ Ratchapoom มีส่วนร่วมเขียนบทละครโทรทัศน์ด้วยอีกหลายเรื่อง แต่เราไม่ได้ดู 55555 ลองดูรายชื่อละครโทรทัศน์ที่คุณ Ratchapoom มีส่วนร่วมเขียนบทได้ที่

https://www.imdb.com/name/nm6478277/?ref_=fn_all_nme_1

 

ส่วนรายชื่อหนังสั้น 12 เรื่องของคุณ Ratchapoom ที่เราเคยดูนั้น เราเคยเขียนไว้ที่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10237540665119352&set=a.10236654765052404

 

เราเคยพูดถึงหนังของคุณ Ratchapoom ในคลิป “ดูหนังกับมาเหม่ยจำบัง 5”
https://www.youtube.com/watch?v=eBc5xNkYbSM

 

ใครมีข้อมูลหรือความเห็นอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “ผลงานการเขียนบท” ของคุณ Ratchapoom ก็ comment มาได้นะคะ

 

ว้าย ตีสาม 3D: เรือนหอคนตาย (2012) เหรอคะ 55555

++++++++

 

Milad Alami เคยกำกับหนังเรื่อง NOTHING CAN TOUCH ME (2011) ซึ่งหนังเรื่องนั้นติดอันดับ 3 ในลิสท์หนังสุดโปรดที่เราได้ดูในปี 2012 ดีใจมาก ๆ ที่เราได้เห็นชื่อของผู้กำกับคนนี้อีก

++++++++

 

IMAMS GO TO SCHOOL (2010, Kaouther Ben Hania, France, documentary, 75min, A+30)

 

1. ตอนนี้ Kaouther Ben Hania ถือเป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์หญิงคนโปรดของเราคนนึงไปแล้ว เพราะตอนนี้เราได้ดูหนังของเธอไป 3 เรื่อง และชอบทั้ง 3 เรื่องนี้อย่างสุด ๆ เลย ทั้ง IMAMS GO TO SCHOOL ที่เปิดฉายให้ดูออนไลน์กันฟรี ๆ ในช่วงนี้, THE BLADE OF TUNIS (2013, Tunisia) และ BEAUTY AND THE DOGS (2017, Tunisia)

 

ก่อนหน้านี้ตูนิเซียก็เคยมีผู้กำกับหญิงที่น่าสนใจอีกคนนึง ซึ่งก็คือ Moufida Tlatli ที่กำกับ THE SILENCES OF THE PALACE (1994) ที่เคยเข้ามาฉายในโรงภาพยนตร์ในห้างบิ๊กซี ราชดำริ โดย Moufida คนนี้เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของตูนิเซียในช่วงหลังการปฏิวัติในตูนิเซียด้วย แต่น่าเสียดายที่ Moufida Tlatli เสียชีวิตไปแล้วในปี 2021 เพราะโรคโควิด-19

 

2. IMAMS GO TO SCHOOL เป็นสารคดีที่ตามถ่ายทำเหล่าอิหม่ามต่าง ๆ ในฝรั่งเศสในช่วงปลายทศวรรษ 2000 โดยในตอนนั้นฝรั่งเศสออกกฎหมายที่บังคับให้อนุศาสนาจารย์ (chaplain) และอิหม่ามเหล่านี้ต้องมาเรียนวิชา SECULARISM (ฆราวาสนิยม) ด้วย เพื่อที่อิหม่ามเหล่านี้จะได้เข้าใจกฎหมายและค่านิยมของฝรั่งเศส แต่ปรากฏว่าไม่มีมหาวิทยาลัยไหนในฝรั่งเศสรับสอนอิหม่ามเหล่านี้ มีแค่ “สถาบันคาทอลิกแห่งกรุงปารีส” เท่านั้นที่รับสอนอิหม่ามเหล่านี้ อิหม่ามเหล่านี้ก็เลยต้องมานั่งเรียนวิชา SECULARISM ในสถาบันคาทอลิก

 

3. หนังเต็มไปด้วยอะไรต่าง ๆ ที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส และค่านิยมต่าง ๆ ของฝรั่งเศส

 

Moments ที่เราชอบมากในหนังก็มีเช่น

 

3.1 ฉากที่นักเรียน (อิหม่าม) ขอให้ครูหยุดพักการสอนเป็นเวลา 10 นาที เพื่อที่อิหม่ามจะได้ไปละหมาด ซึ่งครูก็ตอบตกลง โดยบอกว่า “secularism เป็นเรื่องของการ compromise”

 

3.2 ฉากที่อิหม่ามถกเถียงกันว่า กรุงเมกกะอยู่ทางทิศไหน เพื่อจะได้ละหมาดได้ถูกต้อง

 

3.3 ฉากที่อิหม่ามบางคนบอกว่า คอร์สเรียนพวกนี้เหมาะสำหรับ foreign imams ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องกฎหมายและวัฒนธรรมฝรั่งเศส ส่วนตัวเขานั้นเติบโตมาในฝรั่งเศส ก็เลยรู้เรื่องกฎหมายและวัฒนธรรมฝรั่งเศสดีอยู่แล้ว

 

3.4 ฉากการอธิบายเรื่อง secularism ที่เริ่มต้นตั้งแต่การปฏิวัติฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และการออกกฎหมายแยกรัฐออกจากศาสนาในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20

 

3.5 ฉากที่ครูตั้งคำถามเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ของ Morocco

 

3.6 ฉากสอนประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศสให้อิหม่ามฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่กลุ่มปฏิวัติฝรั่งเศสสังหารบาทหลวงคาทอลิกตายไป 173 คนในปี 1792 โดยใช้คราดแทงบาทหลวงตายไปทีละคน ทีละคน โดยครูได้นำกลุ่มอิหม่ามไปชมสถานที่สังหารบาทหลวงคาทอลิก 173 คนนี้ด้วย

 

เราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย หนักมาก ๆ เพราะถ้าหากพูดถึงการปฏิวัติฝรั่งเศส เราก็เคยได้ยินแต่เรื่องของพระนางมารีอังตัวเนตต์ และ Danton แต่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องการสังหารบาทหลวง 173 คนมาก่อน

 

3.7 ฉากที่ครูเล่าเรื่องของ Saint Teresa de Avila ในสเปนในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นคนที่แรงมาก เพราะเธอหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 7 ขวบเพื่อจะได้ไปต่อสู้กับคนมุสลิม เพราะเธอเชื่อว่าถ้าหากเธอถูกฆ่าตายขณะต่อสู้กับคนมุสลิม เธอจะได้เป็นมรณสักขี แต่ปรากฏว่าลุงของเธอเจอเธอ ก็เลยพาเธอกลับบ้าน เธอก็เลยไม่ได้ตายสมใจอยาก

 

3.8 ฉากที่ครูเล่าเรื่องของบาทหลวงกลุ่ม Trappists ของคาทอลิกที่ถูกสังหารหมู่ในสงครามกลางเมืองแอลจีเรียในปี 1996 โดยเฉพาะเรื่องของบาทหลวงคนนึงที่เขียนให้อภัยคนที่จะสังหารเขาไว้ก่อนตาย

 

เราเข้าใจว่าเหตุการณ์สังหารหมู่บาทหลวงคาทอลิกในแอลจีเรียนี้ เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง OF GODS AND MEN (2010, Xavier Beauvois) ด้วย แต่เรายังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้นะ

 

3.9 ฉากการสอนภาษาฝรั่งเศสให้อิหม่ามบางคน เพราะอิหม่ามบางคนถนัดแต่ภาษาอาราบิก แต่ยังพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ค่อยได้

 

3.10 ฉากที่อิหม่ามแต่ละคนต้องมาสอบปากเปล่าในวิชา secularism

 

4. พอคิด ๆ ดูแล้ว เราว่าฝรั่งเศสนี่เป็นชาติที่ทำหนังเกี่ยวกับ “การเรียนการสอน” มากที่สุดชาติหนึ่งเลยนะ

 

คือถ้าหากพูดถึงหนังเกี่ยวกับ “โรงเรียน” ของฮอลลีวู้ดและของญี่ปุ่น เรามักจะนึกถึง “หนังโรแมนติก” เป็นลำดับแรกน่ะ เหมือนหนังฮอลลีวู้ดกับญี่ปุ่น ถ้าใช้ setting เป็นโรงเรียนปุ๊บ คนก็จะนึกถึง “ฮอร์โมนวัยรุ่นอันพลุ่งพล่าน” และ “ความเงี่ยนของวัยรุ่น” เพราะฉะนั้นฮอลลีวู้ดกับญี่ปุ่น ก็เลยเน้นทำ “หนังโรแมนติกในโรงเรียน” เป็นหลัก

 

แต่พอพูดถึง “ชั้นเรียน” ในฝรั่งเศส เราก็มักจะนึกถึงการอภิปรายถกเถียงกันเป็นหลัก อย่างเช่นใน

 

4.1 THE CLASS (2008, Laurent Cantet)

 

4.2 SKIRT DAY (2008, Jean-Paul Lilienfeld)

 

4.3 SCHOOL OF BABEL (2013, Julie Bertuccelli, documentary)

 

4.4 ONCE IN A LIFETIME (2014, Marie-Castille Mention-Schaar)

 

4.5 THE COMPETITION (2016, Claire Simon, documentary)

 

4.6 A PARIS EDUCATION (2018, Jean-Paul Civeyrac)

 

4.7 DIVERTIMENTO (2022, Marie-Castille Mention-Schaar)

 

และก็รวมถึงหนังเรื่อง IMAMS GO TO SCHOOL เรื่องนี้ด้วย

 

ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่

https://www.festivalscope.com/film/imams-go-to-school/

+++++++++

 

วันนี้หยิบเพลง IF I HAVE TO STAND ALONE (1990) ของ Lonnie Gordon มาฟังอีกครั้ง แล้วก็ร้องห่มร้องไห้ รู้สึกว่านี่มันคือเพลง I WILL SURVIVE สำหรับคนรุ่นเดียวกับเรา

 

แต่ตลกดีที่ตอนฟังเพลงนี้เราจะนึกถึง Donna Summer มาก ๆ ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่คิดอะไร แต่พอเราอ่านความเห็นต่าง ๆ ในยูทูบแล้วก็พบว่า ลางสังหรณ์ของเราเป็นจริง เพราะหลายคนในยูทูบบอกว่า ตอนแรก Stock, Aitken & Waterman แต่งเพลงนี้ให้ Donna Summer ร้อง แต่ Donna Summer ไม่เอา Stock, Aitken & Waterman ก็เลยเอาเพลงนี้มาให้ Lonnie Gordon ร้องแทน มิน่าล่ะ ตอนฟังเพลงนี้เราถึงนึกถึง Donna Summer โดยไม่รู้ตัว
https://www.youtube.com/watch?v=fYk3xVA-5gY

**********

เครื่องดูดฝุ่นในหนัง 3 เรื่อง

 

1.THE VACUUM CLEANER (1906, Segundo de Chomón, France, silent film, 4min, A+30)

 

2. THE DEVIOUS PATH (1928, Georg Wilhelm Pabst, Germany, A+30)

 

3. A USEFUL GHOST (2025, Ratchapoom Boonbunchachoke)

 

เห็นนิตยสาร Cahiers du Cinema เขียนเปรียบเทียบหนังเรื่อง A USEFUL GHOST (2025, Ratchapoom Boonbunchachoke) กับหนังของ Segundo de Chomón เราก็เลยลองหาหนังของ Segundo de Chomón ในยูทูบมาดูในทันที พอดูแล้วก็ไม่ประหลาดใจ เพราะหนังของ Segundo de Chomón ที่สร้างขึ้นเมื่อกว่า 100 ปีก่อน มันล้ำยุคล้ำสมัยมาก และมันมีความแฟนตาซีเถิดเทิงมาก ๆ

 

ชอบ THE VACUUM CLEANER (1906) อย่างรุนแรง ตลกมาก เฮี้ยนมาก ๆ ไม่รู้คิดขึ้นมาได้อย่างไร คิดว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นหนังที่เก่าที่สุดที่เราได้ดูเกี่ยวกับ “เครื่องดูดฝุ่น” นะ เพราะมันเป็นหนังที่สร้างขึ้นในปี 1906 หรือเมื่อ 119 ปีก่อน และมันสะท้อนจินตนาการเกี่ยวกับเครื่องดูดฝุ่นที่ไปสุดขั้วมาก ๆ  เพราะมันเล่าเรื่องของกลุ่มอาชญากรที่ขโมยเครื่องดูดฝุ่นวิเศษเพื่อเอาไปใช้ดูดมนุษย์ต่าง ๆ เข้ามาเก็บไว้ในเครื่องดูดฝุ่น บ้าบอมาก

 

ก่อนหน้านี้หนังที่ครองตำแหน่ง “หนังที่นำเสนอเครื่องดูดฝุ่นที่เก่าที่สุด” สำหรับเรา น่าจะเป็นหนังเรื่อง THE DEVIOUS PATH (1928, Georg Wilhelm Pabst, Germany, A+30) นะ เพราะมันมีเครื่องดูดฝุ่นในหนังที่สร้างขึ้นเมื่อราว 100 ปีก่อนเรื่องนี้

 

ลองค้นดูใน wikipedia ก็พบว่าเครื่องดูดฝุ่นไฟฟ้าเครื่องแรก ๆ น่าจะผลิตขึ้นในปี 1898

 

เราได้ดูหนังเรื่อง THE ELECTRIC HOTEL (1908, Segundo de Chomón, Spain/France, silent film, 10min, A+30) ในยูทูบด้วย คิดว่าหนังเรื่องนี้ก็สามารถฉายปะทะกับ A USEFUL GHOST ได้เช่นกัน เพราะ THE ELECTRIC HOTEL มันมีความ “ไซไฟผีสิง” อยู่ในหนัง ซึ่งจุดนี้ก็คงคล้ายกับ A USEFUL GHOST

 

THE VACUUM CLEANER (1906)

https://www.youtube.com/watch?v=qCBVBKZgoGU

 

THE ELECTRIC HOTEL (1908)

https://www.youtube.com/watch?v=cCzru63JBSE

 

 

 

 

Sunday, May 18, 2025

YVONNE RAINER

 

เพิ่งรู้ว่ามีผู้กำกับหญิงชาวจีนคนนี้อยู่บนโลกด้วย Kao Pao-Shu เริ่มกำกับหนังเรื่องแรกคือเรื่อง LADY WITH A SWORD (1971, Hong Kong) และกำกับหนังรวมกันทั้งหมด 11 เรื่อง เรื่องสุดท้ายคือ SEED OF EVIL (1981, Taiwan) ส่วนหนังเรื่อง "ราชินีฝิ่น" นี้ เป็นหนังไทย/ฮ่องกง

++++

หลังจากดูหนังอิตาลีไปแล้ว 8 เรื่องในเทศกาลภาพยนตร์อิตาลีในช่วงต้นเดือนพ.ค. เราก็ต้องแดกพิซซ่าเพื่อเป็นการรำลึกถึงเทศกาล

++++

 

ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง CHUTIMA (2007) ให้สัมภาษณ์นิตยสาร FILMMAKER

Boonbunchachoke: I’m influenced by global cinema in general, but Western cinema has had a significant impact on me. I’m particularly inspired by filmmakers whose works are often described as dreamy – like Manoel de Oliveira, Jacques Rivette, João César Monteiro, Otar Iosseliani, Raúl Ruiz, Eugène Green and Chantal Akerman; and younger queer directors like Alain Guiraudie and João Pedro Rodrigues.

I’m particularly fond of how radical and intentionally uncinematic Oliveira’s and Monteiro’s films can be. I recall reading that Monteiro would occasionally sabotage his frame composition just to make his shots not too perfectly cinematic. I like that way of thinking. 

 

https://filmmakermagazine.com/130640-ratchapoom-boonbunchachoke-a-useful-ghost/?fbclid=IwY2xjawKVZOtleHRuA2FlbQIxMQBicmlkETFpTWMwSmVhTkZwYUxtbTlsAR6h8IJTm6JCFFW2GHhip7wdwYsHe5R6TrRjrgSisWNiVcN1X36RVHsx-FVgtw_aem_6cHXPukgsfB1TokRkTGsYA

 

ดีใจสุดขีดที่สื่อต่างชาติชื่นชอบการแสดงของคุณอาภาศิริ นิติพน ใน A USEFUL GHOST มาก ๆ

 

คุณอาภาศิริเคยแสดงเป็นนางเอกใน “คู่กรรม” ของทมยันตี แล้วก็เคยแสดงเป็นแม่ผู้หมกมุ่นกับเปียโนใน HAPPY OLD YEAR (2019, Nawapol Thamrongrattanarit) , แม่ที่อยู่กับตุ๊กตาหมีที่กลายร่างเป็นหนุ่มหล่อได้ ใน “คุณหมีปาฏิหาริย์” ที่สร้างจากนิยายของปราปต์ แล้วตอนนี้เธอก็มาตบตีกับเครื่องดูดฝุ่นผีสิงใน A USEFUL GHOST ด้วย

++++++++++++

 

1. HAND MOVIE (1966, Yvonne Rainer, 6min, A+30)

2. VOLLEYBALL (FOOT FILM) (1967, Yvonne Rainer, 10min, A+30)

3. RHODE ISLAND RED (1968, Yvonne Rainer, 10min, A+30)

4. TRIO FILM (1968, Yvonne Rainer, 13min, A+30)

5. LINE (1969, Yvonne Rainer, 10min, A+30)

 

1. ในที่สุดเราก็ได้ดูหนังของ Yvonne Rainer เสียที หลังจากที่อยากดูหนังของเธอมานานราว 25 ปีแล้ว แต่ไม่สามารถหาหนังของเธอมาดูได้ เหมือนเธอเป็น “ผู้กำกับหญิงในตำนาน” ที่เราเคยได้ยินชื่อมาเป็นเวลานานมาก นานพอ ๆ กับ Barbara Hammer, Carolee Schneemann, Julie Dash, Lizzie Borden, Sharon Lockhart, Laura Mulvey, Valie Export, Su Friedrich, Sara Driver, etc. ซึ่งในช่วงเวลา 10-20 ปีที่ผ่านมา ระบบสตรีมมิ่งทางอินเทอร์เน็ต (และการจัดฉายหนังบางเรื่องในกรุงเทพ) ก็ช่วยให้เราได้ดูได้เข้าถึงหนังของผู้กำกับหญิงในตำนานเหล่านี้ได้หลายคน ยังขาดก็แต่ Yvonne Rainer นี่แหละ ที่เรายังไม่เคยได้ดูเสียที จนกระทั่ง e-flux นำหนังสั้น 5 เรื่องของเธอมาเปิดฉายให้ดูฟรี ๆ ในเดือนพ.ค. 2025

 

อย่างไรก็ดี หนังที่เราได้ดูในครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่หนังสั้น 5 เรื่องของเธอนะ เรายังคงไม่ได้ดูหนังยาวที่ Yvonne Rainer กำกับแต่อย่างใด ก็ได้แต่หวังว่าจะมีคนจัดงาน retrospective ของ Yvonne Rainer ในกรุงเทพ และนำหนังยาวที่เธอกำกับราว 7 เรื่องมาจัดฉายให้พวกเราได้ดูกัน ทั้ง LIVES OF PERFORMERS (1972, 90min), FILM ABOUT A WOMAN WHO... (1974, 90min), KRISTINA TALKING PICTURES (1976, 90min), JOURNEYS FROM BERLIN/1971 (1980, 125min), THE MAN WHO ENVIED WOMEN (1985, 125min), PRIVILEGE (1990, 103min) และ MURDER and murder (1996, 113min)

 

2. พอได้ดูหนังของ Yvonne Rainer แล้วเราก็ช็อคกับ “ความไม่ประนีประนอมกับคนดู” ของเธอมาก ๆ คิดว่าความโหดตรงจุดนี้ของเธอน่าจะพอ ๆ กับหนังของ Andy Warhol, Sharon Lockhart และ James Benning 55555 และแน่นอนว่าโหดกว่าหนังของ Chantal Akerman และ Marguerite Duras เพราะถึงแม้ว่าหนังของ Duras จะ “นิ่งช้า” แต่จริง ๆ แล้วมันก็มี “เนื้อเรื่อง” ส่วนหนังของ Akerman บางเรื่องอาจจะไม่มี “เนื้อเรื่อง” แต่มันก็มี “บรรยากาศที่ทรงพลัง” ส่วนหนังของ Yvonne Rainer ที่เราได้ดูนั้นไม่มีทั้งเนื้อเรื่อง และไม่มี “บรรยากาศที่น่าหลงใหล” ที่เราสามารถจูนติดได้โดยง่าย

 

3. ก็เลยประทับใจกับความ anti-spectacle ของ Yvonne Rainer มาก ๆ เหมือนเธอเป็นผู้กำกับหญิงอีกคนที่ไปสุดขั้วมาก ๆ ในแนวทางของตัวเอง

 

4.ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่าชอบหนังเรื่องไหนมากที่สุดใน 5 เรื่องนี้

 

HAND MOVIE เป็นหนังที่เราดูแล้วพยายามขยับนิ้วตามไปด้วย

 

VOLLEYBALL (FOOT FILM) ก็ชอบมาก เหมือนหนังเรื่องนี้เป็นการเล่นกับลูกวอลเลย์บอลซ้ำไปซ้ำมาราว 28 ครั้งได้มั้ง ให้ลูกวอลเลย์บอลไปกระแทกฝาผนัง แล้วมันก็จะกระดอนกลับมา ซึ่งมันก็กระดอนกลับมาในแบบที่แตกต่างกันไปทั้ง 28 ครั้ง แล้วก็มีคนเดินไปใช้เท้าหยุดการเคลื่อนไหวของลูกวอลเลย์บอลที่พื้น

 

เหมือนเป็นหนังที่ไม่มีอะไร แต่ดูแล้วเราก็จดจ่อกับมันไปได้เรื่อย ๆ

 

RHODE ISLAND RED เป็นหนังที่มีเพียงแค่ 2 ช็อต ถ่ายเล้าไก่ขนาดใหญ่ไปเรื่อย ๆ โดยในช็อตแรกมีคนอยู่ด้วย

 

อันนี้ก็เป็นหนังที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเลยเหมือนกัน แต่ไก่ในหนังมันไม่หยุดนิ่งเลย ไก่หลายร้อยตัวมีการทำอาการอะไรต่าง ๆ ไปได้เรื่อย ๆ เราก็เลยดูไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่เบื่อ 55555

 

TRIO FILM อันนี้ก็ดูเหมือนจะน่าเบื่อแต่ก็ไม่น่าเบื่อ เหมือนหนังมันสะท้อนความน่าเบื่อของชีวิตสมรสหรือเปล่า เราก็ไม่แน่ใจ ตอนดูหนังเรื่องนี้เราจะนึกถึง VIVARIUM (2019, Lorcan Finnegan) ด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่

 

LINE ช่วงแรกของหนังดูแล้วจะนึกถึง James Benning มาก ๆ เพราะหนังเหมือนจ้องมองรอยแตกร้าวที่ฝาผนัง ขณะที่มีวัตถุทรงกลมค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ตามรอยแตกนั้น มันเป็นภาพเคลื่อนไหวที่มีการเคลื่อนไหวน้อยมาก ๆ จุดนี้ก็เลยทำให้นึกถึง James Benning

 

แต่ช่วงครี่งหลังของหนังมีนักแสดงเข้ามาในฉากด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิด “เนื้อเรื่องเร้าใจ” ขึ้นมาแต่อย่างใด 55555

 

5. พอดูหนังสั้นทั้ง 5 เรื่องนี้แล้วก็เลยไม่แปลกใจว่า ทำไม Yvonne Rainer ถึงโด่งดังมาก ๆ เพราะหนังของเธอเหมือนไปสุดขั้วกว่าหนังของ Marguerite Duras และ Chantal Akerman เสียอีก นึกว่า EXTREME MINIMALISM และเราว่าหนังของเธอมันดูยากกว่าหนัง extreme minimalism ของ Chaloemkiat Saeyong และ Tanatchai Bandasak อีกนะ เพราะหนังของ Chaloemkiat และ Tanatchai มันมี “พลังของธรรมชาติ” หรือ “พลังทางบรรยากาศ” มาห่มคลุมไว้น่ะ ส่วนหนังของ Yvonne Rainer มันไม่ได้มีพลังทางบรรยากาศ มันก็เลยยิ่งดูเย็นชาและแห้งกว่าหนัง minimal เรื่องอื่น ๆ

Saturday, May 17, 2025

LIST OF CHINESE PROVINCES IN FILMS

 

เราเข้าใจว่าหนังเรื่องนี้คือหนัง QUEER THAI เรื่องแรกนะคะ THE TRANSVESTITE IS THE CAUSE (1955, staffs of Bank of Monthon) หรือ “กะเทยเป็นเหตุ” ที่กำกับโดยพนักงานธนาคารมณฑล

https://www.youtube.com/watch?v=uoAqJ0PF-mU

 ++++++++++

วันนี้เราเพิ่งได้ดู KAILI BLUES (2015, Bi Gan, China, A+30) ทางเว็บไซต์ lecinemaclub พอดูจบก็กราบจอไปเลย มหัศจรรย์มาก ๆ หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีความ dreamlike, Lynchian มากเท่า LONG DAY’S JOURNEY INTO NIGHT (2018, Bi Gan, China, A+30) แต่เราก็ชอบสุดขีดที่หนังเรื่องนี้เน้นถ่ายทอดบรรยากาศของชนบทในจีนออกมาได้อย่างทรงพลังมาก ๆ และเราว่าชนบทของจีนในหนังเรื่องนี้มันมีสภาพคล้ายชนบทของไทย มันดูชื้นแฉะและห่างไกลความเจริญพอ ๆ กับชนบทของไทย และมันดูแตกต่างจากชนบทในภาคเหนือของจีนที่ดูแห้งแล้งและหนาวเย็นกว่า

 

ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด KAILI BLUES เน้นถ่ายทอดบรรยากาศของมณฑล Guizhou ของจีน เราก็เลยต้องไปดูแผนที่ประเทศจีน และก็พบว่ามณฑล Guizhou มันอยู่ไม่ไกลจากประเทศไทยจริง ๆ ด้วย มันอยู่ติดกับ Yunnan ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำหนังเรื่อง CROSSING THE MOUNTAIN (2010, Yang Rui, China) และเราว่าทั้งหนังเรื่อง CROSSING THE MOUNTAIN และหนังเรื่อง KAILI BLUES มันมีความ magical, otherworldly อะไรบางอย่างเหมือนกัน มันเหมือนเป็นสองมณฑลที่อยู่ใกล้กับไทย และยังคงมี “พลังของสิ่งเหนือธรรมชาติ” ครอบคลุมพื้นที่แถบนี้อยู่ (มากกว่ามณฑลอื่น ๆ ของจีน?)

 

พอเราดู KAILI BLUES จบ และไปเสิร์ชหาแผนที่มณฑลกุ้ยโจว เราก็เลยค้นพบว่า ตัวเองขาดความรู้ด้านภูมิศาสตร์ในจีนมาก ๆ เราตอบไม่ได้ว่ามณฑลไหนอยู่ตรงไหนในจีน เราก็เลยทำลิสท์ข้างล่างขึ้นมา เผื่อช่วยให้ตัวเองจดจำได้ดีขึ้นว่า หนังเรื่องต่าง ๆ ที่เราเคยดูดังต่อไปนี้ มีเนื้อหาเกิดขึ้นในมณฑลไหนของจีนกันบ้าง

 

1. ABOVE THE DUST (2024, Wang Xiaoshuai)

Gansu

 

2. AFTERSHOCK (2010, Feng Xiaogang)

Tangshan city in Hebei province

 

3. BACK TO 1942 (2012, Feng Xiaogang)

Henan

 

4. BEFORE THE FLOOD (Yan mo) (Li Yifan and Yan Yu, 2005)

Chongqing

 

5. BIRD PEOPLE IN CHINA (1998, Takashi Miike)

Yunnan

 

6. COAL MONEY (2009, Wang Bing, documentary)

มณฑลซานซี Shanxi province and Tianjin

 

7. CHANG AN (2023, Xie Junwei, Zou Jing, China, animation, A+30)

Xi’an city in Shaanxi province มณฑลส่านซี

 

8. THE CROSSING (2018, Xue Bai)

Shenzhen

 

9.CROSSING THE MOUNTAIN (2010, Yang Rui, China)

Yunnan

 

10. DELICIOUS ROMANCE (2023, Leste Chen, Hsu Chao-jen)

Chengdu city in Sichuan province

 

11. DON’T CRY, NANKING (1995, Wu Ziniu, Taiwan)

Jiangsu

 

12. THE FAREWELL (2019, Lulu Wang)

Changchun city in Jilin province

 

13. THE HORSE THIEF (1986, Tian Zhuangzhuang)

Tibet

 

14. I AM WHAT I AM (2023, Sun Haipeng, animation)

Guangzhou city in Guangdong province

 

15. KAILI BLUES (2015, Bi Gan)

Guizhou

 

16. LIGHTING UP THE STARS (2022, Liu Jiangjiang)

Wuhan

 

17. LONG DAY’S JOURNEY INTO NIGHT (2018, Bi Gan)

Guizhou

 

18. LOST AND LOVE (2015, Peng Sanyuan)

เริ่มต้นที่ Anhui แล้วไปที่ Jiangxi

 

19. NEVER SAY NEVER (2023, Wang Baoqiang)

Longshan in Sichuan province

 

20. NOT ONE LESS (1999, Zhang Yimou)

Hebei

 

21. ONE AND ONLY (2023, Da Peng)

Hangzhou city in Zhejiang province

 

22. ON THE RIM OF THE SKY (2014, Xu Hongjie, documentary)

Sichuan

 

23. OPENING CLOSING FORGETTING (2018, James T. Hong, Taiwan/China/Japan, documentary, A+30)

Zhejiang

 

24. ORDINARY HERO (2023, Tony Chan)

Xinjiang

 

25. PLATFORM (2000, Jia Zhangke)

Fenyang in Shanxi province

 

26. THE SEARCH (2009, Pema Tseden)

Tibet

 

27. SHANGHAI DREAMS (2005, Wang Xiaoshuai)

Guizhou

 

28. SNOW LEOPARD (2023, Pema Tseden)

Qinghai

 

29. THE STORY OF QIU JU (1992, Zhang Yimou)

Shaanxi province

 

30. THIRD SISTER LIU (1960, Li Su, musical)

เกี่ยวกับชาวจ้วงใน Guangxi region

 

31. THREE SISTERS (2012, Wang Bing, documentary)

Yunnan

 

32. UNKNOWN PLEASURES (2002, Jia Zhangke)

Datong city in Shanxi province

 

33. WOLF TOTEM (2015, Jean-Jacques Annaud)

Inner Mongolia

 

34. XIU XIU: THE SENT-DOWN GIRL (1998, Joan Chen)

Sichuan

 

35. YOUTH (HOMECOMING) (2024, Wang Bing, documentary)

Hebei (Zhili), Yunnan, Anhui

 

36. หนังชุด VILLAGERS’ DOCUMENTARY PROJECT (2006, Wu Wenguang) ที่เคยเข้ามาฉายในกรุงเทพในปี 2008 หนังชุดนี้ประกอบด้วยหนังสั้นเกี่ยวกับมณฑลต่าง ๆ ในจีน ซึ่งประกอบด้วย


In my roughly preferential order

36.1 I FILM MY VILLAGE (2006, Shao Yuzhen, Beijing, A++++++++++)

36.2 DID YOU GO BACK TO VOTE? (2006, Yi Chujian, Zhejiang)

36.3 THE QUARRY (2006, Jia Zhitan, Hu’nan Province)

36.4 THE SPIRIT MOUNTAIN (2006, Tshe Ring Sqrolma, Yunnan Province)

36.5 LAND DISTRIBUTION (2006, Wang Wei, Shandong Province)

36.6 RETURNING HOME FOR THE ELECTION (2006, Ni Nianghui, Hubei Province)

36.7 A WELFARE COUNCIL (2006, Nong Ke, Guangxi Province)

36.8 A FUTILE ELECTION (2006, Zhang Huancai, Shaanxi Province)

36.9 VILLAGE HEAD WU AIGUO (2006, Zhou Cengjia, Hu’nan Province)

36.10 OUR VILLAGE COMMITTEE (2006, Fu Jiachong, He’nan Province)

 

ลิสท์หนังข้างบนครอบคลุมเฉพาะหนังที่เราเคยดูแล้วนะคะ ถ้าหากเพื่อนคนไหนอยากแนะนำหนังเรื่องไหนที่นำเสนอ “พื้นที่ที่เฉพาะเจาะจงที่น่าสนใจในจีน” (แน่นอนว่าไม่รวมถึงพื้นที่ที่พบได้ทั่วไปในหนังจีน อย่างเช่น กรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้) ก็ comment มากันได้เลยนะคะ

 

ลิสท์ข้างบนเป็นการแยกตาม “สถานที่ในจีน” ส่วนลิสท์ที่แยกตาม “ลำดับเวลา” ในจีน ดูได้ที่นี่ค่ะ

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10227244116752078&set=a.10223045281543822

 

 

Thursday, May 15, 2025

DEATH IN A FRENCH GARDEN (1985, Michel Deville, France, A+30)

 

สรุปรายชื่อภาพยนตร์ที่เปิดฉายในกรุงเทพในช่วงนี้และช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเราอาจจะออกไปดูไม่ทัน เพราะเราต้องกักตัวช่วงโควิด

 

1. AMADEO (2023, Vicente Alves do Ó, Portugal, 98min)

ฉายในเทศกาลภาพยนตร์อียูในวันที่ 15 พ.ค.

 

2.ATEEZ WORLD TOUR: TOWARDS THE LIGHT – WILL TO POWER (2024, โอยุนดง, South Korea, concert film, documentary, 126min)

 

3.BHOOL CHUK MAAF (2025, Karan Sharma, India, 140min)

 เอ๊ะ ตกลงมันเข้าฉายจริงหรือเปล่านะ

 

4.CHAMPIONS (2018, Javier Fesser, Spain, 124min)

ฉายในเทศกาลภาพยนตร์อียูในวันที่ 1พ.ค.

 

5.CREATION OF THE GODS II: DEMON FORCE (2025, Wuershan, China, 145min)

 

6.DORAEMON THE MOVIE: NOBITA’S EARTH SYMPHONY (2024, Kazuaki Imai, Japan, animation, 115min)

 

7.HOLY NIGHT: DEMON HUNTERS คนต่อยผี (2025, Lim Dae-hee, South Korea, 91min)

 

8.HOME SWEET HOME: REBIRTH (2025, Steffen Hecker, Alexander Kiesl, 93min)

 

9.I A PIXEL, WE THE PEOPLE: EPISODE 5 MY MOTHER AND HER PORTRAITS (2025, Chulayarnnon Siriphol, 60min)

 

10.I A PIXEL, WE THE PEOPLE: EPISODE 8 MY TEACHER IS A GENIUS (2025, Chulayarnnon Siriphol, 60min) เราดู EPISODE 6 กับ 7 ไปแล้ว

 

11. I A PIXEL, WE THE PEOPLE: EPISODE 9 COMRADES (2025, Chulayarnnon Siriphol, 60min)

 

12. I A PIXEL, WE THE PEOPLE: EPISODE 10 LET IT END IN OUR GENERATION (2025, Chulayarnnon Siriphol, 60min)

 

13. I A PIXEL, WE THE PEOPLE: EPISODE 11 WATER IS SOFT POWER (2025, Chulayarnnon Siriphol, 60min)

 

14. I A PIXEL, WE THE PEOPLE: EPISODE 12 BIG CLEANING DAY (2025, Chulayarnnon Siriphol, 60min)

 

 15. OSHI NO KO: THE FINAL ACT เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ บทสุดท้าย (2024, Smith, Japan, 129min)

 

16.PHANTOM OF LIMINALITY (2025, Akras Pornkajornkijkul, video installation) จัดแสดงที่ชั้น 4 BACC ในช่วงที่เราป่วยโควิด

 

17.SHADOW FORCE (2025, Joe Carnahan, 104min)

 

18.THE TUTOR พี่วรรณมาสอน (2025, บัณฑิต ทองดี, 100min)

 

19.UNTIL DAWN (2025, David F. Sandberg, 103min, USA/Hungary)

 

20.WHY WE CYCLE (2020, Arne Gielen, Gertjan Hulster, Netherlands, documentary, 57min)

21.TOGETHER WE CYCLE (2022, Arne Gielen, Netherlands, documentary, 70min)

22.WHEN WE CYCLE (2024, Arne Gielen, Gertjan Hulster, Netherlands, documentary, 62min)

จัดแสดงที่ BACC ในช่วงที่เราป่วยโควิด

++++++++++

 

หนึ่งในร้านอาหารที่ปิดตัวไปในช่วงที่ผ่านมา ก็คือร้าน ROBERTA’S ซึ่งเป็นร้านอาหารอิตาลีในห้าง Siam Discovery เราเข้าใจว่าร้านนี้เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงหนึ่งปีด้วยซ้ำไป เหมือนร้านเพิ่งเปิดในช่วงกลางปี 2024 แต่พอหลังสงกรานต์ปีนี้เราก็เห็นร้านนี้ปิดไปแล้ว

++++++++++

 

I A PIXEL, WE THE PEOPLE EPISODE 4: THE IMPOSSIBLE DREAM (2025, Chulayarnnon Siriphol, video installation, 60min, A+30)

 

1. เราได้ดูวิดีโอนี้ในวันที่ 2 พ.ค. ในสูจิบัตรบอกว่าวิดีโอตอนนี้บรรจุฟุตเตจบางส่วนจากหนัง 3 เรื่องของเข้เอาไว้ด้วย ซึ่งได้แก่เรื่อง SLEEPING BEAUTY (2006), VANISHING HORIZON OF THE SEA (2014) และ TEN YEARS THAILAND: PLANETARIUM (2018)

 

แต่จริง ๆ แล้ววิดีโอตอนนี้ทำให้เรานึกถึงหนังเรื่อง DAMAGED UTOPIA (2013, Chulayarnnon Siriphol) ด้วย ถ้าหากเราจำไม่ผิดนะ เพราะวิดีโอตอนนี้มีเนื้อหาส่วนหนึ่งพูดถึงม้วนวิดีโอเทป และการเสื่อมสภาพของ “ภาพ” ในวิดีโอเทป ซึ่งเนื้อหาอะไรแบบนี้เหมือนเป็นสิ่งที่เราเคยเห็นมาก่อนจากหนังเรื่องนึงของเข้นะ แต่เรานึกไม่ออกว่ามันคือหนังเรื่องไหน เราก็เลยเดาว่าอาจจะเป็นหนังเรื่อง DAMAGED UTOPIA (2013) แต่ก็ไม่รู้ว่าเราจำผิดหรือเปล่า

 

2. พอเราได้ดูหนังชุดนี้ไป 6 ตอน (1,2,3,4,6,7) เราก็พบว่า เราชอบตอน 4 กับ 6 มากที่สุด เพราะสองตอนนี้เน้นพูดถึงเรื่องส่วนตัวของเข้ และเน้นใช้ home video ของเข้ ราวกับว่าสองตอนนี้คือ I A PIXEL (เรื่องส่วนตัวของคนคนนึง) ในขณะที่ตอนอื่น ๆ เป็น WE THE PEOPLE (เรื่องส่วนรวม)  และตอนแรกของหนังชุดนี้เป็นทั้ง I A PIXEL, WE THE PEOPLE รวมกัน

 

จริง ๆ แล้วเนื้อหาของตอน 4 ก็มีความเป็นการเมืองอยู่ด้วย เพราะอย่างที่ชื่อวิดีโอชี้แนะไว้แล้วว่า เรื่องส่วนตัวของคนแต่ละคนมันก็เป็น “ส่วนนึงของภาพรวมของสังคม” ไปด้วยในเวลาเดียวกัน แต่เอาจริงแล้ว “เนื้อหาความเป็นการเมือง” ของตอน 4 ไม่ใช่สิ่งที่เราชอบที่สุดในหนังตอนนี้น่ะ เพราะสิ่งที่เราชอบที่สุดในหนังตอนนี้ ก็คือการได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวส่วนตัวในครอบครัวของคนอื่น ๆ และเรื่องราวส่วนตัวนั้นถูกนำเสนอในแบบที่ไม่ฟูมฟาย และไม่ผลักไสเราออกมา

 

อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับว่าตอนไหนดีกว่าตอนไหนนะ แต่มันเกิดจากรสนิยมส่วนตัวของเรา เพราะเรารู้สึกว่าตอนที่เนื้อหามันเป็นการเมืองชัด ๆ อย่าง EPISODE 3: PEOPLIZATION นั้น จริง ๆ แล้วเนื้อหามันก็ซ้อนเหลื่อมกับหนังไทยอีกหลาย ๆ เรื่อง เพราะฉะนั้นเราก็เลยประทับใจกับ EPISODE 4 และ 6 มากกว่า เพราะเรารู้สึกว่า เนื้อหาในหนังสองตอนนี้มันไม่ซ้ำกับหนังไทยเรื่องอื่น ๆ และมันตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเรา (ในเรื่องชีวิตของคนอื่น ๆ) ได้เป็นอย่างดี

 

3. ตอนแรกที่นั่งดู EPISODE 4 เราก็ไม่รู้ว่าหนังตอนนี้มันจะพูดถึงอะไร เราก็เลยรู้สึกสงสัยแค่ว่า “หนังมันกำลังจะเล่าเรื่องของใครนะ ท่าทางจะเป็นทหารที่หล่อดี” 555555 พอดูไปเรื่อย ๆ ก็เลยพบว่า ทหารหล่อ ๆ ที่เราเห็นในหนัง จริง ๆ แล้วน่าจะเป็นคุณตาของ Chulayarnnon ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด

 

ชอบการจับจ้องมองศพของคุณตาในหนังเรื่องนี้มาก ๆ ดูแล้วนึกถึงหนังเรื่อง GRANDMOTHER (2009, Yuki Kawamura, Japan, A+30) ที่ผู้กำกับถ่ายคุณยายของตัวเองไปเรื่อย ๆ ขณะที่คุณยายนอนป่วยพงาบ ๆ และกำลังจะสิ้นลมหายใจ

 

 ชอบการนำเสนออะไรต่าง ๆ ในครอบครัวของผู้กำกับ โดยไม่มีอารมณ์ฟูมฟายด้วย เราก็เลยดูฟุตเตจ home video เหล่านี้ไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่รู้สึกต่อต้านมัน

 

4. จริง ๆ พอดูหนังตอนนี้แล้ว เราก็คิดถึงครอบครัวของตัวเองขึ้นมาโดยที่หนังไม่ได้ตั้งใจ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ก็จะเป็นการจดบันทึกความคิดของตัวเองที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับตัวหนังแต่อย่างใด

 

เนื่องจากหนังตอนนี้เล่าเรื่องของสงครามเกาหลี และคุณตาของ Chulayarnnon ที่เราเข้าใจว่าเป็นทหารเรือ เพราะฉะนั้นพอดูหนังตอนนี้จบ เราก็เลยคิดถึงคุณตาของตัวเองขึ้นมาด้วย เพราะคุณตาของเราก็เป็นทหารเหมือนกัน แต่เราเข้าใจว่าเป็นทหารบก

 

เท่าที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา คุณตาของเราเคยเป็นทหาร แต่พอช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลไทยขาดแคลนเงิน เขาก็เลยปลดทหารและข้าราชการจำนวนหนึ่งออกไป และคุณตาของเราก็เป็นหนึ่งในทหารที่โดนปลดออกจากราชการเพื่อประหยัดเงินของรัฐบาลในช่วงนั้นด้วย

 

นิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” เคยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ด้วยนะ:

 

“ในช่วงรัฐบาลที่มีม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหมออกคำสั่้งปลดทหารกองประจำการตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2489

 

พลเอกจิร วิชิตสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในสมัยของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช บันทึกไว้ว่า “การเลิกระดมพลในครั้งนี้ผมได้พยายามทำอย่างระมัดระวังเป็นที่สุดเพราะทราบล่วงหน้าอยู่แล้วว่า จำเป็นต้องมีการปลดนายทหารออกไปถึงกับได้ออกแจ้งความไปว่า นายทหารผู้ใดประสงค์จะลาออกจากราชการก็อนุมัติให้ยื่นใบลาออกได้”

 

จำนวนทหารที่ถูกปลดมีจำนวนดังนี้

 

ปลดนายพล 11 คน จากทั้งหมด 81 คน คิดเป็นร้อยละ 13.5

ปลดนายพัน 303 คน จากทั้งหมด 1,035 คน คิดเป็นร้อยละ 29.3

ปลดนายร้อย 1,455 คน จากทั้งหมด 3,845 คน คิดเป็นร้อยละ 37.8

ปลดจ่าสิบเอก 730 คน จากทั้งหมด 2,577 คน คิดเป็นร้อยละ 28.7

ปลดนายสิบ 3,905 คน จากทั้งหมด 24,544 คน คิดเป็นร้อยละ 15.9... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.silpa-mag.com/history/article_36062

 

หลังจากคุณตาของเราโดนปลดออกจากการเป็นทหารแล้ว คุณตาของเราก็ย้ายมาอยู่ที่อุบล และประกอบอาชีพทำไร่

 

เราแทบไม่เคยคุยกับคุณตาเลย เพราะตากับยายของเราอยู่ที่อุบล ส่วนเราอยู่กรุงเทพ ตอนที่เราเด็ก ๆ เราได้ไปเยี่ยมตากับยายปีละ 2 ครั้ง ช่วงปิดเทอมใหญ่กับปิดเทอมเล็ก เหมือนคุณตาเป็นคนไม่ค่อยพูด บ้านของเรายากจนด้วย ครอบครัวของเราก็เลยแทบไม่เคย “ถ่ายรูป” อะไรกันเอาไว้เลย เราก็เลยไม่มีรูปถ่ายของคุณตาเลย ถ้าหากเราจะนึกถึงภาพของคุณตา เราก็ต้องใช้ “ความทรงจำ” ของตัวเองเท่านั้น เพราะเราไม่มีแม้แต่ภาพถ่ายของท่าน

 

คุณตาของเราเสียชีวิตในช่วงราวปี 1985 ตอนที่เราอายุได้ 12 ปี ไม่รู้ตอนนี้ท่านกลับชาติมาเกิดใหม่แล้วยัง บางทีเพื่อนใน facebook บางคนของเราที่เกิดหลังปี 1985 อาจจะเป็นคุณตาของเรากลับชาติมาเกิดใหม่ 555555

 

ไม่รู้เหมือนกันว่า ก่อนที่คุณตาของเราจะถูกปลดออกจากการเป็นทหาร ท่านเคยไปรบที่ไหนมาบ้างหรือเปล่า ส่วนพ่อของเราก็เป็นทหารบกเหมือนกัน แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อของเราเคยไปรบที่ไหนมาบ้าง เราเข้าใจว่าน่าจะเคยไปรบในสงครามเวียดนามด้วยนะ แต่พ่อของเราเสียชีวิตในปี 1976 จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนที่เราอายุได้ 3 ขวบ เราก็เลยไม่เคยได้มีโอกาสคุยกับพ่อเลยว่า ท่านเคยไปรบที่ไหนมาบ้างหรือเปล่า เราจำได้แต่ว่า ตอนเด็ก ๆ ที่บ้านเรามี “หนังสือรวมภาพกับดักและกับระเบิดประเภทต่าง ๆ” อะไรทำนองนี้ เสียดายที่หนังสือเล่มนี้หายสาบสูญไปแล้ว

 

พอดูหนังเรื่อง THE IMPOSSIBLE DREAM ของเข้ ที่พูดถึงคุณตาที่เป็นทหาร, การเสียชีวิตของคุณตา และอาจจะพูดถึง “กาลเวลาที่ผ่านเลยไป ยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่าน” อะไรทำนองนี้ด้วย เราก็เลยนึกถึงชีวิตของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ นึกถึงคุณตาที่เป็นทหาร นึกถึงคุณพ่อที่เป็นทหารบก และนึกถึงตัวเองที่ต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหาร แต่เราเองก็เป็นโรค “คลั่งไคล้ทหารอย่างรุนแรงมาก ๆ” ในเวลาเดียวกัน 55555 คือยอมรับเลยว่า วัน ๆ เราก็มัวแต่เสียเวลาไปกับการกดไลค์กดเลิฟคลิปทหารไทยอย่างรุนแรงค่ะ โดยเน้นไปที่คลิปแบบนี้

https://web.facebook.com/reel/616835531403264

 

+++++

 

งานฉายหนัง Filmvirus Wildtype ครั้งแรกจัดขึ้นในวันที่ 6 ก.พ. 2009 เผื่อใครอยากรู้ว่าตอนนั้นมีการฉายหนังอะไรบ้าง เราก็เลย copy ข้อมูลมาแปะไว้ในนี้ด้วย 55555

 

Friday, February 6

1300-1700 hrs

1.DISEASES AND A HUNDRED YEAR PERIOD (2008, Sompot Chidgasornpongse, 20 min)

โรคร้ายในรอบหนึ่งร้อยปี (สมพจน์ ชิตเกษรพงษ์ /2008/ไทย)20 นาที
This film is partly about the censorship of SYNDROMES AND A CENTURY.


2.HONGSA'S SCHOOL BAG (2008, Supamok Silaruk, 23 min)

กระเป๋านักเรียนของหงสา (ศุภโมกข์ ศิลารักษ์) 23นาที
Previous films of Supamok include VIOLET BASIL (2004) and THE SONGS OF EH DOH SHI (2007).


3. AN ORDINARY STORY (DIRECTOR'S CUT) (2007, Meathus Sirinawin, 23 min)

เรื่องธรรมดา DIRECTOR'S CUT (2007, เมธัส ศิรินาวิน) 23 นาที
This is a documentary about a male university student. The subject of this film was not aware that he was shot during the shooting of this film.


4.TWO STORIES ABOUT DHARMA (2008, Natchanon Jitweerapat + Isara Konlum, 20 min)

ธรรมะสองเรื่องควบ (ณัฐชนน จิตวีรภัทร , อิสระ คลล้ำ /2008 /ไทย) 20 นาที
This is the cult film of the year 2008.


5.FRAGRANCE OF THE WIND (GLIN SAIL OM) (2007, Chaiwat Wiansantia, 26 min)

กลิ่นสายลม(ชัยวัฒน์ เวียนสันเทียะ) 26 นาที


6.WE ALL KNOW EACH OTHER (2007, Phuttiphong Aroonpheng, 57 min)

WE ALL KNOW EACH OTHER (2007, พุทธิพงษ์ อรุณเพ็ง) 57 นาที
In this documentary shot in Japan, person A talks about his friend B, then B talks about C, then C talks about D, and so on.


7.WAY TO BLUE (Supawadee Sripoothorn, 30 min)

WAY TO BLUE (สุภาวดี ศรีภูธร) 30 นาที

8.ENDLESS RHYME (2008, Thanatchai Bundasak, 26 min)

วัฏคีตา (ENDLESS RHYME ) (ธณัชชัย บรรดาศักดิ์ / 2008/ไทย)26 นาที

9. สัตว์วิบากหนักโลก (Phaisit Phanphruksachat)


The program for Saturday, Feb 7 is as follows:

12.30-1700 hrs

1.HASAN (2008, Attapon Pamakho, 29 min)

ฮะซัน(อรรถพล ปะมะโข /2008) 29 นาที

This is one of the most romantic gay films I have ever seen. It stars Supasawat Buranawej and Pavinee Samakkabutr, who are ones of the leading actors in current Thai theatre scenes.


2. DEAD SNACK (2008, Pichanund Laohapornsvan, 8 min)

ขอขบเคี้ยวสักนิดก็ยังดี (พิชชานันท์ เลาหะพรสวรรค์) 8 นาที
This is a very funny Thai zombie film.


3.THE DAY I LEAVE THE CLASSROOM (2008, Witchuta Watjanarat, 18 min)

ภาพเคลื่อนไหว (วิชชุตา วัจนะรัตน์) 18 นาที
This film shows the problem of film studies in Thai universities.


4.FAMILY (2008, Komsunt Boonyavit, 13 min)

เด็กมีปัญหา (2008, คมสันต์ บุญญะวิตร) 13 นาที


5.WANG YUEN HAB (2008, Sompong Soda, 35 min)

วังยื่นหาบ (2008,สมพงษ์ โสดา)35นาที
This film shows Thai rural life in the way I rarely see. It feels really earthy in this film. I think it may be interesting to compare and contrast the ways Thai rural life are shown in contemporary films by Apichatpong Weerasethakul, Uruphong Raksasad, Boonsong Nakphoo, Comjak Thongjib, Chaiwat Wiansantia, and Sompong Soda.


6.TRACK 01 TAKE 30 (2008, Thakoon Khempunya, 17 min)

เมื่อผมแต่งเพลงรัก (ฐากูร เข็มปัญญา) 17 นาที
This is a self-reflexive film.


7.REAL (2008, Uhten Sririwi, 15 min)

REAL (อุเทน ศรีริวิ) 15 นาที
This is a self-reflexive film.


8.PLOTTAPE (2007, Kitisak Khunpetch, 16 min)

PLOTTAPE (กิติศักดิ์ ขุนเพชร) 16 นาที
This is a self-reflexive film.


9.NEW GENERATION (2008, Pakwan Suksomthin, 16 min)

NEW GENERATION (เด็กโจ๋) (2008, พาขวัญ สุขสมถิ่น)16 นาที


10.THE…PROFICIENT (2008, Phumiphat Arayathanitkul, 26 min)

เออ...เองเก่ง (ภูมิพัฒน์ อารยะธนิตกุล) 26 นาที
This is a very lovely documentary.
(เหมือนหนังเรื่องนี้ไม่ได้ฉายในวันจริง เพราะดีวีดีส่งมาไม่ถึง หรือเพราะติดปัญหาอะไรสักอย่าง แต่เป็นหนังที่เราชอบมาก ๆ ตอนที่เราได้ดูในงานฉายหนังสั้นมาราธอน)



11.PERFECT BALANCE? (2007, Parinya Junpengpen, 4 min)

Perfect Balance?(ปริญญา จันทร์เพ็งเพ็ญ) 4 นาที


12.STILL (2008, Wisarut Deelorm, 52 min)

STILL (2008, วิศรุต ดีล้อม) 52 นาที


13.REPEATING DRAMATIC (2008, Arpapun Plungsirisoontorn, 8 min)

REPEATING DRAMATIC (2008, อาภาพรรณ ปลั่งสิริสุนทร) 8นาที

This experimental film is one of my most favorite films dealing with Thai politics.

 

+++++

 

DEATH IN A FRENCH GARDEN (1985, Michel Deville, France, A+30)

 

1. I worship Michel Deville รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ inventive ด้านโครงสร้างการเล่าเรื่องจริง ๆ ถึงแม้ว่าหนังของเขาจะดูง่ายกว่าหนังของ Alain Resnais, Alain Robbe-Grillet และ Raoul Ruiz มาก ๆ แต่เราก็รู้สึกว่า หนังของเขามีความพิสดารทางการเล่าเรื่องบางอย่างที่เราชอบมาก ๆ ทั้งหนังเรื่องนี้, DOSSIER 51 (1973), LA LECTRICE (1988) และ SACHS’ DISEASE (1999) ต่างก็มีความเพี้ยนพิลึกในทางวิธีการเล่าเรื่องบางอย่างที่เราชอบสุด ๆ

 

ซึ่งจริง ๆ แล้ว DEATH IN A FRENCH GARDEN ก็เล่าเรื่องเป็น “เส้นตรง” นะ แต่เรารู้สึกว่า “วิธีการตัดต่อ” เชื่อมฉากแต่ละฉากของเขาเข้าด้วยกันในหนังเรื่องนี้ มันก่อให้เกิดความรู้สึกที่ประหลาดมาก ๆ คือวิธีการตัดต่อแต่ละฉากเข้าด้วยกันในหนังเรื่องนี้ จริง ๆ แล้วมันก็เป็นวิธีธรรมดา ที่เราเดาว่าเขาเรียกว่า Match Cut อย่างเช่น ตัวละครยกขาในช่วงสุดท้ายของฉาก A แล้วตัดฉับมาเป็นตัวละครก็ยกขาในช่วงต้นของฉาก B อะไรทำนองนี้

 

ซึ่งเหมือน Match Cut โดยปกติมันถูกออกแบบมาเพื่อให้สองฉากเชื่อมต่อเข้าด้วยกันแบบ seamless flow แต่หนังเรื่องนี้เหมือนเต็มไปด้วย match cut ที่มาในจังหวะที่ “ผู้ชมตั้งตัวไม่ทัน” แบบผู้ชมกำลังดูฉาก A อยู่ แล้วอยู่ดี ๆ มันก็ match cut ไปสู่ฉาก B อย่างฉับพลันทันใด เราก็เลยรู้สึกว่า Michel Deville คงตั้งใจ “เล่นสนุก” อะไรบางอย่างกับ match cut ตลอดเวลาในหนังเรื่องนี้ เราก็เลยชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุด ๆ คือเนื้อหาของหนังเรื่องนี้ก็เพี้ยนพิลึกมากอยู่แล้ว และหนังเรื่องนี้ก็เหมือนจงใจ “ทดลองอะไรฮา ๆ” กับ match cut ตลอดทั้งเรื่องด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราแทบไม่เคยเจอในหนังเรื่องอื่น ๆ มาก่อน

 

2. ดูหนังเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกว่า Michel Deville นี่ก็ unique มาก ๆ นะ คือหนังเรื่องนี้มีบางจุดที่ทำให้นึกถึงทั้ง Alfred Hitchcock, Atom Egoyan, Steven Soderbergh, Claude Chabrol แต่ในขณะเดียวกันมันก็แตกต่างจากหนังของทั้ง 4 คนนี้ด้วย เพราะมันไม่ได้เน้นสร้างความตื่นเต้นให้คนดูแบบ Hitchcock และมันก็ไม่ได้จงใจสำรวจจิตวิญญาณของมนุษย์แบบ Chabrol แต่มันเป็นอะไรที่เฮี้ยนมาก

 

หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึง Alain Robbe-Grillet ด้วย ในแง่การเล่นสนุกกับความเป็นภาพยนตร์ โดยไม่เน้นสร้างตัวละครให้เป็นมนุษย์จริง ๆ ฉากที่ดูแล้วนึกถึง Robbe-Grillet มาก ๆ คือฉากที่ตัวละครเอเดินมา, ตัวละครบีเปลือยกาย ยืนมองตัวละครเอ, ตัวละครเอพูด, ตัดภาพมาเป็นตัวละครบีใส่เสื้อผ้าเต็มยศ ยืนมองตัวละครเอ เหมือนการตัดต่อแต่ละครั้งทำให้คนดูไม่แน่ใจอีกต่อไปว่า อะไรคือความจริง

 

3. ก็เลยรู้สึกว่า Michel Deville นี่ถือว่าสร้างที่ทาง ลักษณะเด่นของตัวเองได้ดีทีเดียวเมื่อเทียบกับผู้กำกับกลุ่ม Post French New Wave ในรุ่นเดียวกัน เพราะผู้กำกับกลุ่ม Post French New Wave ส่วนใหญ่ ถนัดทำหนังแนวเจาะลึกจิตวิญญาณของมนุษย์ และตัวละครจะดูเป็นมนุษย์มาก ๆ อย่างเช่น Jean Eustache, Andre Techine, Phillippe Garrel, Claude Sautet, Maurice Pialat, Jacques Doillon

 

แต่ Michel Deville นี่เหมือนโดดออกมาเลย เพราะอย่าง DEATH IN A FRENCH GARDEN นี่ ตัวละครก็ไม่ได้ดูสมจริงอะไร แต่หนังมันดูเฮี้ยนมาก ๆ และการตัดต่อก็เฮี้ยนมาก ๆ

 

(แน่นอนว่า ผู้กำกับกลุ่ม Post French New Wave บางคน ก็ไม่ได้เข้าข่ายข้างต้นนะ อย่างเช่น Bertrand Blier, Luc Moullet, Marguerite Duras, etc. ที่แต่ละคนก็มีความ unique ของตัวเองในแบบที่แตกต่างกันไป)

 

4. ชอบตัวละคร “เพื่อนบ้าน” (Anémone) ในหนังเรื่องนี้มาก ๆ ขอจองเป็นตัวละครตัวนี้ เฮี้ยนมาก ๆ รู้เลยว่า ตัวละครตัวนี้สามารถเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในหนังของ Paul Verhoeven ได้สบาย ๆ