เพิ่งได้ข่าวว่า BURGER KING สาขาสีลมซอยสองปิดกิจการไปแล้ว เศร้ามาก ๆ นึกถึงสมัยต้นทศวรรษ 2000
เวลาเราดูหนังที่ Alliance กับ Goethe เสร็จตอนราว
ๆ 2 ทุ่มกว่า หรือสามทุ่ม บางทีเรากับเพื่อน ๆ cinephiles ก็จะมานั่งเมาธ์มอยคุยเรื่องหนังกันที่
Burger King หน้าสีลมซอยสองต่อจนถึงตีสาม
ยุคนั้นเป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลาย เราเองก็ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ
(เราเพิ่งซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกในปี 2006)
เพราะฉะนั้นเราก็แทบไม่มีโอกาสได้คุยเมาธ์มอยเรื่องหนังกับใครเลยในแต่ละวัน
ยกเว้นเวลาที่เราได้เจอเพื่อน ๆ cinephiles ที่ Alliance
กับ Goethe นี่แหละ
คุยกันทีก็เลยลากยาวตั้งแต่ 21.00-03.00 น.
เป็นการคุยกันเรื่องหนังที่มีความสุขสุดขีด
สาเหตุที่เลือกนั่งแช่ที่นี่เพราะว่ามันเป็นร้านอาหารที่นั่งแช่นาน ๆ หลายชั่วโมงได้
โดยที่พนักงานไม่มาไล่ แล้วยุคนั้นร้าน Burger King สาขานี้ก็ใหญ่มาก
กว้างขวาง และก็มีห้องน้ำให้เข้าได้สะดวกด้วย
ปวดฉี่เมื่อไหร่ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำได้เป็นระยะ ๆ ตลอดทั้งคืน
พอได้ฟัง podcast ของ MAN
ON FILM เรื่อง “คบ-คุย-เท” ก็เลยจำได้ว่า เมื่อราว 25 ปีก่อน
เรากับเพื่อนๆ cinephiles ก็เคยเล่นเกมคล้าย ๆ อย่างนี้เหมือนกันเวลาที่พวกเรานั่งคุยกันในร้านอาหาร
แต่เกมตอนนั้นเป็นแค่เลือกผู้กำกับมาครั้งละ 2 คน
แล้วเลือกว่าชอบใครมากกว่ากันในสองคนนั้น เท่าที่จำได้ก็มี
1. Mike Leigh or Ken Loach แล้วเพื่อนเลือก Mike Leigh
2. Hou Hsiao-hsien or Edward Yang แล้วเพื่อนเลือก
Hou
3. Andre Techine or Patrice Leconte แล้วเพื่อนเลือก
Techine
4. Derek Jarman or Peter Greenaway แล้วเพื่อนเลือก
Jarman
ซึ่งจริง ๆ ก็มีมากกว่านี้อีก
แต่เราจำไม่ได้แล้ว เพราะมันผ่านมานาน 25 ปีแล้ว
ร้าน BURGER KING สีลมซอยสอง
ก็เลยถือเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา เพราะความเป็น cinephile
ในตัวเรา
ก็ได้รับการหล่อหลอมขึ้นมาอย่างสำคัญผ่านทางการพูดคุยกับเพื่อน ๆ cinephiles
ด้วยกันที่ร้านนี้ คุยกันเรื่องหนังตั้งแต่ 21.00-03.00 น.
หนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต
อีกร้านหนึ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิต cinephile
ของเรา ก็คือร้าน A&W ชั้นใต้ดิน SILOM
COMPLEX ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เพราะเราชอบมานั่งกิน waffle และรูทเบียร์โฟลทที่ร้านนี้ ก่อนเดินเข้าซอยศาลาแดง เพื่อไปดูหนังที่ Alliance
ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ร้านนี้เป็นร้านที่เรานั่งแดกเป็นประจำ
ก่อนไปดูหนังที่ Alliance แต่ส่วนใหญ่เป็นการนั่งแดกคนเดียว
ไม่ได้คุยกับใคร ร้านนี้ก็เลยไม่ได้มีความสำคัญต่อชีวิต cinephile ของเรามากเท่า BURGER KING สีลมซอยสอง
+++++++++
พอดู BETTER MAN (2024, Michael Gracey,
UK, A+30) แล้วก็เลยต้องไปคลิกดู music video เพลง
IT ONLY TAKES A MINUTE (1992) ของวง Take That อีกครั้ง เพราะเรารู้จักวงนี้และ Robbie Williams ครั้งแรกในปี
1992 จากมิวสิควิดีโอเพลงนี้นี่แหละ จำได้ว่าตอนพวกเราได้ดู MV เพลงนี้ พวกเราวี้ดสลบมาก ๆ เพราะว่า music video เพลงนี้โชว์ความหล่อล่ำของสมาชิกวงอย่างเต็มที่
ซึ่งภาพหนุ่มหล่อล่ำถอดเสื้ออะไรแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่หาดูได้ง่าย ๆ ในยุค pre-internet
แบบนั้น
https://www.youtube.com/watch?v=7J3U4Ke0SCY
และพอเราดูหนังเรื่องนี้ เราถึงได้รู้ว่าวง Take
That พยายามจับตลาด gay เป็นเป้าหมายแรก ๆ
เราก็เลยไม่แปลกใจที่วงนี้โชว์ความหล่อล่ำอย่างเต็มที่ ซึ่งแตกต่างจากวง New
Kids on the Block ที่มาก่อนหน้านั้น และวง Boyzone ที่มาหลังจากนั้น ที่ไม่ได้โชว์เนื้อหนังมังสามากขนาดนี้
โดยส่วนตัวแล้ว เรามองว่าวง Take That ถือเป็นวง “boy band ที่โชคดี” ในประเทศไทย
เพราะวงนี้เริ่มโด่งดังในปี 1992 ซึ่งเป็นปีที่
“เคเบิลทีวีเริ่มแพร่หลายในประเทศไทย” พอดี และส่งผลให้การเข้าถึง music
video และ MTV เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายในไทยตั้งแต่ปี
1992 เป็นต้นมา และพอการเข้าถึง music video เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย
การได้เห็นความหล่อล่ำของสมาชิกวงก็เลยเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย
และส่งผลให้ชื่อเสียงของวงนี้โด่งดังในวงกว้างได้ง่ายด้วย
คือเรามองว่า วง boy band แบบนี้
เป็นวงที่ “ขายรูปร่างหน้าตา” เป็นหลักน่ะ
เพราะฉะนั้นชื่อเสียงของวงดนตรีประเภทนี้ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความไพเราะของเพลง
และการโปรโมทจากสถานีวิทยุเพียงอย่างเดียว
แต่ขึ้นอยู่กับการที่ผู้ฟังมีโอกาสได้เห็น music video ได้ง่าย
ๆ ด้วย
เพราะจริง ๆ แล้วเราเติบโตมากับวง boy
band หลายวงในทศวรรษ 1980 ที่การเข้าถึง music videos เป็นสิ่งที่ยากลำบากอย่างแสนสาหัสมาก คือในทศวรรษ 1980 นั้น MTV และเคเบิลทีวีต่าง ๆ ยังไม่ได้เข้ามาอย่างแพร่หลายในไทย เราได้ดูทีวีแค่ 5
ช่อง คือช่อง 3 5 7 9 11 ซึ่งก็แทบไม่มีการเปิด MV เพลงต่างชาติ
กว่าเราจะได้ดูมิวสิควิดีโอเพลงต่างชาติสักที
เราก็ต้องรอดูรายการบันเทิงคดีของคุณมาโนช พุฒตาล ที่ออกอากาศทางช่อง 5
สัปดาห์ละครึ่งชั่วโมง และคุณมาโนชก็เน้นเปิดแต่ MV เพลงร็อคเป็นหลัก
นาน ๆ ทีเขาถึงจะเปิด MV เพลงป็อปหรือเพลงแดนซ์
จำได้ว่าตอนนั้นมีรายการทีวีของคุณวิโรจน์
ควันธรรมทางช่อง 3 และก็มีรายการทีวีของคุณนิมิตร ลักษมีพงศ์ ทางช่อง 9
สองรายการนี้เน้นเปิด MV เพลงป็อปจากต่างประเทศเป็นหลัก
แต่สองรายการนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน
เพราะฉะนั้นในยุคทศวรรษ 1980 เราก็เลยได้เห็นแต่
“ภาพนิ่ง” แค่ไม่กี่ภาพของวง boy band ในยุคนั้นจากทางนิตยสารต่าง
ๆ แต่แทบไม่เคยได้ดู music video ของวง boy band ในยุคนั้นเลย
เพราะรายการทีวีในไทยแทบไม่เคยเปิด MV ของวงเหล่านี้
การจะได้ดู MV ของวง boy band เหล่านี้
สามารถทำได้ด้วยการจ่ายตังค์ซื้อวิดีโอจากร้านแมงป่อง, ร้านลูกแมว, ร้าน REX
ม้วนละ 150-200 บาทมาดู ซึ่งเงิน 200 บาทในทศวรรษ 1980
นี่มันไม่ใช่น้อย ๆ เลยสำหรับเรา (ยุคนั้นข้าวผัดใส่ไข่จานละ 10 บาท
เราต้องอดข้าวกลางวัน 10-20 วันเพื่อเก็บเงินมาซื้อวิดีโอหนังเรื่อง TOP
GUN ในยุคนั้น) มันก็เลยรู้สึกอดอยากปากแห้งมาก ๆ จนกระทั่งเคเบิลทีวีเข้ามาแพร่หลายในไทยในปี
1992 พร้อมกับวง Take That นี่แหละ ความเงี่ยน boy
band ถึงได้รับการตอบสนองอย่างฉ่ำใจ
ตัวอย่างของวง boy band ในยุคที่ดิฉันยังคงเป็นสาวน้อยแรกรุ่นวัยกำดัด
(รวมถึงวง pop band หนุ่มหล่อที่สมาชิกในวงเล่นดนตรีได้ด้วย)
1. Shibugakitai
https://www.youtube.com/watch?v=XUW1slgCrsw
2. The Checkers
https://www.youtube.com/watch?v=5Zk_28pjQCA
3. Shonentai
https://www.youtube.com/watch?v=4V7uvTzkVm0
4. Hikaru Genji
https://www.youtube.com/watch?v=a64z7vt-v-A
5. Otokogumi
https://www.youtube.com/watch?v=rV-QEjp6l8E&list=PLmszRRnkNp6xiYV3pruccDi2eegkJLUbF&index=5
6. Brother Beyond
https://www.youtube.com/watch?v=LKqugnhov3A
7. Breathe
https://www.youtube.com/watch?v=PwZ4erdJZRA
8. Big Fun
https://www.youtube.com/watch?v=D9VrSxpSuVg
9. New Kids on the Block
https://www.youtube.com/watch?v=VbxJv8MGCbc
10. Curiosity Killed the Cat
https://www.youtube.com/watch?v=59M9ggdpFjQ
11. Halo James
https://www.youtube.com/watch?v=XBf2d25s2ZQ
สรุปว่า ในบรรดา 11 วงนี้
วงที่ดิฉันชอบมากที่สุดคือ HALO JAMES ค่ะ
ใครคิดถึงวง boy band อะไรในทศวรรษ
1980-1990 ก็มาแสดงความเห็นกันได้นะคะ
+++++
COLLECTIVE FILES OF THAKSIN RETURNS TO THAILAND แฟ้มรวมภาพทักษิณกลับไทย (2023, Teeraphan Ngowjeenanan, documentary,
54min, A+30)
1.เราได้ดูหนังเรื่องนี้ในวันที่ 26 ธ.ค. 2024
แต่ไม่มีเวลาว่างเขียนถึงเลย ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยผ่านมานาน 4 เดือนแล้ว
ก็เลยคิดว่าขอจดบันทึกความทรงจำถึงหนังเรื่องนี้สักเล็ก ๆ น้อย ๆ ดีกว่า ถึงแม้ว่าเราได้ลืมรายละเอียดต่าง
ๆ ในหนังเรื่องนี้ไปเกือบหมดแล้ว
2. นับถือความพยายามของผู้สร้างหนังเรื่องนี้มาก
ๆ ในการรวบรวมคลิปทักษิณเดินทางกลับถึงไทยในวันที่ 22 ส.ค. 2023 จากหลากหลายสถานีข่าวเข้ามาไว้ด้วยกัน
โดยที่หนังทั้งเรื่องนี้ไม่มีเสียง voiceover ของตัวผู้กำกับปรากฏอยู่ในหนังเลยแม้แต่นิดเดียว
เราได้เห็นเพียงแค่คลิปข่าวทักษิณ ชินวัตรเดินทางกลับถึงประเทศไทยซ้ำไปซ้ำมาจากหลาย
ๆ แหล่ง โดยที่เนื้อหาในคลิปส่วนใหญ่ก็จะค่อนข้างซ้ำ แตกต่างกันเพียงแค่เสียงผู้บรรยายข่าวของแต่ละสถานี
หรือเสียงของคนเสื้อแดงที่ตะโกนให้ได้ยินกันในงานนั้น
เราก็เลยเหมือนได้ดูคลิปข่าวทักษิณเดินทางกลับถึงไทยซ้ำไปซ้ำมาราว 20 รอบได้มั้งในหนังเรื่องนี้
55555 โดยแหล่งที่มาของคลิปข่าวเหล่านี้ก็มีเช่น
2.1
ช่อง 3 HD
2.2 ช่อง 8
2.3 ช่อง
GMM 25
2.4 ช่อง One 31
2.5 ช่อง THAIRATH TV 32
2.6 ช่อง PPTV 36
2.7 ช่อง SPRING
2.8 THE STANDARD
2.9 VARIOUS
TIKTOK ACCOUNTS คลิปจากหลากหลายผู้ใช้ TIKTOK
2.10 THAIPBS
2.11 VOICE TV
2.12 อีจัน
3. การดูหนังเรื่องนี้ ทำให้เรานึกถึงหนัง 3 เรื่องด้วยกัน ซึ่งก็คือ
3.1 THE AUTOBIOGRAPHY OF NICOLAE CEAUSESCU (2010, Andrei
Ujica, Romania, documentary, 180min, A+30)
ที่เป็นการนำคลิปข่าวของนิโคไล เชาเชสกู ผู้นำโรมาเนีย
มาเรียงร้อยเข้าด้วยกัน โดยไม่มีการแสดงความเห็นส่วนตัวของผู้กำกับ
3.2 THE MUSIC ACCORDING TO ANTONIO
CARLOS JOBIM (2012, Nelson Pereira dos Santos, Dora Jobim, 84min, Brazil, A+30)
ที่เป็นการนำมิวสิควิดีโอเพลง GIRL FROM
IPANEMA จากหลากหลายศิลปิน หลากหลายเวอร์ชั่น มาเรียงต่อ ๆ กัน
จนส่งผลให้ผู้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ฟังเพลง GIRL FROM IPANEMA ซ้ำไปซ้ำมาราว 20 รอบ
3.3 S.(SILENT) KOREA (2024, Ho Bin Kim, South Korea, 53min,
A+30)
ที่เป็นการเรียงร้อยคลิปข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์เรือจมในวันที่
16 เม.ย. 2014 เข้าด้วยกัน ซึ่งรวมถึงคลิปงานรำลึกเหตุการณ์เรือจมในแต่ละปีด้วย
เราก็เลยรู้สึกว่า โครงสร้างหนังแบบนำเสนอ “สิ่งเดียวกัน”
แบบซ้ำไปซ้ำมากว่าสิบรอบ แต่มี variations แตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละรอบ
แบบนี้นั้น เป็นโครงสร้างหนังในแบบที่เราไม่ค่อยได้เจอ
หรือไม่ก็ได้เจอแต่ในหนังสั้น นาน ๆ
ทีเราถึงจะได้เจอโครงสร้างแบบนี้ในหนังขนาดกลางหรือขนาดยาว ซึ่งก็มีเรื่อง COLLECTIVE
FILES OF THAKSIN RETURNS TO THAILAND, THE MUSIC ACCORDING TO ANTONIO CARLOS
JOBIM และ S.(SILENT) KOREA นี่แหละ
ที่กล้าใช้โครงสร้างแบบนี้ในหนังขนาดกลางหรือยาว
4. เราชอบ “ความยาว” ของหนังเรื่องนี้นะ เพราะว่าอารมณ์ความรู้สึกของเราที่มีต่อหนังเรื่องนี้เปลี่ยนไปเรื่อย
ๆ ขณะที่ดู ซึ่งถ้าหากหนังเรื่องนี้ไม่ยาวแบบนี้
ความรู้สึกของเราก็อาจจะไม่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แบบนี้
4.1 ตอนแรกที่ดู เราจะรู้สึก “ขำขัน”
ที่ได้เห็นคลิปข่าวทักษิณกลับถึงประเทศไทย ซ้ำไปซ้ำมาหลาย ๆ รอบ
4.2 แต่พอดูไปเรื่อย ๆ เรากลับเผลอรู้สึก “ชื่นชม”
ทักษิณ ขึ้นมาแว่บนึง 55555 เพราะเราได้ดูเพียงแค่ moment นั้น
ๆ ของทักษิณน่ะ เราไม่ได้ดู moments อื่น ๆ ของเขา และพอเราได้ดูแค่
moment นั้น ๆ ซ้ำไปซ้ำมา เราก็เลยไม่ได้นึกถึงการกระทำอื่น
ๆ ของเขาที่อยู่นอกเหนือจาก moment นั้น และพอเราดู moment
นั้นแค่อย่างเดียว เราก็คิดว่าอย่างน้อยเขาก็เป็น “นักการเมือง” ที่ควบคุมการแสดงออกของตัวเองได้เก่งกว่าประยุทธ์น่ะ
คืออันนี้ก็คงจะเกิดจากความเห็นส่วนตัวของเราเองน่ะแหละที่เกลียดประยุทธ์มากกว่าทักษิณ
55555 และพอเราได้ดูคลิปข่าวนั้นซ้ำไปซ้ำมา เราก็คิดว่า ทักษิณคงตั้งเป้าประสงค์บางอย่างไว้แล้วก่อนลงจากเครื่องบินว่า
เขาต้องการแสดงออกอย่างไร เพื่อหวังผลอะไร เพื่อให้คนกลุ่มไหนคิดกับเขาอย่างไรบ้าง
และเขาก็สามารถควบคุมตัวเอง และแสดงออกตามบทบาทที่ตนเองตั้งใจไว้ ทำตามที่ตัวเองตั้งเป้าไว้ได้สำเร็จ
และเราก็คิดว่าเขาควบคุมการแสดงออกของตัวเองได้เก่งกว่าประยุทธ์ อย่างน้อยก็ใน moment
พวกนี้
4.3 แต่โชคดีที่หนังเรื่องนี้มันยาว 54 นาที
เพราะหลังจากที่เรารู้สึก “ขำขัน” และ “ชื่นชม” แล้ว ความยาวของหนังเรื่องนี้ก็ส่งผลให้เราค่อย
ๆ ลดการเอาอารมณ์ไปผูกกับภาพที่เห็นในข่าว และความคิดของเราก็ไหลเลื่อนไปคิดพิจารณาถึงประเด็นต่าง
ๆ ในการเมืองไทยทั้งในช่วงก่อนหน้าและในช่วงหลังจากที่ทักษิณลงจากเครื่องบิน
คือในช่วงหลัง ๆ ของหนัง เราก็ดูหนังเรื่องนี้แบบแบ่งประสาทเป็นสองส่วนน่ะ
ส่วนนึงก็จับตาดูภาพตรงหน้าและฟังเสียงจากหนัง และประสาทอีกส่วนหนึ่งก็เป็นการคิดพิจารณาถึงเหตุการณ์ต่าง
ๆ ทางการเมืองของไทยในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาไปเรื่อย ๆ
ซึ่งก็ต้องขอบคุณหนังเรื่องนี้มากที่มันยาว 54
นาที เพราะถ้าหากมันสั้นกว่านี้ หนังก็อาจจะจบลงด้วยการทิ้งให้เรารู้สึกชื่นชมทักษิณ
โดยที่หนังไม่ได้ตั้งใจ 55555 แต่พอหนังเรื่องนี้มันยาว
เราก็เลยมีเวลาคิดถึงอะไรต่าง ๆ ที่หนังไม่ได้พูดถึงโดยตรงไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ
5. และเราก็เลยชอบสุดขีดที่หนังเรื่องนี้เหมือนไม่ได้แสดงความเห็นส่วนตัวของผู้กำกับอยู่ในหนังเลย
เพราะเราคิดว่า
5.1 หนังบางเรื่องสามารถใส่ความเห็นส่วนตัวของผู้กำกับ
หรือของผู้ให้สัมภาษณ์เข้าไปได้นะ แต่มันควรจะเป็นความเห็นของคนที่รู้ลึก
รู้จริงน่ะ แบบหนังการเมืองของ Prap Boonpan ที่ตัวผู้กำกับรู้ลึก
รู้จริง หรือหนังที่สัมภาษณ์นักวิชาการที่รู้ลึก รู้จริง เพราะหนังการเมืองกลุ่มนี้อาจจะให้ประโยชน์กับผู้ชมได้
หรือไม่ก็หนังที่สัมภาษณ์ “ผู้ที่มีประสบการณ์น่าสนใจจริง ๆ” อย่างเช่น
หนังการเมืองที่สัมภาษณ์เหยื่อในเหตุการณ์ต่าง ๆ เพราะหนังเหล่านี้ก็สามารถให้ประโยชน์กับผู้ชมได้เช่นกัน
5.2
แต่ถ้าหากผู้กำกับหรือผู้ให้สัมภาษณ์ไม่ได้รู้ลึก รู้จริง
หรือไม่มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจจริง ๆ หนังการเมืองบางเรื่องที่ใส่ความเห็นของผู้กำกับเข้ามา
ก็อาจจะส่งผลให้เรารู้สึกต่อต้านหนังได้โดยง่าย ถ้าหากผู้กำกับคนนั้นมีทัศนคติทางการเมืองตรงข้ามกับเรา
55555 หรือผู้กำกับคนนั้นไม่ได้พูดอะไรที่น่าสนใจไปกว่าการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยทั่วไปที่เราสามารถอ่านเจอได้ในฟีด
facebook อยู่แล้ว
5.3 เราก็เลยรู้สึกว่า
การที่หนังเรื่องนี้เลือกใช้วิธีไม่แสดงความเห็นส่วนตัวของผู้กำกับเลย และปล่อยให้ผู้ชมรู้สึกยังไงก็ได้กับทักษิณในคลิปข่าวเหล่านี้
เป็นปัจจัยสำคัญมาก ๆ ที่ทำให้เราไม่รู้สึกต่อต้านหนังเรื่องนี้ขณะที่ดู
เหมือนหนังเรื่องนี้ปล่อยให้เรารู้สึกรักหรือเกลียด ชื่นชมหรือขยะแขยง ทักษิณได้ตามใจชอบ
และพอหนังเรื่องนี้ให้อิสระกับเราที่จะรู้สึกกับทักษิณยังไงก็ได้ตามใจชอบ
เราก็เลยโอเคกับหนังเรื่องนี้มาก ๆ
6. ถ้าหากเทียบกับหนังเรื่องอื่น ๆ ของคุณ Teeraphan
แล้ว เราก็คิดว่าหนังของคุณ Teeraphan อาจจะแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่
ๆ ตามอำเภอใจของเรานะ ซึ่งก็คือ
6.1 หนังที่ “ต้อง” ดูตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนหนังที่ฉายในโรงภาพยนตร์โดยทั่วไป
ที่ผู้ชมจำเป็นจะต้องดูตั้งแต่ต้นจนจบ โดยหนังในกลุ่มนี้ของคุณ Teeraphan ก็มีอย่างเช่น
6.1.1 ONCE IN A YEAR ในหนึ่งปีมีหนึ่งวัน (2014,
Teeraphan Ngowjeenanan, documentary, 29min)
6.1.2 AWAY (2019, Teeraphan Ngowjeenanan, documentary, A+30)
ไกลบ้าน
6.1.3 TWO CHINESE DAUGHTERS (2023, documentary, 18min, A+30)
6.2 หนังที่สามารถใช้ทำเป็น video
installation เพื่อฉายวนลูปใน gallery ได้
เพราะเรารู้สึกว่าหนังกลุ่มนี้อาจจะ “ควร” ดูตั้งแต่ต้นจนจบก็จริง แต่ก็ “ไม่จำเป็น”
ที่จะต้องดูตั้งแต่ต้นจนจบ โดยหนังในกลุ่มนี้ก็มีเช่น
6.2.1 COLLECTIVE FILES OF THAKSIN
RETURNS TO THAILAND
6.2.2 THE MOST BEAUTIFUL TIME โมงยามที่งามที่สุด
(2014, Teeraphan Ngowjeenanan, 30min, A+30)
6.2.3 14/10/2016 – THE DAY AFTER (2017, Teeraphan
Ngowjeenanan, documentary, 127min, A+30)
6.2.4 WAY OF DUST “หากเข้านัยน์ตาเราก็คงจะทำให้เสียน้ำตา”
(2018, Teeraphan Ngowjeenanan, 132min, A+30)
7. รู้สึกว่า หนังของคุณ Teeraphan ถือเป็น “บันทึกทางการเมือง” ที่สำคัญมาก ๆ สำหรับเรา ทั้ง “ไกลบ้าน”, 14/10/2016
– THE DAY AFTER, “หากเข้านัยน์ตาเราก็คงจะทำให้เสียน้ำตา” และ COLLECTIVE
FILES OF THAKSIN RETURNS TO THAILAND
No comments:
Post a Comment