THE REASON (2017, Yingyong Wongtakee, A+30)
แด่เธอผู้เดียว – คนดูหนังที่ไม่มีวันหวนกลับมา
ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่นี่
SPOILERS ALERT
1.มันคือคู่แฝดโดยไม่ได้ตั้งใจของหนังเรื่อง DIASPORA UTOPIA (2017, Supawit
Buaket) จริงๆ
เพราะหนังสองเรื่องนี้มีองค์ประกอบที่คล้ายกันในหลายๆจุด แต่หนังสองเรื่องนี้เลือกที่จะเน้นในจุดที่แตกต่างกัน
และดีกันไปคนละแบบ
องค์ประกอบที่คล้ายกันในหนังสองเรื่องนี้ก็มีเช่น
1.1 พระเอกทำงานในวงการภาพยนตร์ในกรุงเทพเหมือนกัน
แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็เลยต้องกลับบ้านเกิดในต่างจังหวัดเหมือนกัน
1.2 พระเอกมีความหล่อน่ารักแบบบ้านๆ
แบบไทยๆผิวคล้ำหน่อยๆเหมือนกัน ชอบมากเลยทั้งสองเรื่อง ฮิฮิ
1.3 พระเอกกลับมาเจอกับแก๊งเพื่อนเก่าเหมือนกัน
แต่
DIASPORA UTOPIA จะให้ความสำคัญกับแก๊งเพื่อนเก่าค่อนข้างมาก เพราะ DIASPORA
UTOPIA ต้องการนำเสนอ “ปัญหาสังคม” ผ่านทางบทสนทนาของแก๊งเพื่อนเก่านี้
ในขณะที่ THE REASON ไม่ได้มีประเด็นปัญหาสังคม
เพราะฉะนั้นแก๊งเพื่อนเก่าในหนังเรื่องนี้ก็เลยทำหน้าที่เป็นแค่ตัวประกอบธรรมดาๆ
1.4 พระเอกกลับมาเจอกับ “สาวที่ตัวเองแอบชอบ”
เหมือนกัน ซึ่งเป็นสาวที่มีฐานะดีกว่าพระเอกเหมือนกัน
และพระเอกกับนางเอกได้ใช้เวลาช่วงสั้นๆอยู่ด้วยกันเหมือนกัน
1.5
มีโรงหนังร้างในหนังทั้งสองเรื่องเหมือนกัน แต่โรงหนังร้างใน DIASPORA UTOPIA มีฐานะเป็นเพียงแค่
“ฉาก surreal” ในขณะที่โรงหนังร้างใน THE REASON กลายเป็นประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้
1.6 มีการพูดถึงหรือนำเสนอของดีท้องถิ่นเหมือนกัน
โดย
DIASPORA UTOPIA เหมือนจะนำเสนอฉากวิวทิวทัศน์ที่งดงามมากๆในจังหวัดกระบี่
ส่วน THE REASON มีการนำเสนอสิ่งที่น่าสนใจในอำเภอหล่มสัก
จังหวัดเพชรบูรณ์ แต่ DIASPORA UTOPIA จะให้ความสำคัญกับ landscape
อย่างรุนแรงมาก ในขณะที่ THE REASON จะไม่ได้ให้ความสำคัญกับ
landscape มากนัก
2.เราว่าข้อดีของหนังสองเรื่องนี้แตกต่างกัน
เพราะหนังทั้งสองเรื่องมันเน้นย้ำจุดที่แตกต่างกันนี่แหละ ข้อดีของ DIASPORA UTOPIA ก็คือ
หนังมันให้ความสำคัญกับ “พื้นที่” มากๆ และมีการพูดถึงปัญหาสังคมในท้องถิ่น
ส่วนข้อดีของ THE REASON ก็คือว่ามันพูดถึงการล่มสลายของธุรกิจโรงหนัง
standalone และนำมันมาโยงกับความเจ็บปวดจากความไม่สมหวังในรักของตัวพระเอกได้ดีมากๆ
3.คือเราว่าจุดที่ดีที่สุดของ THE REASON คือการเลือกจบของหนังน่ะ
คือระหว่างที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราจะนึกถึงหนังสองเรื่องที่ใกล้เคียงกัน
ซึ่งก็คือ DIASPORA UTOPIA กับหนังที่คุณยิ่งยงนำแสดง
ซึ่งก็คือเรื่อง THE YOUNG MAN WHO CAME FROM THE CHEE RIVER (2015,
Wichanon Somumjarn) ที่เป็นเรื่องของ “การปรับตัวของพระเอกให้เข้ากับชีวิตในต่างจังหวัด”
เหมือนกัน แล้วเราจะรู้สึกว่า THE REASON มันสู้
DIASPORA UTOPIA กับ THE YOUNG MAN WHO CAME FROM THE CHEE
RIVER ไม่ได้ในแง่ความ cinematic น่ะ
คือจริงๆแล้วเราก็ชอบวิธีการถ่ายในบางฉากของ THE REASON นะ
แต่เรารู้สึกว่า DIASPORA UTOPIA กับหนังของวิชชานนท์ มันคิดซีนออกมาได้
cinematic กว่า หรือทรงพลังกว่า, บทสนทนาเปรี้ยงกว่า
หรือมีความบาดอารมณ์กว่า
แต่พอดู THE REASON ถึงตอนจบ
ความชอบของเราที่มีต่อหนังเรื่องนี้ก็พุ่งพรวดขึ้นมาในทันที เหมือนตอนจบมันโยงความเศร้าของพระเอกกับความเศร้าของโรงหนัง
standalone เข้าด้วยกันได้
แล้วมันส่งต่อความเศร้านี้มาถึงคนดูได้ด้วย มันจี๊ดมากๆ
เพราะฉะนั้นเราก็เลยบอกได้ว่าหนังเรื่องนี้กับ DIASPORA UTOPIA มันดีกันไปคนละแบบ คือ DIASPORA UTOPIA มัน cinematic
กว่า, มันมีปัญหาสังคม แต่มันขาดความเจ็บปวด ส่วน THE REASON
มันมีความ “เจ็บปวด” ที่ส่งต่อมาถึงเราได้ เราก็เลยชอบ THE
REASON มากๆ
4.ส่วนวิธีการถ่ายของหนังเรื่องนี้นั้น
มันมีฉากที่เราชอบสุดๆสองฉากนะ
4.1 ฉากพระเอกเล่นดนตรีข้างร้าน 7-eleven แล้วกล้องถ่ายจากระยะไกลน่ะ
เราว่าฉากนี้มันดูเป็น documentary ดี
แล้วเราจะเผลอคิดไปเองว่า คนต่างๆที่เดินไปมาในฉากนี้มันอาจจะเป็นคนจริงๆที่เดินผ่านมาในฉากโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่
แต่ไปๆมาๆ กลับกลายเป็นว่า คนที่เราคิดว่าเป็นคนจริงๆ กลับไม่ใช่คนจริงๆ
แต่เป็นตัวละครในหนัง เราว่าวิธีการถ่ายฉากนี้มันเนียนมาก และมันหลอกเราได้สนิท
4.2 ฉากพระเอกนางเอกเดินคุยกันโดยลากยาว
ไม่ตัดเลย เราว่าฉากนี้ถ่ายดีมาก มันเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองดีด้วย
แต่น่าเสียดายตรงที่บทสนทนามันดูเหมือนยังไม่พีคแบบสุดขีดน่ะ
คือบทสนทนามันเล่าชีวิตของตัวละครสองตัวนี้ได้ดีมากๆแล้ว
แต่มันเหมือนยังขาดอารมณ์ซึ้งๆอะไรสักอย่างที่น่าจะใส่เข้าไปได้มากกว่านี้
5.ตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ในฉากแรก เราจะนึกว่า “อ๋อ
หนังเรื่องนี้ก็เป็นสารคดีเกี่ยวกับโรงหนังเก่าแบบ PHANTOM OF ILLUMINATION (Wattanapume
Laisuwanchai) กับ PATTANIRAMA (2016,Suporn Shoosongdej) นั่นแหละ เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่จากธนบุรีกับปัตตานี
มาเป็นเพชรบูรณ์เท่านั้นเอง” แต่พอหนังใส่เรื่องราว fiction เข้ามาด้วย
มันก็เลยช่วยสร้างความแตกต่างและมูลค่าเพิ่มให้กับ THE REASON ได้ดีมาก และเราว่าวิธีการแบบนี้มัน work ดี
คือถ้าหากมันเป็นสารคดีเพียวๆ มันก็อาจจะสู้ PHANTOM OF ILLUMINATION กับ PATTANIRAMA ไม่ได้
แต่พอมันเป็นหนังกึ่งสารคดีกึ่งฟิคชั่นแบบนี้
มันก็เลยสร้างความเป็นตัวของตัวเองได้ดีในระดับนึง