THE ASSASSIN (2015, Hou Hsiao-hsien, Taiwan, A+30)
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1.ดูแล้วนึกถึงหนังหลายๆเรื่องที่เหมือนเอา genre
ที่เราคาดหมายว่ามันจะมีแอคชั่นเยอะๆมาใช้
แต่ตัวหนังกลับไม่เดินตามขนบของหนัง genre นั้นๆ
แต่กลับทำตัวเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ อย่างเช่นเรื่อง
1.1 หนังหลายๆเรื่องของ Wong Kar-wai โดยเฉพาะ ASHES
OF TIME (1994), FALLEN ANGELS (1995) และ THE GRANDMASTER
(2013)
1.2 LANCELOT DU LAC (1974, Robert Bresson) ที่เป็นหนังเกี่ยวกับอัศวินโต๊ะกลมของกษัตริย์อาร์เธอร์
ตอนดู THE ASSASSIN จะนึกถึง LANCELOT DU LAC มากเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะว่าตอนดู THE ASSASSIN กับ
LANCELOT DU LAC เราจะรู้สึกชอบมันมากๆ
แต่ชี้ชัดลงไปได้ยากว่าเรา enjoy มันเพราะอะไร
ในขณะที่หนังของ Wong Kar-wai มันจะมี “ก้อน”
อารมณ์ความรู้สึกที่ชัดเจนกว่า คือเวลาดูหนังของหว่อง
อารมณ์ความรู้สึกที่ได้จากหนังมันดูเป็น “ก้อน”
หรือเป็นรูปธรรมชัดเจนกว่าเวลาดูหนังของโหวหรือหนังอย่าง LANCELOT DU LAC ของ Bresson
ที่นึกถึง LANCELOT DU LAC เป็นเพราะมันดู minimal เหมือน THE ASSASSIN ด้วย โดยคำว่า minimal ในที่นี้หมายถึงเมื่อเทียบกับหนังใน genre
เดียวกันอย่างหนังอัศวินกับหนังจีนกำลังภายในนะ เพราะทั้ง LANCELOT DU LAC กับ THE ASSASSIN ไม่ได้เต็มไปด้วยฉากแอคชั่นและการเร้าอารมณ์แบบหนังใน
genre เดียวกัน
และฉากแอคชั่นที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในหนังทั้งสองเรื่องนี้
ก็ออกมาในแบบสมจริงกว่าหนังใน genre เดียวกัน ซึ่งในแง่หนึ่ง
มันดู “กระป๋องกระแป๋ง” หรือดู “อิทธิฤทธิ์ต่ำมาก”
เมื่อเทียบกับฉากแอคชั่นในหนังทำนองเดียวกัน แต่ในอีกแง่หนึ่ง ความกระป๋องกระแป๋งของมันกลับเป็นสิ่งที่
unique มากๆ และตราตรึงใจมากๆ
คือใน LANCELOT DU LAC มันจะมีฉากอัศวินดวลกันบนหลังม้าน่ะ
ซึ่งถ้าหากเทียบกับหนังอัศวินด้วยกันแล้ว ฉากดวลกันบนหลังม้าในหนังเรื่องนี้ดูไม่เร้าอารมณ์เลย
นึกว่าดูเด็กมัธยมเล่นกันในงานโรงเรียน แต่ไปๆมาๆ มันกลับกลายเป็นสิ่งที่ฝังใจเรามากๆ
และฉากสู้กันใน THE ASSASIN ก็ส่งผลกระทบกับเราในทำนองคล้ายๆกันด้วย
โดยเฉพาะฉากที่นางเอกสู้กับสาวใส่หน้ากาก
กับฉากที่นางเอกสู้กับองค์หญิงแม่ชีผู้เป็นอาจารย์
คือฉากสู้กันสองฉากนี้เป็นฉากที่ดู “อิทธิฤทธิ์ต่ำมาก” แต่ในขณะเดียวกัน
มันกลับเป็นฉากที่ติดตาตรึงใจมากๆ งดงามมากๆ และส่งผลกระทบทางอารมณ์ต่อเราอย่างรุนแรงมาก
แต่ในแบบที่แตกต่างไปจากหนังจีนกำลังภายในเรื่องอื่นๆ
คือถ้าหากเทียบกับหนังจีนกำลังภายในเรื่องอื่นๆแล้ว
เราจะรู้สึกเหมือนกับว่า เราอยู่ในเรือกลางมหาสมุทรที่เจอคลื่นยักษ์โถมเข้าใส่ทุกๆ
5-10 นาทีน่ะ และเจอกับพายุไต้ฝุ่นในช่วงท้ายๆเรื่องเมื่อฉากไคลแมกซ์มาถึง
เพราะหนังจีนกำลังภายในโดยทั่วๆไปมันจะมีฉากต่อสู้กันใส่เข้ามาเป็นระยะๆ
และเน้นเร้าอารมณ์เราอย่างเต็มที่
แต่เวลาดู THE ASSASSIN เราจะรู้สึกเหมือนกับว่าเราอยู่ในทะเลสาบหรือหนองน้ำที่คลื่นลมสงบน่ะ
แต่พอเราอยู่ในความสงบไปได้ราว 30 นาที เราก็จะเจออุกกาบาตยักษ์ตกลงมาในหนองน้ำสักลูกนึง
ซึ่งจะส่งผลให้เกิดระลอกคลื่นอย่างรุนแรง
คือความรู้สึกของเราที่มีต่อฉากต่อสู้ 2 ฉากนั้นใน THE ASSASSIN มันคล้ายๆกับการเจออุกกาบาตตกลงมาในหนองน้ำ
2 ลูกน่ะ คือเราอยู่ในอารมณ์สงบเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็ตู้ม อุกกาบาตตกลงมา
แล้วก็สั่นสะเทือน แล้วก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง ก่อนที่จะมีอีกลูกหนึ่งตกลงมาอีก ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่ความสงบอีก
แต่เราก็ชอบทั้งสองแบบนะ
เราชอบทั้งหนังจีนกำลังภายในที่ทำให้เราเหมือนอยู่ท่ามกลาง “คลื่นบ้ากระแทกคลื่นบ้า”
อย่างเช่น THE FATE OF LEE KHAN (1973, King Hu), SWORDSMAN II (1991, Ching
Siu-tung) และ REIGN OF ASSASSINS (2010, Su Chao-bin) และหนังอย่าง THE ASSASSIN ที่ทำให้เราเหมือนอยู่ในหนองน้ำที่สงบ
ที่มีอุกกาบาตตกลงมา 2-3 ครั้ง
2.อีกอย่างที่ทำให้นึกถึง LANCELOT DU LAC เป็นเพราะ “การเลือกโฟกัสในจุดที่แตกต่างจากหนังทั่วไป”
ด้วย อย่างเช่นใน THE ASSASSIN นั้น
ดูเหมือนหนังจะโฟกัสไปที่บรรยากาศ, ต้นไม้ และสายลมมากเป็นพิเศษ
อย่างเช่นในฉากที่นางเอกฆ่าผู้ชายคนแรกด้วยการเชือดคอขณะที่เขาขี่ม้านั้น
พอนางเอกฆ่าเสร็จ หนังก็ตัดไปเป็นฉากต้นไม้แกว่งไกวตามสายลมเลย
ซึ่งถ้าหากเป็นหนังจีนกำลังภายในทั่วไป หนังคงทำให้เกิดการต่อสู้อย่างรุนแรงในฉากนั้น
เพื่อให้นางเอกได้แสดงฝีมืออย่างน้อยสัก 3-5 นาที
โดยไม่ต้องใส่ฉากต้นไม้แกว่งไกวตามสายลมอะไรเข้ามาทั้งสิ้น
ซึ่งใน LANCELOT DU LAC ก็จะมีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกคล้ายๆกัน
อย่างเช่นในฉากขี่ม้าดวลกันนั้น แทนที่หนังจะเน้นไปที่ฝีมือในการต่อสู้ของตัวละคร
หนังกลับเน้นไปที่ใบหน้าและปฏิกิริยาของผู้ชมการแข่งขัน ซึ่งเป็นใบหน้าที่ “แข็งมากๆ”
ถ้าหากเทียบกับหนังโดยทั่วๆไป แต่ไปๆมาๆ ไอ้ปฏิกิริยาของผู้ชมการดวลที่ดู minimal
มากๆ หรือแข็งมากๆใน LANCELOT DU LAC
กลับกลายเป็นสิ่งที่ติดใจเรามากๆ
3.อย่างไรก็ดี สิ่งที่ THE ASSASSIN แตกต่างจาก LANCELOT
DU LAC อย่างมากๆก็คือว่า LANCELOT DU LAC มันสร้างมาจากตำนานเซอร์ลานสล็อต
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ชมส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดีแล้ว และอาจจะเทียบได้กับตำนานพระอภัยมณี,
รามเกียรติ์ หรือขุนช้างขุนแผนของไทย เพราะฉะนั้นมันก็เลยไม่มีปัญหาในการตามเนื้อเรื่องให้ทัน
แต่ THE ASSASSIN มันสร้างมาจากเนื้อเรื่องที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อน
เพราะฉะนั้นเราก็เลยดูแล้วงงๆพอสมควรในการดูรอบแรก เพราะเราตามไม่ทันว่า “ใครเป็นใคร”
ในเรื่อง
4.อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบมากใน THE ASSASSIN ก็คือการทำให้เราตั้งคำถามกับ
motivation ในการกระทำของตัวเอก
ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะถูกละเลยในหนังจีนกำลังภายในโดยทั่วไป คือหนังจีนกำลังภายในโดยทั่วไป
มันจะมีตัวละครที่ดำจัด มีผู้ร้ายที่ชั่วมากๆ
เพราะฉะนั้นตัวเอกก็เลยมีความชอบธรรมในการต่อสู้ฝ่าฟันฝึกวิชา
หรือกระทำการต่างๆเพื่อปราบมารร้ายแห่งยุทธภพให้ได้ คือตัวเอกในหนังทั่วไปมันจะมีแรงจูงใจที่ชัดเจนในการต่อสู้
อย่างเช่นเพื่อเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพ, เพื่อแก้แค้น, เพื่อเอาตัวรอด,
เพื่อจัดการกับผู้ร้าย และคนดูจะไม่ต้องเสียเวลาในการตั้งคำถามกับแรงจูงใจของตัวเอกในการกระทำต่างๆ
แต่ใน THE ASSASSIN นั้น ถ้าหากเราเป็นนางเอก
เราก็คงงงๆเหมือนกันว่า กูจะสู้ไปทำไม เพราะถ้าหากเราเป็นนางเอก เราก็คงตัดสินใจไม่ถูกว่า
อะไรดีกว่ากัน ระหว่าง “ราชสำนัก” กับ “เว่ยป๋อ”
เราไม่รู้ว่าราชสำนักเลวร้ายจริงไหม และการแข็งขืนของเว่ยป๋อเป็นสิ่งที่ดีจริงไหม
เพราะเว่ยป๋อเองก็ส่งคนไปยุยงเมืองอีกสองเมืองให้แตกแยกกันเอง
คือเว่ยป๋อเองก็ไม่ใช่อะไรที่ขาวสะอาด
แต่ก็เล่นเกมการเมืองสกปรกกับเมืองข้างๆอีกสองเมือง อีอาจารย์แม่ชีก็โหดร้ายเกินไป
ที่บอกให้ “ฆ่าลูกเล็กๆก่อนฆ่าพ่อ” แล้วการที่แม่ชีพยายามคุมเว่ยป๋อให้สวามิภักดิ์ต่อราชบัลลังก์มันเป็นสิ่งที่ดีจริงหรือ
ส่วนท่านอ๋องแห่งเว่ยป๋อก็มีทั้งมเหสีและสนมที่เขารักมากอยู่แล้ว เขาก็คงไม่ต้องการเราอีก
และท่านอ๋องเองก็ยังสั่งเนรเทศคนที่พูดจาขัดใจด้วย แล้วเราจะช่วยท่านอ๋องทำไม
สรุปว่า ถ้าหากเราเป็นนางเอก เราก็ไม่อยากจะช่วยทั้งราชสำนักและเว่ยป๋อ
ไม่อยากจะช่วยทั้งอาจารย์แม่ชีและท่านอ๋อง กูเอาคนขัดกระจกหนุ่มหล่อเป็นผัวนี่แหละ
ดีที่สุด
ซึ่งสิ่งนี้นอกจากจะแตกต่างจากหนังจีนกำลังภายในโดยทั่วไปแล้ว
เรายังรู้สึกว่ามันแตกต่างจาก “หนังสายลับ” อย่างหนังเจมส์ บอนด์ด้วย
เพราะแม้แต่ในหนังสายลับอย่างหนังเจมส์ บอนด์
มันยังมีฝ่ายให้เราเลือกเข้าข้างได้ง่ายๆน่ะ อย่างเช่นในยุคสงครามเย็น เราก็จะเลือกเข้าข้างฝ่ายเสรีนิยม
แทนที่จะเลือกฝ่ายคอมมิวนิสต์ แต่ในหนังสายลับบางเรื่อง
มันก็จะมีตัวร้ายที่คิดยึดครองโลก
ที่ทำให้ทั้งฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องร่วมมือกันในการกำจัดตัวร้ายตัวนั้น
อะไรทำนองนี้ คือหนังประเภทนี้มันจะมี “ฝ่ายธรรมะ” กับ “ฝ่ายอธรรม”
ที่ทำให้เราเลือกข้างได้อย่างง่ายๆและสบายใจ แต่ในหนังเรื่อง THE ASSASSIN นั้น
ถ้าหากเราเป็นนางเอก เราก็ไม่รู้ว่าเราจะเลือกข้างไหน
เราไม่รู้ว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่เป็นฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม
มันดูเหมือนมีแต่ฝ่ายอธรรมทั้งคู่
5.แต่ถึงแม้ว่าเราจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของนางเอกในฉากจบ
เพราะถ้าหากเป็นเรา เราก็กลับไปหาหนุ่มขัดกระจกอย่างแน่นอน แต่ในช่วงต้นเรื่องนั้น
เราก็พบว่านางเอกเป็นตัวละครที่ดูขัดใจเรามากๆ แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของหนังนะ
เราว่ามันเป็นพัฒนาการที่ถูกต้องแล้วล่ะ ที่ทำให้นางเอกเปลี่ยนจากคนที่ “ตัดสินใจตรงข้ามกับเรา”
ในช่วงต้นเรื่อง มาเป็นนางเอกที่ตัดสินใจเหมือนกับเราในช่วงท้ายเรื่อง
คือในช่วงต้นเรื่องนั้น เรารู้สึกว่าถ้าหากเป็นนิยายที่เราแต่ง นางเอกในนิยายของเราหรือนางเอกในอุดมคติของเราคงไม่ทำตัวแบบนี้น่ะ
555 อย่างเช่น
5.1 ฉากที่นางเอกฆ่าผู้ชายคนแรกนั้น มันทำให้เกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า
มัน justified
หรือเปล่า เพราะเธอฆ่าเขาตามที่แม่ชีสั่ง
โดยแม่ชีให้เหตุผลอีกด้วยว่า ผู้ชายคนนั้นเคยทำเลวอะไรมาบ้าง
ซึ่งปัญหามันอยู่ที่ว่า “เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่อาจารย์บอกเป็นความจริง”
อีแม่ชีอาจจะตอแหลเราก็ได้ว่าคนนู้นเลวอย่างนั้นเลวอย่างนี้ แล้วบอกให้เราไปฆ่ามัน
5.2
เพราะฉะนั้นการที่นางเอกเริ่มพัฒนามาเป็นคนที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งของแม่ชีในภารกิจที่สอง
ก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
แต่มันก็มีสิ่งที่ขัดอกขัดใจเราเล็กน้อยในฉากนี้
คือถ้าหากเป็นนางเอกในนิยายที่เราแต่ง “เธอคงไม่ฆ่าคน เพราะเธอไม่รู้ว่าสิ่งที่อาจารย์บอกมาเป็นความจริงหรือเปล่า”
แต่ไม่ใช่เป็นเพราะว่า “เธอไม่ฆ่าคน เพราะผู้ชายคนนั้นมีลูกเล็กๆ” 555
คือเราไม่แน่ใจว่าการที่นางเอกไม่ฆ่าเหยื่อในภารกิจที่สองเป็นเพราะอะไรกันแน่
แต่การที่เขามีลูกเล็กๆมันไม่ใช่อะไรที่ justified ได้ว่าคนนั้นควรถูกลงโทษหรือไม่ถูกลงโทษน่ะ
เราก็เลยรู้สึกว่าการที่นางเอกไม่ยอมฆ่าคนตามคำสั่งอาจารย์นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
แต่เหตุผลที่นางเอกไม่ยอมฆ่าคนนั้นเป็นเหตุผลที่ยังน่าสงสัยอยู่ว่าถูกต้องหรือเปล่า
ซึ่งการใช้ “เด็กเป็นอาวุธ” นั้น ก็ถูกนำมาใช้อีกครั้งในช่วงท้ายเรื่องนะ
เมื่อตัวมเหสีใช้ “ลูกๆของตัวเองเป็นอาวุธ”
เราก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันน่าสนใจดีที่มีการใช้ “เด็กเป็นอาวุธ”
อย่างทรงพลานุภาพมากๆในเรื่อง แต่ถ้าหากเป็นนางเอกในนิยายที่เราแต่งนะ
ถ้าหากเธอมีความแค้นเคืองกับใครเป็นการส่วนตัวแล้วล่ะก็ (แบบใน “ล่า” ของทมยันตี)
เธอก็คงจะฆ่าศัตรูคนนั้นอย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าศัตรูคนนั้นจะมีลูกเล็กๆ
มันก็ไม่สามารถทำให้ “นางเอกในนิยายของเรา” ใจอ่อนลงได้แม้แต่นิดเดียว
6.ประเด็นเรื่อง “ความไม่เด็ดเดี่ยวในการฆ่าคน” ของนางเอก
เป็นประเด็นที่เราชอบมากๆเลยนะ เพราะมันทำให้เรานึกถึง dilemma ที่เราชอบในหนังเรื่องอื่นๆด้วย
อย่างเช่นในเรื่อง
6.1 A RIDER NAMED DEATH (2004, Karen Shakhnazarov) ที่มีการตั้งคำถามว่า
ถ้าหากคุณวางแผนจะฆ่าทรราชย์ที่ชั่วร้ายมากๆ
แต่การฆ่านั้นหมายความว่าลูกๆของเขาที่เป็นคนบริสุทธิ์ต้องตายไปด้วย
คุณจะยังทำมันอยู่หรือไม่
อย่างเช่นการโยนระเบิดใส่รถม้าที่ทรราชย์นั่งมากับครอบครัว
6.2 PARADISE NOW (2005, Hany Abu-Assad) การจะเป็นมือระเบิดพลีชีพ
มันต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก แล้วคุณจะเลือกทางไหน
เราว่าสิ่งที่นางเอกใน THE ASSASSIN ต้องเผชิญ
มันทำให้เรานึกถึง dilemma ในหนังเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน
6.3 LUST, CAUTION (2007, Ang Lee) ความไม่เด็ดเดี่ยวของนางเอกหนังเรื่องนี้
นำมาซึ่งความชิบหาย แต่ในกรณีนี้นั้น หนังมี “ฝ่ายอธรรม” ที่ชัดเจน
ซึ่งได้แก่ฝ่ายญี่ปุ่น
6.4 HEAVEN (2002, Tom Tykwer) ส่วนในหนังเรื่องนี้นั้น
ความเด็ดเดี่ยวของนางเอก นำมาซึ่งความชิบหาย
เพราะการตัดสินใจฆ่าคนของเธอส่งผลให้ผู้บริสุทธิ์ต้องรับเคราะห์
นอกจากนี้ dilemma ของนางเอกใน THE ASSASSIN ยังทำให้เรานึกถึงเรื่องเล่าที่ว่า “ในการฝึกคนเป็นสายลับนั้น
ผู้เข้ารับการฝึกจะถูกสั่งให้ฆ่าแมวหรือฆ่าหมาด้วย เพื่อดูว่าคนนั้นใจเด็ดพอหรือไม่”
ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเรื่องเล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เรารู้แต่ว่า
ถ้าหากเป็นเรา เราฆ่าตัวตายดีกว่าที่จะฆ่าแมวหรือฆ่าหมาที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่พวกนั้น
เรารู้สึกว่าเราฆ่าตัวตายแล้วสบายใจกว่า
แต่เรื่องเล่าทำนองนี้ได้รับการสะท้อนออกมาในหนังบางเรื่องเหมือนกันนะ
อย่างเช่นในหนังอย่าง SHIRI (1999, Kang Je-kyu), AZUMI (2003, Ryuhei Kitamura) และ NAKED WEAPON (2002, Ching Siu-tung) ที่นางเอกของหนังทั้งสามเรื่องได้รับการฝึกฝนให้เป็นนักฆ่า
และพอเรียนจบแล้ว ภารกิจแรกก็คือได้รับคำสั่งให้ฆ่าเพื่อนร่วมชั้นเรียน เพื่อทดสอบว่านางเอกมีจิตใจที่เหี้ยมโหดพอหรือไม่
7.แต่จริงๆแล้วสิ่งที่ชอบมากๆในหนังคือสิ่งที่เราบรรยายไม่ถูกนะ
มันคืออารมณ์หรือบรรยากาศโดยรวมๆของหนังน่ะ เราชอบที่หนังเลือกที่จะโฟกัสไปที่อะไรหลายๆอย่างที่หนังจีนกำลังภายในมองข้ามไป
คือถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็คือว่า หนังจีนกำลังภายในโดยทั่วไปเปรียบเหมือนพระเอกในหนังเรื่อง
CLICK (2006, Frank Coraci) น่ะ เพราะพระเอกในหนังเรื่อง CLICK
ไม่ต้องการเสียเวลาไปกับชีวิตประจำวัน ไม่ต้องการเสียเวลาไปกับการอาบน้ำ,
แปรงฟัน, แต่งตัว, เดินทาง, etc. เขาต้องการ fast
forward ข้ามช่วงเวลาที่ undramatic เหล่านี้
เพื่อจะได้สัมผัสเฉพาะเพียงแค่ช่วงเวลาที่ dramatic มากๆเท่านั้น
และหนังจีนกำลังภายในและหนังสายลับโดยทั่วไป ก็จะทำตัวคล้ายๆอย่างนี้
แต่ THE ASSASSIN เลือกที่จะให้ความสำคัญกับอะไรหลายๆอย่างที่หนัง
genre เดียวกันมองข้ามไป ทั้งสายลม, สายหมอก, ผ้าม่าน,
ธรรมชาติ, เสียงแมลง, ดอกไม้, การแต่งผม, การใส่สมุนไพรลงไปในอ่างอาบน้ำ, etc.
เราว่าอะไรพวกนี้มันออกมาดูน่าสนใจมากๆ
และมันช่วยเปิดโลกของหนังจีนกำลังภายในให้กว้างขึ้นอีกมากด้วย
มันทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าหากจะสร้างหนังที่ใช้ฉากเป็นหนังจีนกำลังภายใน เราก็ไม่ต้องยึดติดกับกรอบเดิมๆหรือขนบเดิมๆเสมอไป
มันมีวิธีการอีกมากมายในการดัดแปลงหนัง genre ต่างๆให้ออกมาเป็นสิ่งใหม่ๆได้
8.ชอบดนตรีประกอบในหนังด้วย ทั้งเสียงพิณที่องค์หญิง Jiacheng เล่น,
เสียงพิณในฉากที่นางเอกสู้กับองค์หญิง Jiaxin หรือองค์หญิงแม่ชี,
เสียงกลองในฉากต่อสู้ และเสียงกลองที่ท่านอ๋องตี
เราไม่รู้ว่าหนังจงใจสร้างคู่ขัดแย้งระหว่างเสียงพิณกับเสียงกลองในหนังเรื่องนี้หรือเปล่า
9.สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากๆใน CAFE LUMIERE (2003, Hou Hsiao-hsien) คือฉากที่พระเอกมองนางเอกนอนหลับในรถไฟ
แต่เราจำไม่ได้แน่ชัดว่ามันเป็นฉากในตอนบ่ายหรือเปล่า และเราก็เจออะไรแบบนี้อีกใน THE
ASSASSIN เพราะในภารกิจที่สองของนางเอกนั้น
นางเอกโผล่มาฆ่าคนในขณะที่คนในวังผล็อยหลับในยามบ่าย
และมีอีกฉากนึงที่นางเอกมองดูสาวรับใช้ผล็อยหลับด้วย ซึ่งน่าจะเป็นการผล็อยหลับในยามบ่ายในห้องนอนของนางเอกเอง
ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด
คือฉากตัวละครผล็อยหลับยามบ่ายใน CAFE LUMIERE และ THE
ASSASSIN เป็นฉากที่เราไม่รู้ว่าสื่อถึงความหมายว่าอะไรนะ
เรารู้แต่ว่ามันเป็นอะไรที่เราชอบมากๆ
10.นอกจาก THE ASSASSIN จะทำให้เรานึกถึงหนังพีเรียดฝรั่งเศสอย่าง
LANCELOT DU LAC แล้ว
มันยังทำให้เรานึกถึงหนังพีเรียดฝรั่งเศสเรื่อง PERCEVAL LE GALLOIS (1978,
Eric Rohmer) ด้วย แต่ในแง่ที่เป็นคู่ตรงข้ามกัน คือ PERCEVAL
LE GALLOIS ก็เป็นหนังเกี่ยวกับอัศวินโต๊ะกลมที่ minimal มากๆเหมือนกัน
และเป็นหนังที่ตรงข้ามกับหนังอัศวินโต๊ะกลมทั่วไปที่เน้นฉากแอคชั่น แต่ PERCEVAL
LE GALLOIS เน้นการถ่ายในสตูดิโอ และทำให้อาคารบ้านเรือนทุกอย่างในหนังดูเหมือนเป็นฉากในเวทีละครที่
minimal มากๆ และปฏิเสธความสมจริงโดยสิ้นเชิง
ซึ่งเราว่าวิธีการนี้ตรงข้ามกับ THE ASSASSIN เพราะ THE
ASSASSIN ทำให้ตัวเองแตกต่างจากหนังจีนกำลังภายในโดยทั่วไป
ด้วยการที่ทำให้มันดู “สมจริง” ยิ่งขึ้น และเน้น ธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพรอย่างรุนแรง
แต่ PERCEVAL LE GALLOIS ทำให้ตัวเองแตกต่างจากหนังอัศวินโดยทั่วไป
ด้วยการปฏิเสธความสมจริงอย่างสิ้นเชิง และทำให้ทุกอย่างดูเหมือนเกิดขึ้นบนเวทีละคร
รวมทั้งต้นม้งต้นไม้และทุกองค์ประกอบของหนังที่ดูแข็งกระโด๊กไปหมด
แต่เราว่ามันน่าสนใจทั้งสองเรื่องแหละ เราว่ามันน่าสนใจทั้ง THE ASSASSIN, FALLEN ANGELS (หนังมือปืนที่ไม่เน้นฉากฆ่ากัน), ASHES OF TIME, LANCELOT DU LAC และ PERCEVAL LE GALLOIS เพราะเราชอบที่หนังกลุ่มนี้แสดงให้เห็นว่า
เราไม่จำเป็นต้องทำตามขนบเดิมๆในหนัง genre ต่างๆ
และเราสามารถสร้างหนังที่เป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องยึดติดกับอะไรเดิมๆ
11.ถ้าหากเทียบกับ HERO (Zhang Yimou) และ CROUCHING
TIGER, HIDDEN DRAGON (Ang Lee) แล้ว เราชอบ THE ASSASSIN มากกว่าหนังสองเรื่องนี้เยอะเลยนะ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ HERO ซึ่งเป็นหนังที่เราเกลียดมากๆ แต่ถ้าหากเทียบกับ ASHES OF TIME แล้ว เรายังไม่แน่ใจ เป็นไปได้ว่าเราอาจจะยังชอบ ASHES OF TIME มากกว่า THE ASSASSIN
แต่ยังไงเราก็ชอบหนังจีนกำลังภายในตามขนบดั้งเดิมมากๆอยู่นะ
เราว่าเราชอบ REIGN OF ASSASSINS มากกว่า THE ASSASSIN 555