THE CITY OF TOMORROW (1930, Erich Kotzer + Maximilian von Goldbeck,
Germany, documentary, 33min, A+30)
THE CITY OF TOMORROW เป็นหนังสารคดีเงียบที่ไม่มีแม้แต่ดนตรีประกอบ
หนังมีเนื้อหาเกี่ยวกับการวางผังเมือง โดยหนังแบ่งออกได้เป็นสองส่วนใหญ่ๆ
โดยส่วนแรกเป็นการแสดงให้เห็นว่าชนบทที่พัฒนามาเป็นเมืองใหญ่แบบที่ไม่มีการวางผังเมืองมันจะชิบหายมากเพียงใด
มันจะเต็มไปด้วยอาคารสูง ไม่มีสนามเด็กเล่น เด็กๆต้องมาเล่นตามท้องถนน
เสี่ยงต่อการถูกรถยนต์และรถไฟชน เต็มไปด้วยมลพิษ
ผู้คนอาศัยอยู่ในตึกสูงๆและตรอกแคบๆ
โดยที่แทบมองไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันจากหน้าต่าง
ซึ่งดูๆไปแล้วก็ไม่ต่างจากกรุงเทพในปัจจุบัน และในส่วนที่สองของหนังนั้น
หนังแสดงให้เห็นว่า เมืองที่มีการวางผังเมืองมันจะออกมางดงามมากเพียงใด
มันจะมีการแบ่งเขตกันอย่างดีระหว่างเขตอุตสาหกรรมกับเขตที่อยู่อาศัย มีการวางถนน,
ทางรถไฟ และคูคลองต่างๆเพื่อเอื้ออำนวยต่อการขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมจากเหมืองไปยังเมืองท่า
โดยไม่รบกวนเขตที่อยู่อาศัยของประชาชน ผู้คนจะอาศัยอยู่ในตึกเล็กๆที่จัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
มีสวนดอกไม้ มีสวนสาธารณะ มีสนามเด็กเล่น มีอากาศหายใจ มีแสงตะวัน
หนังเรื่องนี้ดูแล้วนึกถึงหนังสารคดีบางตอนของรายการ ก(ล)างเมือง มากๆ
ที่เป็นสารคดีเกี่ยวกับการออกแบบนิคมอุตสาหกรรมในไทย พอเราดูหนังเยอรมันเรื่องนี้แล้วก็ทึ่งมากๆที่มันสามารถนำเสนอปัญหาผังเมืองออกมาได้สุดตีนขณะนี้
ทั้งๆที่มันสร้างขึ้นในปี 1930 ซึ่งปัญหาต่างๆที่นำเสนอในหนังเรื่องนี้นั้น
ยังคงเป็นปัญหาที่พบได้ในยุคปัจจุบัน
และเป็นปัญหาที่มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆตามเมืองใหญ่ในประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก
หนังเรื่องนี้จบลงด้วยภาพเด็กเล็กๆมากมายที่อาศัยอยู่อย่างมีความสุขในเมืองที่ได้รับการวางผังเมืองอย่างงดงาม
ซึ่งมันเป็นฉากที่เศร้ามากเมื่อเราได้ดูในยุคปัจจุบัน
เพราะเรารู้ดีว่าหลังจากเด็กเหล่านี้ได้ปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ อีกเพียง 8-15
ปีหลังจากนั้น ชีวิตของพวกเขาก็คงจะต้องพบกับความชิบหายอย่างรุนแรงในสงครามโลกครั้งที่สอง
ดูหนังเรื่องนี้แล้วก็ได้แต่ปลงน่ะนะ มันเหมือนกับว่าส่วนแรกของหนังเรื่องนี้นำเสนอ
“นรกบนดิน” ด้วยภาพเมืองใหญ่ที่สับสนวุ่นวาย และส่วนที่สองของหนังเรื่องนี้นำเสนอ “สวรรค์บนดิน”
ด้วยภาพเมืองใหญ่ที่ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม
แต่พอหนังสารคดีเรื่องนี้จบลง เราก็รู้ดีว่า “สวรรค์บนดิน” มันอยู่ได้ไม่นาน
เพราะพอฮิตเลอร์ขึ้นครองอำนาจในปี 1933 สวรรค์บนดินก็กลายเป็นนรกอเวจีอย่างแท้จริง
อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมเกี่ยวกับเยอรมนีในยุคนั้นได้ที่เพจ ในไวมาร์เยอรมัน
นะครับ
No comments:
Post a Comment