Wednesday, September 09, 2015

MAESTRO (2013, Léa Fazer, France, A+30)

MAESTRO (2013, Léa Fazer, France, A+30)

--เราเข้าไปดูหนังเรื่องนี้โดยไม่รู้อะไรมาก่อนเลย พอดูไปได้สัก 20 นาที เราถึงเพิ่งสำเหนียกว่า เอ๊ะ นี่มันหนังบูชา Eric Rohmer นี่ เท่านั้นแหละ กูก็เลยร้องห่มร้องไห้ตั้งแต่กลางเรื่องจนจบเรื่องเลยค่ะ เพราะตอนที่ดูจะนึกถึง Eric Rohmer มากๆ และตัวหนังเรื่องนี้เองมันก็ทำออกมาได้ดีมากๆด้วย มันสะท้อนทั้งตัวตนของ Rohmer และความถวิลหาถึงหนังเก่าๆ และแง่มุมที่งดงามบางอย่างของโลกใบนี้

--พอดูแล้วเราจะรู้สึกเหมือนกับว่า Rohmer เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของเราคนนึง คือพูดจริงๆแล้วเรารู้สึกผูกพันกับ Rohmer มากกว่าปู่หรือตาในชีวิตจริงของเราอีก (อาจจะเป็นเพราะว่าเราเคยเจอปู่แค่ครั้งเดียวในชีวิตตอนเราอายุ 3 ขวบ 555) และแน่นอนว่าตอนที่ปู่หรือตาของเราเสียชีวิต เราไม่เคยร้องไห้ เพราะเราไม่เคยรู้สึกผูกพันกับพวกเขาเลย และตอนที่เรารู้ข่าว Rohmer เสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน เราก็ไม่ได้ร้องไห้ เพราะเหมือนเรารู้อยู่แล้วว่า อายุของ Rohmer ใกล้ที่จะถึงกำหนดแล้วล่ะ แต่พอดูหนังเรื่องนี้ ทำไมเราถึงร้องไห้หนักมากก็ไม่รู้ หนังเรื่องนี้มันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า Rohmer เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนนึงที่มีความผูกพันทางใจกับเรามานานราว 15 ปี (เราดูหนัง Rohmer ครั้งแรกประมาณปี 1995-1996) และการจากไปของเขามันไม่ได้เป็นเพียงแค่การจากไปของญาติผู้ใหญ่คนนึงเท่านั้น แต่มันจากไปในเวลาใกล้เคียงกับการสิ้นสุดของ “หนังที่ถ่ายด้วยฟิล์ม” และจากไปพร้อมกับ “ความงดงามบางอย่างในการมองโลก” ด้วย

--มีอะไรหลายอย่างที่เราชอบสุดๆในหนังเรื่องนี้ อย่างเช่น

1.การที่นักแสดงใน “หนังซ้อนหนัง” ต้องตั้งใจเล่นหนังเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาต้องเล่นให้ผ่านในเทคเดียวเท่านั้น เพราะทางกองถ่ายหนังเหลือฟิล์มที่ใช้ถ่ายหนังได้เพียงแค่ 23 เมตรเท่านั้น

2.ฉากที่ sound man บันทึกเสียงบรรยากาศในหนังเรื่องนี้ มันส่งผลกระทบทางใจต่อเราอย่างมากๆ ไม่รู้ทำไม

3.ชอบบทสนทนาของ Rovere (ตัวละครที่เป็นตัวแทนของ Rohmer) กับพระเอกมากๆ มันมีฉากนึงที่ Rovere ท่องบทกวีให้พระเอกฟัง แล้วพระเอกก็ตอบว่า “ผมไม่เข้าใจ” แล้ว Rovere ก็ตอบว่า “บทกวีไม่ต้องอาศัยความเข้าใจ แต่คุณต้อง experience มัน และคุณอาจจะต้องเคยมีประสบการณ์ unhappy in love ด้วย”

--จริงๆแล้วเส้นการพัฒนาการของตัวละครในหนังเรื่องนี้น่าสนใจนะ เพราะตัวพระเอกเริ่มต้นด้วยการเป็นคนที่คลั่งไคล้ FAST AND FURIOUS และ Bruce Willis แต่พอเขาได้มาแสดงหนังของ Rovere เขาก็เลยกลายเป็นคนที่ได้สัมผัสกับความงดงามของบทกวีของ Paul Verlaine, ได้อ่านหนังสือของ Anton Chekhov และหาซื้อหนังสือของ Stéphane Mallarmé มาอ่าน

ที่เราว่าน่าสนใจ ก็คือว่า ถ้าหากหนังมันทำออกมาไม่ดี เส้นเรื่องแบบนี้มันอาจจะทำให้หนังเรื่องนั้นกลายเป็นหนังเชิดชู high culture แบบกลวงๆได้นะ แต่เราว่าหนังเรื่องนี้มันทำออกมาดีมาก มันแสดงให้เห็นว่า Rohmer รักอะไรแบบนี้จริงๆ และ Rohmer ซาบซึ้งในความงดงามของวรรณกรรมเหล่านี้จริงๆ และนอกจาก Rohmer จะทำสำเร็จในการปลูกฝังความรักวรรณกรรมให้กับตัวพระเอกได้แล้ว เราว่าหนังเรื่องนี้น่าจะทำสำเร็จในการปลูกฝังความรักวรรณกรรมให้กับคนดูบางคนได้ด้วย คือพอกูดูหนังเรื่องนี้เสร็จ กูก็อยากลาออกจากงานเพื่อมานั่งอ่านบทประพันธ์ของ Chekhov ในทันทีค่ะ

เราว่าความสำเร็จของ MAESTRO ในจุดนี้ มันคล้ายๆกับความสำเร็จของหนังเรื่อง IN HER SHOES (2005, Curtis Hanson) ด้วยนะ เพราะ IN HER SHOES ก็มีเส้นเรื่องเกี่ยวกับสาวโหลยโท่ยที่ดูโง่ๆหน่อย แต่ไปๆมาๆเธอกลับกลายเป็นคนที่เข้าใจความงดงามของบทกวีได้ดีมากๆ


--MAESTRO คือหนึ่งในหนังที่ให้ความรู้สึกงดงามที่สุดที่เราได้ดูในปีนี้ หนังติดอันดับประจำปีของเราแน่นอนค่ะ

No comments: