LISTEN NO.2 (2015, Sirada Chokwareeporn, A+25) หนังสั้นเกี่ยวกับรัก
3 เส้าในโรงเรียนเตรียมอุดมที่เล่าผ่านทางดนตรีคลาสสิค พระเอกหล่อดี ชื่อทีฆทัศน์
ธัญญวิบูลย์
BUG (2015, Wisarut Triamlumlert, A+25) โคตรเสียดายหนังสั้นเรื่องนี้มากๆ
คือหนังเรื่องนี้มัน David Cronenberg มากๆ มันเป็นหนังไซไฟเกี่ยวกับโลกอนาคตที่มนุษย์บางคนจะมีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ฝังอยู่ในตัว
และทำให้มนุษย์กลุ่มนี้ใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างจิ๋มกะหล่ำมากๆ
แต่เสียดายที่ตอนจบของหนังเรื่องนี้ มี text ขึ้นมาสั่งสอนคนดูในเชิงที่ไม่ให้หมกมุ่นกับเทคโนโลยีมากเกินไป
คือถ้าไม่มีไอ้ text นี่ เราคงให้หนังเรื่องนี้ติดอันดับประจำปีเราไปแล้ว
เรื่องสั้นที่ 13 (อิทธิ แซ่ชั่ง, A+30)
ไม่รู้ว่าผู้กำกับเป็นใคร แต่มันให้อารมณ์คล้ายๆหนังกลุ่ม “กะเทยระเบิดความบ้าคลั่งในตัวเองออกมา”
แบบหนังอย่าง “ตามล่าคนหน้าเหมือน” (2012, Pitchayakorn Sangsuk) และ “หนังผีแสนสนุก
หนังผีแสนสนุก” (2014, Pissanupong Rattana) และให้อารมณ์แบบหนังคัลท์สุดคลาสสิกเรื่อง
“กลางวันแสกๆ” (2004, ทายาท เดชเสถียร) กับ THE WITCH (2009, Alwa Ritsila
+ Phatamon Chitarachinda) ด้วยในบางฉาก คือเราชอบที่หนังเรื่องนี้เหมือนเป็น
“ยำใหญ่” รวมความคัลท์ของหนังสั้นไทยหลายเรื่องมาไว้ในเรื่องเดียวกัน
ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วผู้กำกับหนังเรื่องนี้อาจจะไม่เคยดูหนังคัลท์เหล่านั้นก็ตาม
ลวง (คงคิด วิเศษสิริ, A-/B+)
เสียดายหนังเรื่องนี้มากๆ คือเราว่าครึ่งเรื่องแรกใช้ได้เลยแหละ
แต่ครึ่งเรื่องหลังที่เป็นเรื่องของการแก้แค้น เราว่ามันไม่ convincing สำหรับเรา
ซึ่งจริงๆแล้วอันนี้เป็นปัญหาเดียวกับหนังเรื่อง “คำสัญญา” THE PROMISES (ชมพูนุช
สว่างจันทร์, A+15) ที่ฉายไปในวันที่ 18 ก.ค. และมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน
คือเราชอบ “คำสัญญา” มากๆ แต่ช่วงที่นางเอกกลายสภาพเป็น femme fatale ในช่วงท้ายของหนัง มันไม่น่าเชื่อถือสำหรับเรา เราก็เลยไม่ได้ชอบ “คำสัญญา”
ในระดับ A+30 ทั้งที่จริงๆแล้ว
เราชอบเนื้อหาส่วนที่เป็นความรักของเกย์วัยมัธยมใน “คำสัญญา” มากๆ อย่างไรก็ดี
มีหนังอีกเรื่องที่มาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่สอบผ่านในด้านนี้ นั่นก็คือเรื่อง “นิรันดร์”
PAUSE (ภัควัลย์ พรรณโณภาส, A+25) คือหนังทั้ง
3 เรื่องนี้มีโครงสร้างคล้ายๆกัน นั่นก็คือนางเอกจะกลายสภาพเป็นฆาตกรโรคจิตในช่วงครึ่งหลังของเรื่อง
แต่เราว่าเรื่อง PAUSE ดูแล้ว convincing ที่สุด และสามารถสร้างสถานการณ์ได้สนุกที่สุดในช่วงครึ่งหลังของเรื่องเมื่อเทียบกับอีก
2 เรื่องที่เหลือ
ส่วน WHEN WE TALK ABOUT LOVE ที่ฉายในรอบเดียวกันนี้นั้น
เราเคยดูมาก่อนหน้านี้แล้ว เราเขียนถึง WHEN WE TALK ABOUT LOVE (2015,
Parnupong Chaiyo, A+20) ไว้ที่นี่นะ
THE DAY WITHOUT CHRIST วันที่ผัวไม่อยู่ (เขมรุจิ
ทีรฆวงศ์, A+25)
เฮี้ยนมากๆ ชอบมากๆที่มันเป็นหนังผีที่ไม่มีตุ้งแช่อะไรเลย
แต่เป็นหนังผีที่ทำตัวไม่เหมือนหนังผีทั่วๆไป คือหนังผีทั่วๆไปมันตั้งหน้าตั้งตาจะสร้างอารมณ์เข้มข้น
น่ากลัว หรือไม่ก็สร้างอารมณ์ตลกต่อผู้ชมตลอดเวลา
แต่หนังผีเรื่องนี้เหมือนมันจะปล่อยให้กิจวัตรประจำวันของตัวละครดำเนินไปเรื่อยๆ
โดย “เหยาะ” ความตลกหรือความน่ากลัวเข้าไปเพียงกะปริดกะปรอยน่ะ
ไม่ใช่ใส่ความตลกหรือความน่ากลัวเข้าไปแบบ “สาดเสียเทเสีย”
เหมือนในหนังผีเรื่องอื่นๆ
อารมณ์ในหนังเรื่องนี้ก็เลยแปลกมากเมื่อเทียบกับหนังผีทั่วๆไป แต่ effective มากเมื่อหนังจบลงแล้ว
นอกจากนี้ ฉากอาบน้ำกับพระพุทธรูปในหนังเรื่องนี้ ก็ถือเป็นฉากคลาสสิคฉากนึงสำหรับเราด้วย
ไม่รู้ฉากนี้ใช้อวัยวะส่วนไหนคิดขึ้นมา 555
จริงๆแล้วรอบนี้มีหนังที่ติดอันดับประจำปีเราฉายอีกเรื่องนึงด้วยนะ
นั่นก็คือเรื่อง “วันที่ไม่มีเรา” WE WISH (2014, Surawee Woraphot, A+30) แต่เราดูหนังเรื่องนี้ไปแล้วก่อนหน้านี้ เราชอบ WE WISH มากๆในแง่ที่ว่า มันทำให้เราตระหนักถึงภาวะ consciousness ของมนุษย์ที่แตกต่างกับภาวะ consciousness ทางภาพยนตร์น่ะ
คือมนุษย์เราเวลาคุยกับคู่สนทนา มันจะไม่เห็นหน้าตัวเองขณะคุยกับคู่สนทนา คือเราจะเห็นแค่หน้าคู่สนทนา
แต่ไม่เห็นหน้าตัวเราเองในตอนนั้น (ซึ่งหนังเรื่องนี้จะสื่อผ่านทางกล้องแบบ subjective
camera) และมนุษย์เราจะได้ยินเสียงความคิดของตัวเองในหัวตัวเองตลอดเวลา
(เหมือนเสียง voiceover ในหนัง) ซึ่งนั่นหมายความว่า
มนุษย์เราจริงๆแล้วจะรับรู้แค่ “I” แต่ไม่สามารถกลายเป็น WE
(เรา) ได้อย่างแท้จริง เพราะมนุษย์เราไม่สามารถมองผ่านสายตาของคนอื่นได้
หรือได้ยินเสียงความคิดในหัวคนอื่นได้ แต่การกลายเป็น WE จะเกิดขึ้นได้ในฉากหนึ่งในหนังเรื่องนี้
ซึ่งเป็นฉากความฝัน มันเป็นฉากที่ทุกคนโพสท่าเหมือนอยู่ใน “ภาพยนตร์”
ฉากที่กล้องเป็น objective camera ไม่ใช่ subjective
camera ซึ่งจะทำให้ผู้ชมเห็นหน้า “คู่สนทนา” ทั้งสองคนได้พร้อมๆกัน
และเป็นฉากที่เสียง voiceover หายไป
ฉากนั้นเป็นฉากเดียวที่เกิด WE ขึ้นอย่างแท้จริง
แต่ฉากนั้นก็จบลงด้วยประโยคที่ว่า “”เรา” ไม่มีจริง” เพราะมนุษย์เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้จริง
มนุษย์เราไม่สามารถมองแบบ objective camera ที่สามารถเห็น “หน้าตัวเองพร้อมๆกับหน้าคู่สนทนา”
ได้ ถ้าหากไม่ได้คุยกันหน้ากระจก และมนุษย์เราไม่สามารถ “ได้ยินเสียงความคิด”
ในหัวคนอื่นได้ (นอกจากว่าคุณจะมี telepathy) หนังเรื่องนี้จึงทำให้เราตระหนักว่า
ในทาง consciousness ของมนุษย์นั้น มันมีแค่ “ฉัน”, “เธอ”
และ “อีคนอื่นๆ” เท่านั้น แต่ “เรา” ไม่มีจริง
เราเขียนถึง WE WISH ไว้ที่นี่นะ
SPAGHETTI (สิทธิศักดิ์ คำอ้าย, A+30) ชอบฉากบอกเลิกในหนังเรื่องนี้มากๆ คือฉากบอกเลิกในหนังเรื่องอื่นๆบางทีมันมาแบบฉาบฉวยน่ะ
มันอาจจะมาแค่ตัวละครพูดว่า “เราเลิกกันเถอะ” แล้วอีกคนนึงก็ทำหน้าตกใจ
แล้วก็ตัดไปฉากอื่นๆเลยเพื่อแสดง effect ของเหตุการณ์นั้น
แต่ฉากบอกเลิกในหนังเรื่องนี้กินเวลายาวนานดี และมันทำได้ทรงพลังมากๆ
นอกจากนี้ เรายังชอบมากๆที่หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงหนังของ Tossapol Boonsinsukh ด้วย ในแง่เนื้อเรื่อง, บรรยากาศ และองค์ประกอบเล็กๆน้อยๆ
ทั้งการวาดรอยยิ้มบนกล่องสปาเก็ตตี้, ผีเสื้อ, การนัดเจอกันที่สนามเด็กเล่น คือหนังของ
Tossapol มันจะมีอะไรคล้ายๆกันนี้น่ะ และเราก็บูชา Tossapol
Boonsinsukh มากๆ น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ทำหนังใหม่ออกมาเลยในช่วง
2-3 ปีมานี้ อย่างไรก็ดี เราดีใจมากๆที่ในที่สุดก็มีคนที่ทำหนังคล้ายๆทศพลออกมา
ถึงแม้จะไม่เหมือนกันซะทีเดียว คือเราว่าหนังเรื่อง SPAGHETTI นี่มันให้ความสำคัญกับ “เนื้อเรื่อง” 50% และ “บรรยากาศ”
50% น่ะ แต่ถ้าหากเป็นหนังของทศพล
มันจะให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่อง 20% และบรรยากาศ 80%
เพราะฉะนั้น SPAGHETTI ก็เลยเป็นหนังที่มีองค์ประกอบเหมือนหนังของทศพล
บุญสินสุข แต่มีสัดส่วนของส่วนผสมที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ดี หนังที่มีฉาก “บอกเลิก” แบบฉาบฉวย
ก็ไม่ได้แปลว่าหนังเรื่องนั้นไม่ดีนะ มันขึ้นอยู่กับว่าหนังเรื่องไหนมันจะเลือกเน้นอะไร
คือการที่ SPAGHETTI มันเน้นลากอารมณ์ยาวๆในฉากบอกเลิก
มันเป็นสิ่งดี เพราะมันทำในสิ่งที่หนังหลายๆเรื่องไม่ทำกัน อย่างไรก็ดี
มันก็มีหนังหลายเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องลากอารมณ์ยาวๆในฉากบอกเลิกก็ได้ อย่างเช่นใน
THE LEFT-HANDED WOMAN (1978, Peter Handke, A+30) ที่เปิดเรื่องด้วยการที่นางเอกบอกเลิกกับผัวโดยไม่มีเหตุผลใดๆทั้งสิ้น
แล้วหนังก็หันไปเน้นเรื่องการปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ของนางเอกแทน
หรือมีหนังบางเรื่องที่ยาว 4 ชั่วโมง แล้วหนังก็จบลงด้วยการที่นางเอกบอกกับผัวว่า “ไม่”
แล้วหนังก็จบเปรี้ยงตรงวินาทีนั้นเลย (ไม่บอกแล้วกันว่าเรื่องอะไร เดี๋ยวเป็นการ spoil
หนังเรื่องนั้น) คือสรุปว่าหนังแต่ละเรื่องมันมีจุดที่เปรี้ยงที่สุดได้
ทั้งๆที่มันทำในสิ่งที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง หนังอย่าง SPAGHETTI มันเปรี้ยงมาก เพราะมันมีฉากบอกเลิกที่ยาวนานมาก ในขณะที่หนังยาว 4
ชั่วโมงบางเรื่องมันเปรี้ยงมาก เพราะมันมีฉากที่นางเอกพูดว่า “ไม่” ใส่หน้าผัว
แล้วหนังก็จบลงตรงวินาทีนั้นทันที