Wednesday, July 15, 2015

TIMELESS VS. TOMORROW OF YESTERDAY

TIMELESS (Nuttorn Kungwanklai, A+30) กับ TOMORROW OF YESTERDAY (2015, Atis Kitsupapaisan, A+30) เป็นหนังที่เหมาะจะฉายควบกันในวันเดียวกันแบบนี้มากๆ เพราะหนังทั้งสองเรื่องนี้เป็นการจับเอา moment เล็กๆของหนุ่มสาวสองคนเหมือนกัน แต่เป็น moment เล็กๆที่ซึ้งมากๆและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อัดแน่นอยู่ภายในมากๆ นอกจากนี้ ตัวละครผู้ชายในหนังสองเรื่องนี้อาจจะมีอะไรบางอย่างคล้ายกันด้วย คือถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด ตัวละครผู้ชายในหนังทั้งสองเรื่องนี้น่าจะชอบหรือแอบชอบนางเอกของเรื่อง แต่สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาไม่ได้เป็นแฟนของนางเอก อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้รักนางเอกอย่างหัวปักหัวปำจนถึงขั้นที่ทำให้เขา “พยายามมากพอ” ที่จะจีบนางเอก/รั้งนางเอกเอาไว้ หรือสารภาพรักออกมา โดยใน TOMORROW OF YESTERDAY นั้น มันมีฉากที่นางเอกกับพระเอกทะเลาะกันในร้านมินิมาร์ท และบทสนทนานั้นเหมือนจะบอกเป็นนัยว่า นางเอกคิดว่าพระเอกไม่ได้แคร์ฝ่ายหญิงมากพอหรืออะไรทำนองนี้ (ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด) ส่วนใน TIMELESS นั้น มันมีฉากที่พระเอกนางเอกคุยกันเรื่องการไปเที่ยวภูเขาอะไรสักแห่ง ซึ่งนางเอกชอบไปมาก แต่พระเอกไม่ยอมไป โดยบอกว่าจะไปภูเขาแห่งนั้นก็ต่อเมื่อมันมีรถกระเช้าแล้วเท่านั้น ซึ่งบทสนทนานี้นอกจากจะบอกถึงรสนิยมที่ต่างกันของทั้งคู่แล้ว มันยังทำให้เราคิดต่อไปอีกด้วยว่า มันสื่อถึงการที่พระเอก “ไม่พยายาม” จะจีบนางเอกจริงๆหรือเปล่า

แต่เราตัดสินยากมากนะว่าชอบหนังเรื่องไหนมากกว่ากันระหว่าง TIMELESS กับ TOMORROW OF YESTERDAY  เพราะมันดีทั้งคู่ จุดที่เราชอบมากๆใน TIMELESS ก็คือการแสดงของคุณสมชาย วชิระจงกลในบทพระเอก เราว่าเขาเล่นได้เป็นธรรมชาติมากๆ และเราว่าหนังเรื่องนี้เลือก moment มาได้ดีสุดๆ คือ moment ช่วงท้ายนี่เราแทบลงไปตายในห้องฉายเลย มันคือ moment  ที่พระเอกกับนางเอกนั่งหลับอยู่ในห้อง แล้วมีลมพัดผ่านเบาๆ เราเห็นม่านหน้าต่างปลิวไสว เห็นพัดลม แล้วก็เห็นรูปถ่ายโพลารอยด์ของนางเอกน่ะ เราว่า moment นั้นมันพีคสุดๆสำหรับเรา เพราะมันเป็น moment ที่ตัวละครหลับใหล ไม่พูด แต่เราได้ฟังทั้งสองพูดกันมามากแล้วก่อนหน้านี้ คือพอเราได้รับรู้ข้อมูลของตัวละครทั้งสองมามากพอแล้ว แล้วเราได้เห็น moment ที่ตัวละครทั้งสองนั่งหลับอยู่ในห้องแบบนี้ มันเหมือนกับ moment นั้นมันไม่ได้ “ยัดข้อมูล” ให้เราอีกต่อไปน่ะ แต่ moment นั้นได้ให้เวลาแก่เราในการประมวลข้อมูล ให้เวลาในการปล่อยให้ข้อมูลที่เราได้รับรู้มาก่อนหน้านี้ค่อยๆซึมลึกเข้าไปในหัวใจของเรา ให้เวลาแก่เราในการจินตนาการถึงอดีตของตัวละครและความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจของตัวละคร ให้เวลาแก่เราในการนึกถึง moment ของความสุขเล็กๆของเรา ความสุขที่เราอาจจะเคยมีในอดีตเมื่อเราได้อยู่ใกล้ๆคนที่เราแอบชอบ โดยที่เราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าได้แอบมองเขา หรือความสุขของการได้อยู่ในห้องนิ่งๆที่มีสายลมเอื่อยๆพัดผ่าน หลังจากที่เคยผ่านอดีตแห่งความรักและความผิดหวังในรักมาแล้ว และไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องอยู่ตัวคนเดียวไปอีกนานเพียงใด

แน่นอนว่า TIMELESS คือหนังที่เราชอบที่สุดในบรรดาหนังของคุณ Nuttorn ที่เราอาจจะเคยดูมาแล้วประมาณ 30 เรื่อง

ส่วน TOMORROW OF YESTERDAY นั้น จริงๆแล้วมันก็เหมือนหนังดีๆของ ICT ศิลปากรอีกหลายๆเรื่อง ที่นำเสนอความรักของคนหนุ่มสาวออกมาได้อย่างนุ่มนวลและตราตรึงใจมากๆ คือจริงๆแล้วเราแอบตั้งชื่อหนังกลุ่มนี้ว่าหนังกลุ่ม TLC ซึ่งย่อมาจาก TENDER LOVE IN COLLEGE และเราแอบตั้งชื่อหนังกลุ่มนี้เมื่อสองปีก่อน ตอนที่มีหนังเรื่อง BE_WHERE (2013, Pornsiri Tonbaisri), FRIENDS SHIFT (2013, Boonyarit Wiangnon), I CAN’T TELL YOU WHY (2013, Anan Pakbara), A MOMENT (2013, Siriporn Chorjiang),  POINT OF VIEW (2013, Praneet Charuphan-ngam), และ SOME RECOLLECTIONS OF YOU (2013, Chatrawut Chalayondecha) ออกฉาย ซึ่งดูเหมือนจะเป็นลูกๆของหนังอย่าง DISTANCE (2010, Chonlasit Upanigkit) อีกทีนึง แต่พอปี 2014 ก็ดูเหมือนหนังกลุ่มนี้จะซาๆลงไป อย่างไรก็ดี พอปี 2015 เราก็ดีใจที่ได้เห็นหนังกลุ่มนี้ออกมาอีก อย่างเช่นเรื่อง TOMORROW OF YESTERDAY และ I DON’T KNOW (Tanakrit Kantiudom)

ส่วนจุดที่ทำให้เราชอบ TOMORROW OF YESTERDAY มากเป็นพิเศษ ก็คือ

1.การที่หนังดูเหมือนจะคิด “อดีต” ของตัวละครคู่นี้มาดีมาก คือตอนแรกที่เราได้เห็นพระเอกกับนางเอก เราก็คิดว่าทั้งสองอาจจะเหมือนกับหนุ่มสาวทั่วๆไปที่แอบชอบกัน และไม่ได้มีอดีตอะไรที่ซับซ้อน แต่พอทั้งสองทะเลาะกันในฉากมินิมาร์ท เราก็เลยพบว่าจริงๆแล้วทั้งคู่มีอดีตที่ซับซ้อนมากพอสมควร จนเราคิดตามไม่ทันว่าจริงๆแล้วทั้งคู่เคยมีความสัมพันธ์ขั้นไหน อะไรยังไงมาก่อน แต่การที่เราคิดตามไม่ทันในการดูรอบแรกมันไม่ใช่ข้อเสียของหนังนะ เพราะหนังไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรแบบนี้ทั้งหมด

2.ชอบที่หนังจบโดยไม่ต้องมีอะไร drama มากมาย ไม่มีการสารภาพรัก ไม่มีฉากพระเอกวิ่งไล่ตามรถแท็กซี่ เราว่าหนังตัดจบได้ดีมากๆ

3.แต่ปัจจัยที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ เพราะหนังเรื่องนี้เลือกใช้โลเกชั่นที่เรามีอดีตน่ะ 555 คือถ้าเข้าใจไม่ผิด หนังเรื่องนี้ใช้ฉากใกล้ๆถนนราชดำเนิน-กรมรด.น่ะ และเป็นฉากตอนประมาณ 5 ทุ่ม หนุ่มสาวเดินทอดน่องคุยไปคุยมาเรื่อยๆ เราก็เลยรู้สึกพีคมากๆกับหนังตรงจุดนี้ เพราะเราเองก็เคยเดินแถวนั้นตอนเที่ยงคืนถึงตีสามน่ะ คือเมื่อประมาณ 17 ปีก่อน เราเคยแอบชอบเกย์หนุ่มอยู่สองคน แล้วตอนนั้นมีเทศกาลหนังอียูหรือเทศกาลหนังอะไรสักอย่างจัดที่ศาลาเฉลิมกรุง พอหนังฉายเสร็จตอน 4-5 ทุ่ม เรากับเกย์หนุ่มสองคนนั้นก็เดินทอดน่อง คุยไปคุยมาแถวศาลาเฉลิมกรุง, กรมรด. คือเดินคุยวนเวียนกันแถวนั้นน่ะแหละ จนถึงตีสาม แล้วก็จบลงด้วยการที่เกย์หนุ่มสองคนนั้นแยกตัวไปนอนด้วยกัน ส่วนเราก็กลับบ้านคนเดียว จบ 555

แต่คืนนั้นมันเป็นหนึ่งในคืนที่เรามีความสุขมากๆเลยนะ พอเราได้เห็นหนังเรื่องนี้มีฉากหนุ่มสาวสองคนเดินคุยกันตอน 5 ทุ่มในสถานที่แบบนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันพีคสุดๆสำหรับเรา


จริงๆแล้วหนังอีกเรื่องที่เหมาะฉายควบกับ TOMORROW OF YESTERDAY มากๆคือ STILL (2008, Wisarut Deelorm, 52min, A+30) เพราะ STILL ก็พูดถึง “ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต” และ “ความรู้สึกที่เคยมีให้กันในอดีต” เหมือนๆกัน

No comments: