CLASS NUMBER เด็กห้องหลัง (2015, Pathompong
Praesomboon, A+30)
--จริงๆแล้วรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ยังเหมือนขาดอะไรบางอย่างนะ เหมือนมันขาดความกลมกล่อมทางอารมณ์อะไรบางอย่างที่จะช่วยผสานสององค์ประกอบหลักในหนังเรื่องนี้เข้าด้วยกัน
ซึ่งก็คือ “ความสัมพันธ์ของพระเอกที่มีต่อครู” กับ “ความสัมพันธ์ของพระเอกที่มีต่อเพื่อน”
เหมือนสองส่วนนี้ยังผสานเข้าด้วยกันไม่ได้อย่างสนิทแนบเนียน หรือมันยังขาดการตะล่อมทางอารมณ์อะไรบางอย่างที่จะทำให้หนังเรื่องนี้มีจุดพีคทางอารมณ์อย่างรุนแรงจริงๆ
เราว่าเป็นโชคร้ายของหนังเรื่องนี้ด้วยแหละที่ฉายต่อจาก THE COUNTRY BOYS เด็กน้อยบ้านโนนสะอาด
(2015, Krailas Phondongnok, A+30) เพราะเราว่า THE
COUNTRY BOYS ผสาน “ชีวิตแร้นแค้นของครอบครัวพระเอก” กับ “ความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับเพื่อนหนุ่ม”
เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว THE COUNTRY BOYS ก็เลยให้อารมณ์ที่พีคสุดๆ
ในขณะที่ CLASS NUMBER เหมือนเกือบๆจะไปถึงจุดนั้น
--หรือสาเหตุที่เราดู CLASS NUMBER แล้วเราว่ามันไม่พีคสุดๆ
อาจจะเป็นเพราะว่า เราไม่รู้มาก่อนว่าหนังมันจะเน้นที่จุดไหนน่ะ
คือก่อนดูหนังเรื่องนี้ เราเดาว่ามันต้องเป็นหนังเกย์แบบเต็มตัว
และเน้นไปที่ประเด็นเรื่องความรักระหว่างพระเอกกับเพื่อนหนุ่มไง เพราะฉะนั้นขณะที่ดูหนังเรื่องนี้ในรอบแรก
เราก็เลยมัวแต่ตั้งตารอว่า เมื่อไหร่พระเอกกับเพื่อนผู้ชายจะเย็ดกันสักที
อะไรทำนองนี้ แต่พอหนังจบลงไปแล้ว เราถึงเพิ่งรู้ตัวว่า อ๋อ จริงๆแล้วหนังมันเน้นประเด็นเรื่องเด็กกับครูหรอกเหรอ
อ๋อ จริงๆแล้วฉากไคลแมกซ์ของหนัง
อาจจะเป็นฉากที่ครูใส่ความเด็กเรื่องลอกข้อสอบเหรอ
ฉากไคลแมกซ์ของหนังมันผ่านไปแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย เพราะเรามัวแต่รอว่าฉากไคลแมกซ์ของหนังจะเป็นฉากที่พระเอกกับเพื่อนผู้ชายได้เสียกัน
555
--แต่เราก็ชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+30 นะ
เพราะมันมีฉากที่โดนใจเราสุดๆสองฉากน่ะ ซึ่งได้แก่
1.ฉากที่พระเอกไม่ยอมให้ของขวัญครูคนที่ใส่ร้ายพระเอก
เราว่าฉากนี้มันสะใจมากๆ คือจริงๆแล้วเราอยากให้พระเอกเดินไปตบหน้าครูคนนี้ด้วยซ้ำ
คือถ้าพระเอกเดินไปตบหน้าครู หนังเรื่องนี้อาจจะติดอันดับประจำปีเราแน่นอน
แต่แค่ที่พระเอกทำในหนังเรื่องนี้ เราก็สะใจมากๆแล้วล่ะ
คือในชีวิตจริงเราก็ทำแบบนี้เท่านั้นแหละ
คือไม่ยุ่งเกี่ยวกับบรรดาครูสัตว์นรกอะไรอีกต่อไป
หนังเรื่องนี้มันทำให้เรานึกถึงสมัยมัธยมเหมือนกันนะ คือสมัยที่เราเรียนประถมและมัธยม
เรากับเพื่อนสนิทบางคน ก็มีครูที่เราเกลียดชังมากๆเหมือนกันแหละ
และถึงแม้เราจะเรียนจบมัธยมตั้งแต่ปี 1990 จนตอนนี้ผ่านไปแล้ว 25 ปี
ความเกลียดชังที่เรามีต่อครูมัธยมบางคน มันก็ไม่ได้จางหายไปเลย เราก็เลยชอบหนังแบบนี้
หนังที่แสดงความเกลียดชังที่มีต่อครูบางคน และถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
เราก็จะไม่มีวันให้อภัยอีพวกครูสัตว์นรกพวกนี้ได้
แต่เราว่าเราไม่ค่อยเจอหนังที่ลูกศิษย์กลับไปแก้แค้นครูเลวๆเท่าไหร่นะ
สิ่งที่เราเจอมักจะเป็นหนังเกี่ยวกับครูเลวๆ อย่างเช่น ด.เด็ก ช.ช้าง (2002, ทรงยศสุขมากอนันต์,
A+30) และ GHOST
IN THE CLASSROOM (2012, Ukrit Sa-nguanhai, A+30) น่ะ
แต่หนังสองเรื่องนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า
เมื่อเด็กๆในหนังสองเรื่องนี้โตขึ้น เด็กได้กลับไปแก้แค้นครูหรือเปล่า
คือเราว่าประเด็นเรื่อง “ความขัดแย้งระหว่างครูกับนักเรียน” น่ะ
หนังเรื่อง CLASS NUMBER ทำออกมาได้ดีพอสมควร
แต่มันอาจจะไม่พีคเท่ากับหนังคลาสสิคในสายตาเราอย่าง ด.เด็ก ช.ช้าง และ GHOST
IN THE CLASSROOM อย่างไรก็ดี CLASS NUMBER มันโดดเด่นและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ตัวเองได้
เมื่อเทียบกับหนังคลาสสิคสองเรื่องนั้น
เพราะมันมีฉากที่พระเอกไม่ยอมให้ของขวัญนี่แหละ
การที่พระเอกตอบโต้ครูด้วยการไม่ยอมให้ของขวัญ จึงเป็นอะไรที่สะใจเรามากๆ
และเราอาจจะไม่ค่อยเห็นอะไรแบบนี้ในหนังไทยเรื่องอื่นๆ
อย่างไรก็ดี ถ้าหากใครชอบหนังไทยที่มีฉากนักเรียนตบกับครู
เราก็ขอแนะนำให้หาชมหนังเรื่อง THE PERSONAL (2015, Nattapon
Jomjun, A+30) กับ SIGN OF SIN ห้องที่ 17 (2013,
Pawinee Mingchue, A+30) ด้วยนะ แต่หนังสองเรื่องนี้มันเป็นการตบกับครูในขณะที่นางเอกยังเป็นนักเรียนอยู่น่ะ
เพราะฉะนั้นมันก็เลยแตกต่างจาก CLASS NUMBER และเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า
CLASS NUMBER ทำในสิ่งที่หาได้ยากในหนังไทยเรื่องอื่นๆ
ซึ่งก็คือการแสดงให้เห็นว่า “ถึงแม้เวลาจะผ่านไป
ความเกลียดชังที่มีต่อครูบางคนก็ไม่เคยลบเลือนจางหายไป”
2.อีก moment นึงที่เราชอบมากๆในหนังเรื่องนี้
ก็คือการที่เพื่อนพระเอกพยายามปกป้องพระเอก ด้วยการตอบโต้กับครูอย่างรุนแรง
เราว่าฉากนี้มันตรงกับ romantic fantasy ของเรามากๆ
คือสมัยที่เราอยู่มัธยม เราก็เคยมีแฟนตาซีแบบเดียวกันนี้เลย แฟนตาซีที่ว่า
จะมีชายหนุ่มสักคนปกป้องเราแบบในหนังเรื่องนี้
คือไม่ได้ปกป้องเราจากการชกต่อยรุมทำร้ายอะไรแบบนั้นนะ
เพราะเรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นได้ยากในชีวิตจริงของเราน่ะ
แต่เป็นการปกป้องเราจากความอยุติธรรมและอำนาจเผด็จการของครูหรืออะไรทำนองนี้
อย่างไรก็ดี เราก็เห็นด้วยกับที่เพื่อนๆบางคนตั้งข้อสังเกตไว้
คือเราว่าประโยคสนทนาหรือวิธีพูดประโยคสนทนาในฉากที่
พระเอก+เพื่อนพระเอก+ครูใจสัตว์ โต้ตอบกัน มันยังไม่ลงล็อคซะทีเดียวน่ะ
มันยังมีอะไรขัดๆเขินๆในฉากนั้นอยู่ อารมณ์ในฉากนั้นก็เลยไม่พีคเท่าที่ควร
--อีกประเด็นนึงที่หนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจ
แต่เราเก็บมาคิด ก็คือคำว่า CLASS ในชื่อหนัง คือคำว่า CLASS
นั้น นอกจากมันจะหมายถึงชั้นเรียนแล้ว มันยังหมายถึงชนชั้นได้ด้วย
และการที่ครูดูถูกเด็กบางกลุ่มในหนังเรื่องนี้ ว่าต้องลอกข้อสอบแน่นอน
ทั้งๆที่เด็กมันไม่ได้ลอก มันก็เลยทำให้เรานึกไปถึงเรื่อง ที่คนบางกลุ่มดูถูกชนชั้นล่างว่าโง่หรือขายเสียงด้วย
เราคิดว่าหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ตั้งใจเล่นกับคำว่า CLASS นะ
แต่เราว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจดี ถ้าหากเราจำไม่ผิด หนังเยอรมันเรื่อง CLASS
ENEMY (1983, Peter Stein, 125min, A+30) ก็น่าจะเล่นกับคำว่า CLASS
เหมือนกัน เพราะในหนังเรื่อง CLASS ENEMY นั้น
เราจะได้เห็นตัวละครนักเรียนหนุ่ม 5 คน คุยกันในชั้นเรียนตลอด 2 ชั่วโมงเต็ม
เพราะครูดันลางานกะทันหัน และเป็นการคุยกันที่รุนแรงและดุเดือดมากๆ
เพราะนักเรียนหนุ่ม 5 คนนี้ ที่อาจจะมาจากต่างชนชั้นกัน
ได้โต้เถียงกันเรื่องประเด็นต่างๆในสังคมได้อย่างรุนแรงมากๆ
เราก็เลยคิดว่าหนังเรื่อง CLASS ENEMY น่าจะเป็นการเล่นกับคำว่า
CLASS ที่แปลว่า ชั้นเรียนและชนชั้น แต่เราไม่แน่ใจว่า CLASS
NUMBER เล่นกับเรื่องนี้หรือเปล่า
--สรุปว่า เราชอบ CLASS NUMBER ในระดับ A+30 เพราะมันมีจุดนึงในหนังที่สะใจเราสุดๆ
และเป็นจุดที่เราแทบไม่เคยเจอในหนังไทยเรื่องอื่นๆ อย่างไรก็ดี
เราว่าหนังยังต้องการการขยี้อารมณ์ หรือการตะล่อมทางอารมณ์อะไรบางอย่าง ที่จะทำให้อารมณ์ในหนังเรื่องนี้มันพีคสุดๆได้มากกว่านี้
No comments:
Post a Comment