HAPPY OLD YEAR (2019, Nawapol Thamrongrattanarit, A+30)
ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไร ไม่ให้เหลือเธอ
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
--
--
--
--
--
1.พอดูจบแล้ว จะเกิดข้อสงสัยทางกฎหมายมากๆ
แต่เนื่องจากเราไม่มีความรู้ทางกฎหมาย เราก็เลยอยากจะถามผู้รู้ว่า
1.1 ในทางกฎหมายนั้น เปียโนเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร เป็นทรัพย์สินของใคร หรือเป็นทรัพย์สินร่วมกันของแม่,
จีน, เจย์
1.2 ถ้าหากมันเป็นทรัพย์สินร่วมกันของคน 3 คน
แล้วคนนึงเอาไปขายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากอีกคนนึง
เพื่อเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง อย่างนี้แม่สามารถฟ้องร้องจีนในข้อหา “ลักทรัพย์”
ได้หรือไม่ หรืออย่างนี้เรียกว่าเป็นคดีอุทลุม 55555
1.3 แม่สามารถทำให้ “จีน” ติดคุกในข้อหาลักทรัพย์ได้หรือไม่
2.คือพอดูหนังจบแล้ว เราก็สร้างเรื่องราวต่อจากฉากจบในหัวของเราทันที
เป็นฉากแม่ฟ้องร้องจีนในข้อหาลักทรัพย์ เพื่อทำให้จีนติดคุก แต่เราไม่รู้ว่า “ฉากจบในจินตนาการ”
ในหัวของเรา เป็นสิ่งที่ทำได้จริงในทางกฎหมายของไทยหรือเปล่า
แอบคิดว่า ฉากจบในจินตนาการในหัวของเรา มันดู Claude Chabrol ยังไงไม่รู้
555
3.คือเราเกลียดจีนอย่างสุดๆเพราะการขายเปียโนน่ะ
คือเราเข้าใจว่ามันเป็นทรัพย์สินร่วมกันของคน 3 คนนะ แล้วบ้านที่จีนอาศัยอยู่
ก็เป็นทรัพย์สินร่วมกันของคน 3 คนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันต้องตกลงกันให้ชัดๆว่า
ใครมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินอะไรในบ้านบ้าง และห้องไหนของบ้านที่มึงมีสิทธิ์ล่วงล้ำ
หรือมึงไม่มีสิทธิ์ล่วงล้ำ
คือพอเรามองว่า เปียโนมันเป็นทรัพย์สินร่วมกันของคน 3 คน เราก็เลยมองว่า
มึงไม่มีสิทธิเอามันไปขายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมน่ะ
สิ่งที่มึงทำคือการลักทรัพย์น่ะ คือมันไม่สำคัญสำหรับเราแม้แต่น้อยเลยว่า
เปียโนนั้นมี “คุณค่าทางใจ” หรือ “ไม่มีคุณค่าทางใจ” ในสายตาของแม่
คือถึงเปียโนตัวนั้นจะไม่มีคุณค่าทางใจใดๆเลยในสายตาของแม่
แต่ถ้าหากแม่มีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์สินนั้น และแม่ไม่ต้องการให้ขายสิ่งนั้น
(ไม่ว่ามันจะมีคุณค่าทางใจหรือไม่ก็ตาม) มึงก็ไม่มีสิทธิ์ไปละเมิดทรัพย์สินของคนอื่น
หรือทรัพย์สินที่คนอื่นถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับมึงอยู่น่ะ
แต่ไม่รู้เราเข้าใจอะไรในทางกฎหมายผิดไปหรือเปล่านะ
คือถ้าหากเปียโนมันเป็นทรัพย์สินของจีนกับเจย์เพียงแค่สองคน มึงก็ขายไปได้เลย หรือถ้าหากจีนกับเจย์เป็นเจ้าของอาคารนั้น
และแม่ไม่มีสิทธิ์ในอาคารนั้น มึงก็ขายเปียโนไปได้เลยเช่นกัน แต่ถ้าหากคนอื่นมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์สินและที่ดิน/อาคารด้วย
สิ่งที่มึงทำคือสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้น่ะ
เราก็เลยจินตนาการฉากจบ เป็นฉากแม่ฟ้องร้องจีนเพื่อให้จีนติดคุก
3.แต่ก็ชอบหนังอย่างสุดๆนะ ถึงแม้เราจะไม่อินกับจีนก็ตาม เพราะเราเป็นคน
“โหยหาอดีตอย่างรุนแรง” น่ะ “อดีต” คือหนึ่งในสมบัติที่มีค่าที่สุดในชีวิตเรา
เราชอบหนังอย่างสุดๆในแง่ที่ว่า หนังมันนำเสนอตัวละครนางเอกที่เป็นสีเทามากๆสำหรับเราน่ะ
ถือว่ากล้ามากๆ นางเอกมันดูมีความเย็นชา
และไร้หัวใจมากๆเมื่อเทียบกับมาตรฐานนางเอกหนังไทยโดยทั่วไป
(แต่อย่าไปเทียบกับนางเอกละครทีวีแบบ “เพลิงพ่าย” ก็แล้วกัน) และก็ไม่ใช่เย็นชา
และไร้หัวใจแบบทื่อมะลื่อ แบนๆ แต่เป็นคนที่มีความซับซ้อนจริงๆ
และเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตามแต่ละสถานการณ์ที่มากระทบ เดี๋ยวใจแข็ง เดี่ยวใจอ่อน
เดี๋ยวอยาก “ใจดี” แต่พอ “ใจดี” แล้ว “เจ็บปวด” ก็กลับมา “ใจร้าย” อีก
ซึ่งเราว่าอันนี้มันดีสุดๆ มันเป็น character ที่เป็นมนุษย์มากๆสำหรับเรา
และเราว่าหนังเรื่องนี้มัน “ละเอียดอ่อนสุดๆ” ในความเห็นของเรา มันสามารถกะเทาะอารมณ์ความรู้สึกจิตใจจิตวิญญาณของตัวละครหลักๆในหนังออกมาได้อย่างละเอียดอ่อนมากๆ
และมันทำได้สำเร็จผ่านทางนางเอกที่ค่อนข้าง unlikeable ด้วย
4.พอดูหนังเรื่องนี้ต่อจาก DIE TOMORROW แล้วรู้สึกเลยว่า
เต๋อสร้างตัวละครหญิงไทยในหนัง 2 เรื่องนี้ได้ “ใกล้เคียง”
กับตัวละครหญิงแนวที่เราชอบสุดๆ แต่เป็นแค่ “ใกล้เคียง” นะ ยังไม่ถึงกับ “ตรงเผง”
แต่แค่ใกล้เคียงนี่ก็ถือว่าหาได้ยากแล้วในหนังไทย
คือใน DIE TOMORROW นั้น
มันมีตัวละครนักแสดงหญิงที่ดีใจที่คู่แข่งตายน่ะ
ซึ่งมันคล้ายกับตัวละครที่เราชอบสุดๆ ซึ่งก็คือตัวละคร Havana Segrand
(Julianne Moore) ใน MAPS TO THE STARS (2015, David
Cronenberg) (นึกถึงฉาก NA
NA HEY HEY ใน MAPS TO THE STARS สิ)
ส่วนตัวละครจีนในหนังเรื่องนี้นั้น
มันมีบางอย่างที่ทำให้เรานึกถึงตัวละครที่เราชอบสุดๆ นั่นก็คือ Lee (Catherine Keener) ใน FULL FRONTAL (2002, Steven Soderbergh) และนี่คือคำบรรยายถึงตัวละคร
Lee ใน FULL FRONTAL
“ I
think Lee is like... Have you ever seen a dog get hit by a car but walk away?
And there's this impact and you know something terrible has happened to that
dog but it walks away and it doesn't seem to even realize the implications
cause it just goes on. But you know that something terrible has happened inside
this dog. That's, I think, what happened to Lee. It's like she's a dog that got
hit by a car, and she walked away and she's still walking, but some very, very
important things inside her are damaged.”
5. การที่เรามองว่า ตัวละครจีนมันซับซ้อนมาก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรารู้สึกว่า เรามีทั้งส่วนที่เหมือนเธอ และส่วนที่ตรงข้ามกับเธอน่ะ
และนั่นแหละคือสาเหตุนึงที่ทำให้เรามองว่า จีนมันคล้ายมนุษย์จริงๆ
ส่วนที่เราตรงข้ามกับเธอ
ก็คือการที่เราหมกมุ่นกับอดีตอย่างรุนแรงนั่นแหละ แต่เราก็ยอมรับว่า
เราเองก็เป็นคนที่ใจร้าย เย็นชา หรือไร้หัวใจ หรือ bitter มากๆเหมือนกัน
ซึ่งบางครั้งเราก็เสียใจอย่างสุดๆกับความใจร้ายของเรา
แต่ในบางครั้งเราก็ดีใจอย่างสุดๆกับความใจร้ายของเรา
เรายังไม่เคยทิ้งใครนะ (ในฐานะคนรัก) เพราะเราหาผัวไม่ได้เลย 555 แต่พฤติกรรมความใจร้ายของเราที่เราภูมิใจมากๆ
ก็มีอย่างเช่น
เมื่อ 4-5 ปีก่อน มีผู้หญิงต่างชาติคนนึงมาขอ add เราเป็น friend
ทาง Facebook น่ะ แล้วเราก็รับ add ไป เหมือนเธอเป็นคนอเมริกันที่จะมาอยู่กรุงเทพ
อยากรู้จักเพื่อนเกย์แปลกหน้า เธอถามเราเรื่องสถานที่ฉายหนังนอกกระแส เราก็ให้ข้อมูลอะไรไปยืดยาว
หลังจากนั้นเธอก็อยากนัดเจอเรา แต่เราก็ปฏิเสธไปว่า เราไม่ว่าง
เพราะสาเหตุนู่นนั่นนี่ คือจริงๆแล้วเราไม่อยากเจอเธอ เพราะเราขี้เกียจ เรายุ่ง
เราอยากเอาเวลาว่างของเราไปทำอย่างอื่นที่ให้ความสุขแก่ตัวเรามากกว่า เราก็ปฏิเสธเธอไปเรื่อยๆว่า
เราไม่ว่าง และเราคิดว่า คนธรรมดา มันก็น่าจะสำเหนียกได้แล้วว่า เราไม่อยากเจอเธอ
แต่อีนี่ก็ไม่หยุด ยังมาตื๊อกูอยู่นั่นแหละ เราก็เลย “พูดความจริง”
ดีกว่า เราก็เลยบอกไปตามตรงว่า “I don’t want to see you”
อีนั่นก็เลยโมโหมาก ด่าเราว่าเป็นคนที่ bitter สุดๆ
แล้วมันก็ block เราไป
เราก็เลยดีใจสุดๆ รู้สึกว่าความ bitter นี่แหละคือคุณสมบัติอย่างนึงที่เราภูมิใจ
ความจริงใจ การพูดความจริง ไม่โกหกนี่แหละ
ช่วยตัดตัวเหี้ยออกไปจากชีวิตเราได้ในทันที 555
สรุปว่า ข้อ 5 นี่ไม่เกี่ยวกับหนังแต่อย่างใด แต่แค่จะบอกว่า
เราก็เป็นคนที่ใจร้ายเหมือนกัน แต่อาจจะใจร้ายในแบบที่แตกต่างจากจีน
6.เหมือนหลายคนจะมองว่าหนังเรื่องนี้มีความ political นะ ซึ่งมันก็อาจจะจริงอย่างที่หลายคนมอง
แต่เราไม่ถนัดการมองในแง่มุมนี้ เราก็เลยขอข้ามไป
แต่ดูแล้วจะนึกถึงหนังสั้นเรื่อง “สนทนา พนา ธานินทร์” (2019, Witchapaul Pothinarm) ในแง่มุมนึงนะ เพราะ “สนทนา พนา ธานินทร์” เป็นเหมือนการปะทะกันของคนสองคนที่คนนึงเหมือนเป็นคนรุ่นเก่า
อนุรักษ์นิยม และอีกคนนึงเหมือนเป็นเด็กรุ่นใหม่ หัวก้าวหน้า ทุนนิยม
และหนังมันดูเหมือนเข้าข้างฝ่ายอนุรักษ์นิยมน่ะ
โดยผ่านทางการนำเสนอตัวละครเด็กรุ่นใหม่ว่า ก้าวร้าวเกินไป อะไรทำนองนี้
พอเราดู HAPPY OLD YEAR แล้วเราพบว่า เราเกลียดจีนมากๆ
ในแง่การละเมิดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่น เราก็เลยนึกถึง “สนทนา พนา
ธานินทร์” น่ะ
7.ยอมรับนะว่า ตัวเองไม่ใช่ targeted audience ของเต๋อ เพราะ targeted
audience ของเต๋อ คือผู้ชมที่อายุน้อยกว่าเรา และรวยกว่าเรา 555
แต่เราไม่ว่าอะไรเต๋อในจุดนี้ทั้งสิ้น เพราะเราก็ไม่ใช่ targeted audience ของหนังส่วนใหญ่อยู่แล้ว
(ยกเว้นหนังอย่าง 30 YEARS OF ADONIS) สิ่งสำคัญก็คือว่า
เราว่าเต๋อเก่งมากๆแหละ ที่น่าจะรู้จัก targeted audience ของตัวเองเป็นอย่างดี
และทำหนังออกมาเพื่อรองรับผู้ชมกลุ่มเป้าหมายหลักของตัวเองได้