Sunday, August 31, 2014

MADAM ANNA, NIPPLES, MACARON, PONYANGKAM, AND BASIC EDUCATION (2014, Ratchapoom Boonbunchachoke, 41min, A+30)


MADAM ANNA, NIPPLES, MACARON, PONYANGKAM, AND BASIC EDUCATION (2014, Ratchapoom Boonbunchachoke, 41min, A+30)
แหม่มแอนนา หัวนม มาคารอง โพนยางคำ และการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ดูแล้วนึกถึงสิ่งต่างๆดังต่อไปนี้

1.ชอบตอนจบมากๆ รู้สึกว่าตอนจบมันเสียดสีในประเด็นที่ตรงใจเรามากๆ

2.มีฉากที่ชอบมากหลายฉากในหนังเรื่องนี้ ฉากแรกก็คือฉากที่แหม่มแอนนาวางแก้วน้ำไว้ แล้วน้ำในแก้วก็ค่อยๆหายไปจนหมด โดยทับทิมบอกว่า “ผีบ้านผีเรือน” ที่อยู่ในบ้านนี้มานานมากแล้วและมักจะกินเครื่องเซ่น เป็นผู้ที่มาเอาน้ำในแก้วไป แล้วแหม่มแอนนาก็ประหลาดใจที่ประเทศนี้ยังมีความเชื่อเรื่องผีบ้านผีเรือนอยู่

เราไม่รู้เหมือนกันว่าฉากนี้มีความหมายอะไร แต่สาเหตุที่ทำให้เราชอบฉากนี้มากๆ เพราะมันทำให้เรานึกถึง “เงินภาษีของประชาชนไทยที่อยู่ดีๆก็ถูกสูบหายไป”

3.ประเด็นอื่นๆในหนังก็ชอบมาก แต่ก่อนอื่นเราขอบอกว่าเราเข้าใจหนังเรื่องนี้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้นนะ เราเข้าใจแต่เฉพาะประเด็นที่ตัวละครพูดออกมาเท่านั้น ส่วนประเด็นอื่นๆที่อาจจะมีซ่อนอยู่ลึกซึ้งกว่านั้นเป็นสิ่งที่เราอาจจะยังขบคิดไม่ออกจ้ะ

หนึ่งในประเด็นที่ชอบมากก็คือการที่แหม่มแอนนา ซึ่งเป็นตัวแทนของความศิวิไลซ์และเป็นตัวแทนของ “การช่วยเหลือคนอื่นเพราะมองว่าคนอื่นต่ำต้อยด้อยกว่าและช่างโง่เง่า” นั้น ไม่ได้เป็นชาว Caucasian แล้วในปัจจุบัน แต่กลับมีสภาพเหมือนสาวฐานะดีเชื้อสายไทย/จีนที่ได้ไปเรียนต่อเมืองนอกมา แหม่มแอนนาในเรื่องนี้มองว่าชาวบ้านเป็นพวกที่ช่างด้อยการศึกษาและควรได้รับการแปลงโฉมเสียใหม่ เธอคิดว่าสิ่งที่เธอทำคือการทำดีอย่างหนึ่ง แต่ไปๆมาๆ เธอกลับพบว่าเธอไม่ต้องการให้ชาวบ้านพวกนั้นได้เผยอหน้าขึ้นมาทัดเทียมกับเธอ เธอยินดีที่จะช่วยเหลือชาวบ้าน ก็ต่อเมื่อชาวบ้านอยู่ในฐานะที่ด้อยกว่าเธอเท่านั้น เธอต้องการจะช่วยชาวบ้าน และต้องการจะรักษาสถานะของตัวเองให้สูงส่งกว่าชาวบ้านไว้ต่อไป

การที่แหม่มแอนนาในเรื่องนี้ไม่ได้เป็นฝรั่ง แต่มีสภาพเหมือน “สาวไทย/จีนฐานะดี” จึงทำให้เรารู้สึกว่า หนังเรื่องนี้สามารถสะท้อนทั้งประวัติศาสตร์ในอดีตและสถานการณ์ในปัจจุบัน และสะท้อนทั้งประวัติศาสตร์โลกและประวัติศาสตร์ไทยไปด้วยในขณะเดียวกัน การที่ตัวละครเรื่องนี้ใช้ชื่อว่า “แหม่มแอนนา” ทำให้เรานึกถึงประวัติศาสตร์ไทย และการที่ตัวละครเรื่องนี้พูดถึงอาณานิคมในอินเดีย, แอฟริกา และพวกอินเดียนแดง ทำให้เรานึกถึงประวัติศาสตร์โลก แต่การที่ตัวละครแหม่มแอนนาในเรื่องนี้มีสภาพเป็นสาวไทย/จีนฐานะดี ทำให้เรานึกถึงลักษณะบางอย่างในสังคมไทยในยุคปัจจุบัน

4.หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงประเด็นเรื่องการปลูกฝังความเชื่อและวัฒนธรรมด้วย โดยเฉพาะเรื่องความลักลั่นในการรับความเจริญทางวัตถุจากต่างประเทศ แต่ไม่ยอมรับแนวคิดที่ดีๆจากต่างประเทศมาใช้ด้วย เพราะแนวคิดเหล่านั้นมันจะเป็นการทำลายฐานอำนาจของกลุ่มผู้ทรงอิทธิพล

5.ชอบการเสียดสีความเป็นไทยและความรักชาติในหนังเรื่องนี้มากๆ โดยเฉพาะการเสียดสีด้วยการเจาะลึกเข้าไปในประวัติศาสตร์ อย่างเช่นเรื่องที่ว่ามะละกอก็ไม่ใช่พืชท้องถิ่นของไทย เพราะฉะนั้นส้มตำมันเป็นอาหารไทยแท้จริงหรือ อะไรกันแน่คือความเป็นไทย (และมันทำให้เรานึกถึงเรื่องที่ว่าศาสนาพุทธจริงๆแล้วก็เป็นของต่างชาติ เพราะเป็นสิ่งที่มาจากอินเดีย) ความเป็นไทยมันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง หรือมันเป็นสิ่งที่คนบางกลุ่มอุปโลกน์ขึ้นมากันแน่ บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจบางกลุ่มอุปโลกน์ขึ้นมา แล้วก็สั่งสอนให้ผู้อยู่ใต้อำนาจเชื่อตามๆกันไป

 6.เนื่องจากเราชอบเปรียบเทียบ เราก็เลยขอนำหนังของอุ้ย Ratchapoom ไปเปรียบเทียบกับผู้กำกับคนอื่นๆดังต่อไปนี้

6.1 เราว่าหนังของอุ้ยมีบางอย่างที่ทำให้นึกถึงหนังของ Alexander Kluge ในแง่ที่ว่า มันเป็นหนัง narrative ที่มีความเป็นหนัง essay ผสมอยู่ด้วย แต่สิ่งที่ตรงข้ามกันก็คือว่า ตัวละครนางเอกในหนังของอุ้ย 2 เรื่องหลัง ซึ่งได้แก่เรื่องแหม่มแอนนา และมะนีจันเปล่งเสียงไม่ได้ในทวิภูมิทางภาษาของคุณ เป็นตัวละครที่สมควรถูกตบด้วยตีน เพราะพวกเธอเป็นสาวฐานะดีที่ดัดจริต ทำเป็นอยากช่วยเหลือชนกลุ่มน้อย, ชนชั้นล่าง แต่ใจจริงแล้วพวกมึงก็ดูถูกเหยียดหยามเขาอยู่ในใจ อีห่า กูอยากจะตบอีคนพวกนี้มากๆ

ส่วนในหนังของ Alexander Kluge นั้น ตัวละครนางเอกจะไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้น่าโดนตบแบบนี้ แต่ตัวละครนางเอกมักจะเป็นสาวหัวแข็งที่มีความขบถต่อสังคมในแบบของตนเอง คือเรานึกถึงนางเอกในหนังอย่าง YESTERDAY GIRL (1966), ARTISTS AT THE TOP OF THE BIG TOP: DISORIENTATED (1968), OCCASIONAL WORK OF A FEMALE SLAVE (1973) และ THE PATRIOT WOMAN (1979) น่ะ

6.2 การที่หนังของอุ้ยมีตัวละครมาถกเถียงกันด้วยประเด็นที่มีเนื้อหาสาระ มันทำให้เรานึกถึงหนังยุคแรกๆของ Prap Boonpan โดยเฉพาะเรื่อง “ทวิภพในเอกภพ”, “หนังผี: 16 ปีแห่งความหลัง” (2006) และ “ความลักลั่นในงานรื่นเริง” (2007) และเราก็ชอบหนังแบบนี้มากๆ

เนื่องจากปัจจุบันนี้คุณ Prap Boonpan ดูเหมือนจะไม่ได้ทำหนังในสไตล์แบบเดิมอีกแล้ว เราก็เลยดีใจมากที่อุ้ยทำหนังแบบนี้อยู่ เพราะเราพบว่ามีผู้กำกับไทยที่ทำหนังสไตล์นี้น้อยมาก และเราว่าหนังสไตล์นี้มันจะออกมาดีจริงๆได้ยากมาก เพราะผู้กำกับ/คนเขียนบทต้องมีความรู้แน่นจริงๆ ถึงจะทำให้สิ่งที่ตัวละครพูดมันมีประเด็นที่น่าขบคิดหรือให้ความรู้แก่ผู้ชมได้

แต่หนังของอุ้ยกับหนังของปราปต์ก็มีสิ่งที่แตกต่างกันอยู่ อย่างเช่น

6.2.1 หนังของอุ้ยจะใช้ภาษาทางภาพยนตร์ที่แพรวพราวกว่า ส่วนหนังของปราปต์จะไม่เน้นเทคนิคทางภาพยนตร์

6.2.2 แต่เราชอบหนังของปราปต์ตรงที่มันมี “ความเคียดแค้น” อยู่ในหนัง โดยเฉพาะใน LETTERS FROM THE SILENCE และความลักลั่นในงานรื่นเริง ในขณะที่หนังของอุ้ยจะเป็นหนังที่ปราศจากอารมณ์ความรู้สึกแบบสะเทือนใจ

6.3 ถ้าหากเทียบหนังของอุ้ยกับหนังต่างประเทศแล้ว เราก็จะนึกถึงหนังที่นำเสนอประเด็นต่างๆมากมายต่อคนดูอย่างเช่น COSMOPOLIS (David Cronenberg, A+30), หนังของ Alexander Kluge และหนังของ Jean-Luc Godard แต่หนังของอุ้ยดูง่ายกว่าหนังของ Godard มาก คือเราว่าหนังของอุ้ยทำให้เรานึกถึงหนังประเภท LA CHINOISE (1967, A+30) ซึ่งเป็นหนังที่ตัวละครถกเถียงประเด็นสำคัญกันอย่างตรงไปตรงมาอยู่น่ะ ในขณะที่หนังของ Godard ในยุคหลังๆอย่าง SLOW MOTION (1980), PASSION (1982), FIRST NAME: CARMEN (1983), DETECTIVE (1985) และ KING LEAR (1987) เป็นหนังที่เราดูแล้วชอบสุดๆ แต่ไม่สามารถจับประเด็นอะไรในหนังได้อีกต่อไป 5555

พอพูดอย่างนี้แล้ว เราก็แอบสงสัยเหมือนกันว่า ในอนาคตหนังของอุ้ยจะเป็นหนังแบบ Godard หรือเปล่า อุ้ยจะเปลี่ยนจากการทำหนังที่นำเสนอประเด็นอย่างค่อนข้างตรงไปตรงมาแบบในปัจจุบัน ไปเป็นหนังที่เหวอสุดๆไปเลยแบบ FIRST NAME: CARMEN หรือเปล่า

7.ประเด็นหนึ่งที่เรากับเพื่อนๆถกเถียงกันเมื่อวานนี้ก็คือว่า อุ้ยควรจะเปลี่ยนสไตล์การทำหนังหรือเปล่า

สำหรับเรา เราขอตอบว่า อุ้ยจะเปลี่ยนหรือไม่ก็เป็นเรื่องของอุ้ยเอง เปลี่ยนก็ดี ไม่เปลี่ยนก็ดี สิ่งที่สำคัญก็คือว่า ถ้าจะเปลี่ยนก็ควรเปลี่ยนเพื่อความสนุกของตัวเอง หรือเพื่อท้าทายตัวเอง แต่อย่าเปลี่ยนเพื่อหวังจะเอาใจผู้ชม

สำหรับเรา เราขอบอกว่าเรา happy มากกับการดูหนังสไตล์นี้ เพราะคนที่ทำหนังสไตล์นี้มีน้อยมากทั้งในต่างประเทศและในเมืองไทย

แต่ถ้าหากถามว่าสไตล์หนังของอุ้ยเป็นสไตล์ที่เราชอบที่สุดหรือเปล่า มันก็อาจจะไม่ใช่นะ เพราะสไตล์หนังแบบที่เราชอบที่สุดอาจจะเป็นสไตล์ของ Teeranit Siangsanoh, Marguerite Duras, Werner Schroeter อะไรพวกนั้นน่ะ

แต่สิ่งที่แน่ๆก็คือว่า เราไม่ได้ต้องการให้อุ้ยมาทำหนังสไตล์แบบที่เราชอบที่สุด หรือมาทำหนังสไตล์ของ Teeranit Siangsanoh เราต้องการให้ผู้กำกับแต่ละคนทำหนังสไตล์ที่ตัวเองชอบ ไม่ใช่ทำหนังสไตล์ที่เราชอบที่สุด คือเวลาที่เราบอกว่าสไตล์หนังของผู้กำกับคนนู้นคนนี้ ไม่เข้าทางเราซะทีเดียว มันเป็นแค่ประโยคบอกเล่าความจริงอย่างนึง มันไม่ใช่การบอกว่า ผู้กำกับทุกคนควรจะทำหนังสไตล์ Marguerite Duras ไม่งั้นฉันจะไม่ชอบ

ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็คือว่า ถ้าหากมีใครถามว่าเราชอบอาหารชาติอะไรมากที่สุด เราก็จะตอบว่าเราชอบอาหารอิตาเลียน แต่ถ้าหากเราต้องเลือกใช้ชีวิตอยู่ในห้างที่มีร้านอาหาร 10 ร้าน แล้วเราต้องเลือกระหว่าง

1.ห้างที่มีร้านอาหารอิตาเลียน 10 ร้าน
2.ห้างที่มีร้านอาหารอิตาเลียน 3 ร้าน, ญี่ปุ่น 1 ร้าน, ไทย 1 ร้าน, เอธิโอเปีย 1 ร้าน, ฟิวชั่น 1 ร้าน, เยอรมัน 1 ร้าน, ฝรั่งเศส 1 ร้าน และเกาหลี 1 ร้าน

เราก็ขอใช้ชีวิตอยู่ในห้างแบบที่สองดีกว่า เพราะถึงแม้เราชอบอาหารอิตาเลียนมากที่สุด เราก็ไม่ได้อยากกินอาหารอิตาเลียนทุกวัน

ฉันใดก็ฉันนั้น ถึงแม้สไตล์หนังของอุ้ยอาจจะไม่ใช่สไตล์หนังแบบที่เราชอบมากที่สุด เพราะมันขาดอารมณ์สะเทือนใจ, เพราะมันเต็มไปด้วยความหมาย ฯลฯ แต่เราก็ไม่ได้ต้องการให้อุ้ยเปลี่ยนสไตล์หนังของตัวเองเพื่อมาทำหนังในแบบที่เราชอบมากที่สุด เพราะเราไม่ต้องการร้านอาหารอิตาเลียนเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ร้าน สิ่งที่เราต้องการคือร้านอาหารเอธิโอเปีย



1 comment:

celinejulie said...

ปล. อยากฉายหนังเรื่องนี้ควบกับ “ผีมะขาม ไพร่ฟ้า ประชาธิปไตย ในคืนที่ลมพัดหวน” (2007, ชาย ไชยชิต, A+30) เพราะหนังสองเรื่องนี้ตั้งชื่อเรื่องสไตล์เดียวกัน และพูดถึงอนุสาวรีย์เดียวกัน