NO
LULLABY (2014, Helen Simon, Germany, documentary, A+30)
1.เนื้อหาของหนังหนักมาก มันเป็นเรื่องของทีน่า
รอยเธอร์ หญิงวัย 50 ปีที่เล่าว่า
เธอเคยถูกพ่อล่วงเกินทางเพศตั้งแต่เด็กๆ
แต่เธอพยายามลืมประสบการณ์เลวร้ายนี้ไปจนเธอ “ลืม” มันไปจริงๆ และพอเธอมีลูกสาวชื่อโฟลห์ เธอก็ปล่อยให้โฟลห์อยู่กับคุณตา
และโฟลห์ก็เลยถูกคุณตาล่วงเกินทางเพศตั้งแต่อายุ 4-12 ปี
จนโฟลห์ฆ่าตัวตายไปในที่สุด นอกจากนี้ ทีน่ายังเล่าว่า
ในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองแม่ของเธอที่มีอายุประมาณ 15 ปีในตอนนั้นก็เคยถูกทหารรัสเซียพาตัวไปข่มขืนที่ไซบีเรียเป็นเวลานาน 3
ปีก่อนจะปล่อยตัวกลับมาด้วย (ถ้าจำไม่ผิด)
2.สิ่งที่ชอบมากคือวิธีการนำเสนอของหนัง
โดยซีนในหนังอาจจะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ
นั่นก็คือซีนที่ให้ทีน่าและแฟนเก่าของโฟลห์เล่าเรื่องต่อหน้ากล้องโดยตรง
และซีนที่เป็นเสียง voiceover ของผู้หญิงคนหนึ่งที่บรรยายเรื่องการไต่สวนคดีในศาล
โดยเสียง voiceover นี้จะถูกนำมาประกอบกับภาพบรรยากาศ
ที่มีตั้งแต่ภาพซอกมุมต่างๆในบ้าน (ส่วนนี้ถ่ายได้สุดยอดมากๆๆๆๆๆ), ทิวทัศน์ข้างทาง, แมกไม้ในป่าละเมาะ, แสงอาทิตย์
เราชอบการนำเสนอเสียง voiceover
+ ภาพบรรยากาศในหนังเรื่องนี้มาก เราว่ามันลงตัวมากๆ
การใช้ภาพบรรยากาศมาประกอบคำบรรยายในศาลมันดีในแง่ที่ว่า
2.1 มันช่วยลดทอนความ melodramatic ของหนังลง คือเนื้อหาของหนังมันรุนแรงมากอยู่แล้ว
เราไม่จำเป็นต้องเพิ่มความรุนแรงทางภาพและเสียงเข้าไปอีก
2.2
มันช่วยกระตุ้นจินตนาการของผู้ชม ผู้ชมจะไม่รู้สึกว่าตนเองถูก “สาดเรื่องราวหนักๆ” เข้ามาใส่ตัวมากเกินไป
แต่ผู้ชมต้องทำตัว active ด้วยการจินตนาการภาพตามเรื่องราวในศาลไปด้วย
2.3 มันช่วยลดความ bias ของหนังลง
คือหนังเรื่องนี้คงเข้าข้างทีน่าน่ะแหละ ซึ่งไม่ใช่สิ่งผิด แต่การที่หนังไม่นำเสนอ
“คำให้การของโฟลห์” ออกมาเป็นภาพโดยตรง
มันช่วยทำให้คนดูตกอยู่ในสถานะเดียวกับลูกขุนในศาล หรือคนนอกของครอบครัวนี้
ซึ่งก็คือสถานะที่เราไม่สามารถแน่ใจได้ 100% เต็มว่า
โฟลห์และทีน่า “พูดจริง” หรือไม่
เพราะเราไม่ได้เห็นเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยตาตนเอง
เราทำได้เพียงแค่รับฟังสิ่งที่โฟลห์และทีน่าพูดเท่านั้น และพยายามจินตนาการตามสิ่งที่ทั้งสองพูด
การที่หนังเปิดโอกาสให้คนดูแต่ละคนพยายาม visualize คำให้การเหล่านี้ขึ้นมาเป็นภาพในหัวด้วยตัวเอง
มันเท่ากับเป็นการให้อิสระแก่คนดูในการลงความเห็นต่อคดีนี้ด้วย
คือหนังไม่ได้ทำตัวว่า “ฉันเชื่อว่าเหตุการณ์มันต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ”
และบังคับให้คนดูเชื่อตามนั้น หนังเพียงแค่ทำตัวว่า “โฟลห์พูดอย่างนี้ ทีน่าพูดอย่างนี้” ส่วนคนดูจะเชื่อคำพูดของคนทั้งสองมากน้อยเพียงใด
มันก็ขึ้นอยู่กับคนดูแต่ละคนเอง ซึ่งเราว่าเป็นสิ่งที่ดี
2.4 เราว่าหนังเลือกภาพบรรยากาศมาใช้ได้ดีมากๆด้วย
ภาพส่วนแรกที่เป็น ซอกมุมต่างๆในบ้านนั้น ถ่ายออกมาได้ดีสุดๆเลย
ส่วนภาพแมกไม้ในป่านั้น อาจจะไม่ทรงพลังเท่าภาพช่วงแรก แต่ก็อยู่ในระดับที่ใช้ได้
คือเราว่าการเลือกภาพบรรยากาศมาใช้นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกันนะ
เพราะ
2.4.1 มันต้องไม่เลือกภาพที่น่าเบื่อเกินไป
ภาพต้องสวย น่ามองในระดับนึง
2.4.2 มันต้องไม่เลือกภาพที่ captivating เกินไป จนคนดูสนใจแต่ภาพ จำแต่ภาพ
และไม่สามารถจินตนาการภาพเหตุการณ์ชั่วร้ายตามเสียง voiceover ได้
3.คือเราว่าทั้งเนื้อหาและการนำเสนอของหนังมันเข้าทางเรามากๆน่ะ
คือเรื่องแบบนี้พึ่งพิงแต่เนื้อหาไม่ได้อย่างเดียวนะ เพราะเนื้อหาที่หนักมากๆแบบนี้จริงๆแล้วเราก็อาจจะเคยดูมาในหนังบางเรื่อง
แต่ไม่ใช่ว่าหนังทุกเรื่องที่นำเสนอเนื้อหาแบบนี้จะประสบความสำเร็จไปซะทุกเรื่อง
โดยเราอาจจะแบ่งหนังแบบนี้ออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ซึ่งก็คือ
3.1 หนังที่ “ดีพอใช้
แต่ไม่ทรงพลังมากนัก” เช่น
3.1.1 VOICES WITHIN: THE LIVES OF TRUDDI CHASE (1990, Lamont
Johnson, 4hours) มินิซีรีส์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของผู้หญิงที่มีบุคลิกประมาณ
100 บุคลิกในตัวเอง โดยพอจิตแพทย์ล้วงลึกเข้าไปในจิตเธอ
ก็พบว่ามันเป็นเพราะเธอเคยถูกล่วงละเมิดในวัยเด็ก
เราว่ามินิซีรีส์นี้เล่าเรื่องแบบธรรมดาน่ะ
คือเนื้อหาของมันจริงๆแล้วหนักมาก แต่พอวิธีการนำเสนอมันธรรมดา
มันก็เลยกลายเป็นมินิซีรีส์ธรรมดาเรื่องนึงไป
3.1.2 BLISS (1997, Lance Young) หนังเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับปมทางจิตของหญิงสาวที่มีสาเหตุมาจากการถูกล่วงละเมิดในวัยเด็ก
ถ้าจำไม่ผิด เราว่าหนังเรื่องนี้ใช้ได้นะ
เพียงแต่ว่ามันไม่ทรงพลังแบบสุดๆเท่านั้นเอง ซึ่งสาเหตุนึงอาจจะเป็นเพราะว่า
มันใช้วิธีการนำเสนอแบบหนัง narrative ธรรมดาทั่วๆไปเหมือน VOICES
WITHIN เพียงแต่ว่านักแสดงมันเล่นได้ดีพอสมควร
หนังเลยออกมาค่อนข้างน่าพอใจในระดับนึง
3.2 หนังที่ทรงพลังสุดๆ ที่พูดถึงประเด็นคล้ายๆกัน
3.2.1 SEVEN TIMES A DAY WE BEMOAN OUR LOT AND AT NIGHT WE GET UP
TO AVOID OUR DREAMS (2013, Susann-Maria Hempel, Germany, animation)
อันนี้เป็นแอนิเมชั่นเซอร์เรียลที่สวยสะพรึงมากๆ กราบ visual design ของหนังเรื่องนี้
คือหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องผ่านทางเสียง voiceover เหมือนกัน และเสียง voiceover ก็ไม่ได้เล่าเรื่องตรงๆด้วย
แต่เหมือนเป็นกระแสสำนึกของเด็กที่มีปมทางจิตในเรื่องนี้
ส่วนภาพที่เราเห็นเหมือนกับภาพของโลกจินตนาการในจิตใจที่บิดเบี้ยวของเด็กคนนี้
3.2.2 THE MARINA EXPERIMENT (2009, Marina Lutz)
ผู้กำกับหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ถูกล่วงละเมิดแบบทีน่ากับโฟลห์ แต่เธอก็ถูกพ่อถ่ายรูปมากมายตอนเด็กๆ และพอเธอนำรูปถ่ายตอนเด็กของเธอมาดู เธอก็เลยเกิดสงสัยอะไรบางอย่าง
ผู้กำกับหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ถูกล่วงละเมิดแบบทีน่ากับโฟลห์ แต่เธอก็ถูกพ่อถ่ายรูปมากมายตอนเด็กๆ และพอเธอนำรูปถ่ายตอนเด็กของเธอมาดู เธอก็เลยเกิดสงสัยอะไรบางอย่าง
3.2.3 A WOMAN AND HER CAR (2015, Loïc Darses, Canada)
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10209290896612795&set=a.10208791484007792.1073741940.1333811571&type=3&theater
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10209290896612795&set=a.10208791484007792.1073741940.1333811571&type=3&theater
4.อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบสุดๆใน NO LULLABY คือจังหวะของหนัง
เราว่าหนังมันค่อนข้างมีจังหวะนิ่งสงบดีน่ะ แต่มันไม่ได้ช้าแบบหนังสารคดีอย่าง HOMEMADE
SAKE (2001, Satoshi Ono) นะ แต่มันมีจังหวะอารมณ์ที่นิ่งสงบดี
คือในขณะที่เนื้อหาของหนังมันรุนแรงมาก และ subject ของหนังก็เล่าเรื่องด้วยอารมณ์ที่รุนแรงมาก
แต่เหมือนกับว่าผู้กำกับนำเสนอทุกอย่างในหนังด้วยอารมณ์ที่นิ่งสงบ
มันก็เลยออกมาลงตัวดี
จริงแล้วเราว่าจังหวะแบบราบเรียบสม่ำเสมอของหนังเรื่องนี้
ทำให้เรานึกถึงหนังสารคดีของผู้กำกับหญิงเยอรมันอีก 2 เรื่องนะ ซึ่งก็คือ
4.1
REDEMPTION (2009, Sabrina Wulff) ที่เล่าเรื่องของทหารอเมริกันที่หนีทัพจากสงครามอิรัก
4.2 THE HOUSEMAID (2010, Anna Hoffmann) ที่เล่าเรื่องของหญิงต่างชาติที่ทำงานเป็นคนใช้ในบ้านคนเยอรมัน
หรือผู้กำกับชายชาวเยอรมันบางคนก็ทำหนังที่มีจังหวะอารมณ์ราบเรียบสม่ำเสมอแบบนี้นะ
อย่างเช่น Philip Scheffner ที่กำกับหนังเรื่อง THE
HALFMOON FILES (2007) กับ DAY OF THE SPARROW (2010)
พอเจอหนังแบบนี้หลายๆเรื่อง เราก็เลยรู้สึกเหมือนกับว่า
ผู้กำกับเหล่านี้ “ฝึกการเดินลมปราณมาจากสำนักเดียวกัน”
จังหวะในหนังของพวกเขามันเลยออกมา “มีสมาธิ
ไม่พลุ่งพล่าน วุ่นวาย” แบบนี้
ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า
หรือว่ามหาวิทยาลัยในเยอรมันเขานิยมหนังที่มีจังหวะแบบนี้กัน
หนังสารคดีเยอรมันหลายเรื่องเลยออกมาเป็นแบบนี้ (ซึ่งจริงๆแล้วหนังของ Harun
Farocki ก็มีจังหวะคล้ายๆกันนี้ด้วย แต่ประเด็นในหนังของ Farocki
มันอัดแน่นกว่า)
แต่มันก็ไม่ใช่ว่าผู้กำกับเยอรมันทุกคนทำหนังจังหวะแบบนี้นะ
ผู้กำกับหญิงเยอรมันบางคนก็ทำหนังจังหวะโหมประโคมเร้าอารมณ์แบบสุดๆเหมือนกัน แต่มันเป็นหนังที่เราเกลียดมากๆ
เราก็เลยลืมชื่อหนังกับลืมชื่อผู้กำกับไปเลย
No comments:
Post a Comment