Sunday, March 14, 2021

TELL YOUR WORLD

 TELL YOUR WORLD (2020, Nutthanon Ratree, 25min, A+25) 


SPOILERS ALERT 


1.ถ้าพูดกันตามจริงแล้วก็คือว่า เราไม่ถูกโฉลกกับหนังแนวนี้นะ 55555 มันไม่ใช่ทางของเราเลยน่ะ แต่ไม่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ดีนะ มันก็ดีตามแนวทางของมันหรือตาม genre ตามขนบของมันนั่นแหละ แต่พอดีเราไม่อินกับหนังแนวนี้เป็นการส่วนตัวจ้า 


แต่ที่ให้ระดับความชอบไว้เป็น A+25 ก็เป็นเพราะว่า เราทึ่งกับการที่นักศึกษาไทยทำหนังออกมาได้ตามขนบหนังญี่ปุ่นน่ะ คือมันเหมือนกับที่เราทึ่งกับการที่ได้เห็นฝรั่งคนนึงพูดภาษาไทยได้คล่องเปรี๊ยะ หรือเห็นฝรั่งคนนึงแต่ง “กลบทกบเต้นสามตอน” ในภาษาไทยออกมาได้น่ะ แต่ถ้าหากเราเห็นคนไทยพูดภาษาไทยได้คล่อง เราก็คงรู้สึกเฉยๆ 5555 คือถ้าหากหนังเรื่องนี้กำกับโดยคนญี่ปุ่น เราก็คงจะชอบหนังเรื่องนี้แค่ในระดับประมาณ A หรือ A- น่ะ เพราะเราไม่อินกับหนังแนวนี้เป็นการส่วนตัวจ้ะ 


สรุปว่า ทึ่งมาก ๆ ที่ได้เห็นนักศึกษาไทยทำหนังในญี่ปุ่น, ตัวละครพูดภาษาญี่ปุ่นกันทั้งเรื่อง, ใช้ location ในญี่ปุ่นได้อย่างคุ้มค่า และมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างที่เหมือนกับหนังญี่ปุ่นมาก ๆ แต่พอดีเราไม่ถูกโฉลกกับหนังญี่ปุ่นแนวนี้อย่างรุนแรงจ้า 55555 (หนังญี่ปุ่นแนวที่เราชอบก็คือหนังของ Nagisa Oshima จ้ะ และหนังญี่ปุ่นแนวที่เราเกลียดสุดๆ ก็คือ ALWAYS: SUNSET ON THIRD STREET) 


2.ก่อนที่จะพูดถึงสิ่งที่เราไม่ชอบเป็นการส่วนตัวในหนังเรื่องนี้ เราก็ขอพูดถึงสิ่งที่เราชอบก่อนก็แล้วกัน อย่างแรกก็คือการใช้ location เราชอบการถ่าย location ท้องถนน, บ้านเรือนต่าง ๆ ในหนัง มันสร้างบรรยากาศได้ดี เหมือนใช้การมาญี่ปุ่นได้คุ้มค่า 


3.อีกสิ่งที่เรารู้สึกว่า ใช้ประโยชน์ได้ดี ก็คือ การถ่าย “แสงแดด” ในญี่ปุ่น เราว่าแสงแดดในหนังญี่ปุ่นมันมีมนตร์เสน่ห์บางอย่าง และหนังเรื่องนี้ก็เหมือนเก็บเกี่ยวเอาความงดงามของแสงแดดแบบหนังญี่ปุ่นมาไว้ได้ด้วย 


แต่จริง ๆ แล้วเราก็รู้สึกก้ำกึ่งกับ “แสง” ในหนังเรื่องนี้นะ เพราะถึงเราจะชอบ “แสงแดดแบบญี่ปุ่น” ในหนังเรื่องนี้ แต่เราว่าหนังเรื่องนี้จัดโทนแสงให้มันดู “ละมุน” จนเกินไปหากวัดจากรสนิยมส่วนตัวของเราน่ะ  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีนะ เพราะสิ่งนี้เกี่ยวโยงกับข้อหนึ่งที่เราเขียนไปแล้ว คือเราไม่ชอบหนังแนวนี้เป็นการส่วนตัวน่ะ และสิ่งหนึ่งที่เราไม่ชอบในหนังเรื่องนี้ก็คือ “ความละมุน” ของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งแสง, ทั้งดนตรีประกอบ, ทั้งบรรยากาศ ซึ่งไม่ใช่ว่ามันไม่ดี จริง ๆ แล้วมันดี เพราะความละมุนของทุกองค์ประกอบนี้มันสอดรับ, ส่งเสริม หรือเข้ากับ genre ของหนัง 


คือถ้าหากถามว่ามัน “ดี” มั้ย มันก็อาจจะดี เพราะความละมุนของทุกองค์ประกอบนี้มันเข้ากับ genre หนังหรือตัวหนัง 


แต่ถ้าหากถามว่า เรา “ชอบ” มั้ย เราก็ต้องตอบว่าเราไม่ชอบ เพราะเราไม่ชอบหนังแนวนี้ เราก็เลยไม่ชอบ “ความละมุน” ที่ช่วยส่งเสริมอะไรต่าง ๆ ในหนังแนวนี้ตามไปด้วย 55555 


4. ชอบเคมีระหว่างพระเอก นางเอก เราว่าคู่นี้ดูเหมาะสมกันดี ดูมี "ความเรียบร้อย" มีบุคลิกที่น่าจะไปด้วยกันได้ 


5. เพลงธีมเพราะดี ติดหูมาก ๆ 


6.ชอบการเน้นไปที่สัญญาณไฟจราจร เหมือนเป็น motif สำคัญอันนึงในหนัง 


7.  ชอบการบอกใบ้บางอย่างในตัวละครนางเอก เพราะในฉากแรก ๆ นั้น นางเอกไม่ยอมช่วยพระเอก แต่พอพระเอกบอกว่าจะให้ "ค่าตอบแทน" เธอถึงยอมช่วย จุดเล็ก ๆ นี้มันสะท้อนว่า "การหาเงิน" เป็นสิ่งที่นางเอกให้ความสำคัญอย่างมาก ๆ และนั่นส่งผลกระทบต่อ  CONFLICT  สำคัญของหนัง ในเวลาต่อมา เมื่อนางเอกต้องเลือกอะไรบางอย่าง 


8. เอาล่ะ คราวนี้มาว่าถึงสิ่งที่เราไม่ชอบในหนังบ้าง 555 แต่ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับหนังดีไม่ดีนะ แต่เกี่ยวกับว่า อะไรทำให้เราอินหรือไม่อินกับหนังเป็นการส่วนตัว อย่างแรกที่เราไม่ค่อยชอบเป็นการส่วนตัวเลย ก็คือ

ตัวละครนางเอก แต่จะว่าไม่ชอบก็ไม่เชิง เพราะจริง ๆ แล้วเรารู้สึกก้ำกึ่งกับเธอมากกว่า เพราะตัวละครตัวนี้มีทั้งส่วนที่เราอินด้วย และไม่อินด้วย 


ขอพูดถึงสิ่งที่เราชอบมาก หรืออินด้วยมาก ๆ ในตัวละครนางเอกก่อนแล้วกัน สิ่งที่เราอินด้วยมาก ๆ ก็คือ "ความโลเล" ของเธอ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนและความผิดหวังให้แก่พระเอก เหมือนนางเอกต้องเลือกระหว่างการร้องเพลง กับการทำงานประจำ แต่เธอมีความโลเล และขาดความรับผิดชอบต่อสัญญาที่ตัวเองเคยให้ไว้ ก็เลยนำมาซึ่งความชิบหายในช่วงท้าย 


อันนี้เป็นจุดที่เราชอบสุด ๆ เพราะมันทำให้เรานึกถึงความผิดพลาดบางอย่างในชีวิตตัวเอง เพราะเราก็เคยโลเลเกี่ยวกับทางเลือกของชีวิต และความโลเลนี้ก็อาจจะส่งผลกระทบในทางลบต่อชีวิตคนอื่นๆ โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ เราก็เลยชอบสุด ๆ ที่หนังเรื่องนี้สะท้อนธรรมชาติของมนุษย์ตรงจุดนี้ 


9.แต่ส่วนที่เราไม่อินกับตัวนางเอกก็คือ ความไม่กล้าร้องเพลงของเธอ เพราะเรารู้สึกว่า มึงจะกล้าร้องเพลงต่อหน้าคนอื่นหรือไม่กล้าร้อง ก็เรื่องของมึง จบ 55555 เหมือนเราไม่รู้สึกแคร์ใด ๆ กับปมปัญหาหลักของหนังหรือของตัวนางเอกในจุดนี้ ซึ่งก็อาจจะเป็นที่ตัวเราเอง ในขณะที่ผู้ชมคนอื่น ๆ บางคนย่อมต้องรู้สึกแตกต่างไปจากเรา 


10. อีกจุดที่เรามีปัญหากับหนังอย่างมาก ๆ ก็คือว่า เราไม่รู้สึกว่าตัวละครมันเป็นมนุษย์จริง ๆ แต่มันเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ตาม function ของมันในภาพยนตร์แบบสูตรสำเร็จน่ะ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนักแสดงเลยนะ นักแสดงทำได้ดีมาก ๆ แล้ว เราว่าปัญหาหลักเกิดจากบทภาพยนตร์ที่ไม่เปิดโอกาสให้ตัวละครได้แสดงแง่มุมหรือมิติอื่น ๆ นอกเหนือไปจากการทำหน้าที่เป็น "พระเอกนางเอกที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค conflict และนำไปสู่การพัฒนาตัวเองในตอนจบแบบหนังสูตรสำเร็จ" น่ะ 


คือเราว่าตัวละครพระเอกมันชัดมากตรงจุดนี้ ตัวละครพระเอกมันดู "ลอย" มาก ๆ มันเหมือนตัวละครตัวนี้มาเพื่อทำหน้าที่เป็นพระเอกเท่านั้น ไม่ได้เป็นมนุษย์จริง ๆ 


ตัวละครนางเอกอาจจะมีมิติมากกว่าหน่อย เพราะมีความซับซ้อนกว่า และมีปมทางใจจากการถูก bully ในอดีต แต่ไป ๆ มา ๆ แล้วก็เหมือนกับว่า ปมในอดีตและความซับซ้อนของตัวนางเอกถูกสร้างขึ้นเพื่อที่หนังจะได้มี "conflict, ปัญหาใหญ่,  ฉาก climax และพัฒนาการของตัวละคร" มากกว่าจะช่วยเพิ่มมิติความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงให้กับตัวละคร 


แต่ถึงแม้จุดนี้จะเป็นปัญหา เราก็ไม่ติดใจมันนะ เพราะเราว่าปัญหานี้มันมีสาเหตุหลักมาจากการที่หนังเรื่องนี้เป็น "หนังสั้น", "หนังนักศึกษาที่ต้องออกทุนสร้างเอง" และเป็นหนังที่ "ถ่ายทำในต่างประเทศภายใต้ข้อจำกัดต่าง ๆ "น่ะ 


คือเราว่าปัญหานี้มันแก้ได้ด้วยการให้เห็น "ตัวประกอบอื่น ๆ" ในชีวิตของตัวละคร ทั้งสมาชิกครอบครัว, เพื่อน ๆ หรือการใส่ฉากชีวิตประจำวันของตัวละครซึ่งเป็นฉากที่ไม่เกี่ยวข้องกับ conflict หลักของหนังเข้ามา ซึ่งถ้าหากหนังเรื่องนี้มันเป็นหนังยาว, หนังที่มีทุนสร้างสูง หรือหนังที่ถ่ายทำในไทย มันก็จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ง่าย แต่พอมันเป็นหนังสั้นที่นักศึกษาออกทุนสร้างเอง การจะไปจ้างนักแสดงชาวญี่ปุ่นหลายคนให้มาแสดงเป็นเพื่อน ๆ ของพระเอกหรือนางเอก มันก็คงเป็นเรื่องยาก เราก็เลยเดาว่าการที่หนังมันมีปัญหานี้ คงเป็นพราะข้อจำกัดเหล่านี้ด้วย 


11.จบส่วนที่ไม่ชอบในหนังไปแล้ว ขอพูดถึงประเด็นอื่น ๆ บ้าง เราขอบอกว่า เราขำฉากวิ่งในช่วง climax จนหยุดหัวเราะไม่ได้ มันแสดงให้เห็นว่า ผู้สร้างหนังเรื่องนี้เข้าใจสูตรสำเร็จของหนัง/ละครทีวีของญี่ปุ่นจริง ๆ ที่ต้องมีตัวละครวิ่งอย่างรุนแรงในฉาก climax ก่อนจบเรื่อง หรือก่อนจบตอนในละครทีวี อย่างล่าสุดก็คือใน VIOLET EVERGARDEN THE MOVIE ที่ตัวละครต้องหาเรื่อง "วิ่งหน้าตั้ง" ให้ได้ก่อนจบเรื่อง 


แล้วผู้สร้าง TELL YOUR WORLD ก็เข้าใจสูตรสำเร็จของฉากแบบนี้ด้วยนะ ด้วยการใส่เสียงความคิดนางเอกเข้ามา เพื่อบอกว่านางเอก "เริ่มตรัสรู้" แล้ว เข้าใจตัวเองแล้ว เข้าใจความปรารถนาของตัวเองแล้ว และเสียงความคิดนั้นก็มี "การเร่งเร้า" เสียง, เร่งเร้าอารมณ์อย่างรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามจังหวะการวิ่งทะยานของนางเอก 


ไม่รู้ว่าผู้กำกับจงใจให้ซึ้งหรือเปล่านะ แต่เราหัวเราะจนหยุดไม่ได้กับสูตรสำเร็จแบบนี้ และชอบมากที่ผู้กำกับเข้าใจสูตรสำเร็จแบบนี้ของหนัง/ละครทีวีญี่ปุ่น 


12. ติดใจมาก ๆ ว่า เกิดอะไรขึ้นกับพระเอกในตอนจบ โทรศัพท์ที่โทรมาหานางเอกนั้นคืออะไร พระเอกประสบอุบัติเหตุตายหรืออะไร หรือผู้สร้างหนังต้องการให้คนดูจินตนาการเอง 


ถ้าผู้สร้างหนังต้องการให้คนดูจินตนาการเอง เราก็ขอจินตนาการว่า พระเอกโทรมาหานางเอกในฉากนั้นแล้วพูดกับเธอว่า "อีเหี้ย อีสัส อีไม่รักษาสัญญา มึงไปให้พ้นรัศมีควยกู ไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามาในชีวิตกูอีก" แล้วพระเอกก็วางหูไป นางเอกก็เลยทำอาการเศร้าแบบที่เห็นในหนัง 55555 


13. สรุปว่า ถ้าหากถามว่า "ชอบหนังเรื่องนี้มั้ย"  เราก็ขอตอบว่า เราไม่ได้ชอบมากเป็นการส่วนตัวจ้ะ ชอบแค่ในระดับนึง 


แต่ถ้าหากถามว่าหนังเรื่องนี้ "ดีมั้ย"  เราก็ขอตอบว่า เราไม่รู้ เพราะเราไม่ใช่ผู้ชมกลุ่มเป้าหมายหลักของหนังเรื่องนี้ เราไม่ได้ชอบหนัง genre นี้ ควรไปถามผู้ชมกลุ่มเป้าหมายจะดีกว่า 


แต่ถ้าหากถามว่า หนังเรื่องนี้ "น่าจดจำมั้ย" เราก็ขอตอบว่า มัน "น่าจดจำอย่างสุด ๆ" จ้ะ เพราะมันเป็นหนังนักศึกษาไทยที่ถ่ายทำในญี่ปุ่นทั้งเรื่อง, ใช้ภาษาญี่ปุ่นทั้งเรื่อง และดูเหมือนจะเข้าใจสูตรสำเร็จของหนังญี่ปุ่นเป็นอย่างดี หนังเรื่องนี้ก็เลยมีความ unique มาก ๆ เมื่อเทียบกับหนังสั้นนักศึกษาไทยเรื่องอื่น ๆ และถือว่า "น่าจดจำ"  เป็นอย่างมากจ้ะ 


14. แล้วหนังแนวไหนเหรอที่เราจะอินด้วยอย่างสุด ๆ หรือชอบเป็นการส่วนตัวอย่างสุด ๆ มันก็คือหนังที่อาจเริ่มต้นคล้าย ๆ หนังเรื่องนี้ นางเอกดูเรียบร้อย ติ๋ม ๆ ขี้อาย ขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะเธอไม่กล้าประกาศให้โลกรู้ว่า "ฉันอยากเป็นกะหรี่" ฉันอยากเย็ดกับผู้ชายจำนวนมาก และถ้าได้เงินด้วย ก็ยิ่งดี 


หนังแนวที่เราชอบ ก็จะมีส่วนคล้ายกับ TELL YOUR WORLD นั่นแหละ เพียงแต่เปลี่ยนความใฝ่ฝันของนางเอกจากการร้องเพลง มาเป็นการเป็นกะหรี่น่ะ และพอนางเอกได้พบกับพระเอก ที่คอยกระตุ้นให้เธอ "ทำตามความฝัน" ของตัวเอง เธอก็เลยกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และออกวิ่งทะยานพุ่งไปข้างหน้า เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นกะหรี่อย่างเต็มตัวในตอนจบ



No comments: