Thursday, March 09, 2006

NOT A LOVE SONG (JAN RALSKE, B+)

ตอบพี่ KIT

ว้าย อิจฉา อิจฉา อิจฉา พี่ KIT คงอิ่มหนำสำราญกับ “อาหารตา” เต็มที่เลยสิคะเนี่ย ขอให้กิน “อาหารตา” ให้อิ่มหมีพีมันเลยนะคะ ส่วนอาหารทางทวารอื่นๆนั้น ถ้าได้กินด้วยก็ดีค่ะ แต่ถ้าไม่ได้กิน ก็ไม่เป็นไร แค่อาหารตาเราก็มีความสุขจนล้นปรี่ได้แล้ว


(ตอนนี้ความจำที่มีต่อหนังเรื่องต่างๆเริ่มเลอะเลือนหายไปจากหัวสมองอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นถ้าหากจำอะไรผิดไป ก็ขออภัยด้วย)

ตอบคุณกาฬวนาลัย

--ดีใจมากค่ะที่คุณกาฬวนาลัยชอบ INVISIBLE WAVES มากๆ หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังเซอร์ไพรส์เรื่องนึงสำหรับดิฉัน เพราะจริงๆแล้วดิฉันไม่เคยคาดว่าตัวเองจะชอบหนังของคุณเป็นเอกมากเท่านี้มาก่อน แต่พอเข้าไปดูแล้วก็ช็อคกับมนตร์เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้เข้าอย่างจัง ชอบตั้งแต่ต้นเรื่องที่จะเหมือนมีเสียงคนพูดกันอื้ออึง ก่อนที่เสียงจะค่อยๆหายไปและภาพบนจอหนังปรากฏขึ้นมาเป็นภาพของพระเอกกับทูน หิรัญทรัพย์อยู่ในห้องกันสองคน

--ดีใจมากๆที่ได้ดู INVISIBLE WAVES ในโรง เพราะสิ่งที่ดิฉันชอบมากในหนังเรื่องนี้คือ “เสียงบรรยากาศ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ลำโพงทีวีบ้านดิฉันคงไม่สามารถถ่ายทอดได้อย่างทรงพลังมากเท่ากับในโรงหนังแน่ๆ มีอยู่บางฉากในหนังเรื่องนี้ที่มีเสียงหึ่งๆ หรือเสียงอะไรบางอย่างสอดแทรกอยู่ในบรรยากาศ เสียงเหล่านั้นส่งผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของดิฉันอย่างมากๆ และรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกที่ทำให้ดิฉันรู้สึกอย่างนี้ ปกติแล้วดิฉันจะรู้สึกว่าหนังบางเรื่องเหมาะที่จะดูในโรงเพราะภาพในหนังมันยิ่งใหญ่มากๆ หรือไม่ก็ภาพในหนังมันมืดมากๆ แต่สำหรับ INVISIBLE WAVES นั้น ดิฉันรู้สึกว่ามันเหมาะที่จะดูในโรง ไม่ใช่เพราะพลังทางภาพมันโดนใจดิฉัน แต่เป็นเพราะ “คลื่นเสียง” ในหนังมันโดนใจดิฉันมากๆ (แต่ถ้าหากคุณมีโฮมเธียเตอร์ที่มีระบบเสียงที่ดี นั่นก็คงเป็นอีกเรื่องนึง)

--หนึ่งในฉากที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือฉากที่ถ่าย “คุณป้าข้างบ้าน” (MARIA CORDERO) ในช่วงต้นเรื่อง ก่อนที่จะเกิดการฆาตกรรม เป็นฉากที่ฝังใจมาก ทั้งๆที่ถ้าหากตัดฉากนี้ออกไป มันก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อเนื้อเรื่องแม้แต่นิดเดียว

รู้สึกว่า MARIA CORDERO จะเล่นหนังมาแล้วเยอะมาก แต่ดิฉันแทบไม่เคยดูหนังของเธอมาก่อน ผลงานการแสดงของเธอก็เช่น

1.SEXY AND DANGEROUS (1996, HIN SING “BILLY” TANG)

2.WHORES FROM THE NORTH (1993)

3.WOMEN PRISON (1988, DAVID LAM)
http://www.imdb.com/title/tt0095758/
ไม่แน่ใจว่าตัวเองเคยดูหนังเรื่องนี้หรือเปล่า แต่จำได้ว่าตอนเด็กๆเคยดูหนังเกี่ยวกับคุกหญิงของฮ่องกงเรื่องนึงที่ดูแล้วมันมากๆ ตบกันแหลก กดดันอย่างรุนแรงมาก เพื่อนทุกคนบอกว่าดูแล้วรู้สึกคันมือคันเท้าอยากกระโจนเข้าไปในจอภาพยนตร์เพื่อช่วยนางเอกตบตีกับเหล่าร้ายในหนังเรื่องนี้

4.VAMPIRE VS. VAMPIRE (1989, LAM CHING-YING)
http://www.imdb.com/title/tt0095758/
http://images.amazon.com/images/P/B00008V5S7.01.LZZZZZZZ.jpg
MARIA CORDERO รับบทเป็น MOTHER SUPERIOR ในหนังเรื่องนี้

5.CHOCOLATE INSPECTOR (1986, PHILIP CHAN)
http://www.imdb.com/title/tt0091940/
นำแสดงโดยเหมยเยี่ยนฟาง


--ส่วนสิ่งที่ชอบมากๆใน OBABA รวมถึง

1.การถ่ายทอดความเกลียดชังของคุณครูสาว คุณครูในเรื่องนี้ผิดหวังอย่างรุนแรงที่คนคนนึงไม่ยอมส่งจดหมายตอบกลับมาให้เธอ เธอก็เลยถ่ายทอดความเกลียดชังนั้นให้กับนักเรียนทุกคนในชั้น และทำให้นักเรียนทุกคนในชั้นรู้สึกเกลียด “คนที่ไม่ยอมตอบจดหมาย” ตามไปด้วย แถมยังทำให้นักเรียนได้สัมผัสกับ “ความผิดหวังที่คนบางคนไม่ยอมรักษาสัญญา” อีกต่างหาก

ตอนที่หนังเรื่องนี้จบ ดิฉันรู้สึกว่ามีปริศนาเหลืออยู่อีกมากในหนังที่ยังไม่ได้รับการเฉลย ก็เลยพยายามนั่งดู ending credit จนจบ โดยหวังว่าอาจจะมีการเฉลยปริศนาอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ใน ending credit บ้าง แต่ก็ไม่มี

หนึ่งในสิ่งที่อยากรู้มากที่สุดในหนังเรื่องนี้ก็คือ ทำไมคนคนนั้นถึงไม่ยอมเขียนจดหมายมาหาคุณครู, เกิดอะไรขึ้นกับคนคนนั้น และคุณครูได้รู้ในภายหลังหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่เขียนจดหมายมาหา

2.รู้สึกว่าเมือง OBABA ในหนังเรื่องนี้มีลักษณะที่ขัดแย้งกันเองดี มันเป็นเมืองที่ดูในบางมุมก็ดูสวยดี และดูเหมือนจะต้อนรับคนต่างเมืองอย่างนางเอกเป็นอย่างดี แต่เมืองนี้ก็มีคนที่น่ากลัว อย่างเช่นคุณป้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา, อาฆาตแค้น และคอยให้ร้ายคนอื่น

ถ้าจำไม่ผิด มีช่วงนึงที่ตัวละครคุยกันว่า “ความอิจฉาริษยามันมีที่มาจากที่ไหน” และอีกคนก็ตอบว่า “มันมาจากข้างในตัวเราเอง” ซึ่งก็รู้สึกชอบตรงจุดนี้อย่างสุดๆ มันเหมือนกับจะบอกว่าความเลวร้ายบางอย่างมันเกิดขึ้นจากภายในตัวมนุษย์เราเอง เพราะฉะนั้นเราก็สามารถพบความเลวร้ายหรือคนชั่วแบบนั้นได้ในทุกๆที่ ไม่ว่าเราจะอยู่บ้านเมืองไหนก็ตาม

นางเอกของ OBABA อาจจะเลือกอยู่ที่เมืองนี้ และจุดนี้ดูเหมือนจะทำให้เมืองดูดีขึ้นในปัจจุบัน แต่นั่นก็ไม่ทำให้เราลืมความจริงที่ว่าเมืองนี้ในอดีตเคยเต็มไปด้วยคนที่มีจิตใจคับแคบมากขนาดไหน และไม่ทำให้เราลืมว่า ครอบครัวคนเยอรมันที่ดูเหมือนเป็นคนดีครอบครัวนึง ไม่เคยได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงจากชาวเมืองนี้เลย

รู้สึกชอบลักษณะก้ำกึ่งต่างๆของเมืองนี้ เมืองนี้ดูเหมือนมีทั้งด้านบวกและลบอยู่ในตัวเอง และทำให้ยากจะตัดสินได้ว่าเมืองนี้น่าอยู่หรือไม่น่าอยู่, ดีหรือไม่ดี และจุดนี้ก็อาจจะทำให้เมืองนี้ดูใกล้เคียงกับเมืองต่างๆในโลกแห่งความเป็นจริงที่มีทั้งด้านบวกและด้านลบ และมีอยู่หลายด้านหลายแง่มุมในตัวเอง ในขณะที่ “เมือง” ในหนังบางเรื่องจะไม่ได้รับการนำเสนอหลากหลายด้านแบบนี้

เมืองใน OBABA ทำให้นึกถึงหนังเกี่ยวกับ “เมือง” หรือ “หมู่บ้าน” อีกหลายๆเรื่อง ซึ่งรวมถึง

1.ฉากเปิดของ OBABA ขณะที่นางเอกเดินทางท่ามกลางบรรยากาศลี้ลับ ทำให้นึกถึงฉากการเดินทางเข้าสู่เมืองอาถรรพ์ในหนังเรื่อง IN THE MOUTH OF MADNESS (1994, JOHN CARPENTER, A)
http://www.imdb.com/title/tt0113409/
http://images.amazon.com/images/P/6303494366.01.LZZZZZZZ.jpg


2.การที่คนแต่ละคนใน OBABA ดูเหมือนมีความลับซุกซ่อนอยู่ ทำให้นึกถึง TWIN PEAKS (DAVID LYNCH, A+) อย่างไรก็ดี รู้สึกชอบ OBABA มากกว่า TWIN PEAKS ในแง่ที่ว่า ชีวิตของตัวละครส่วนใหญ่ใน TWIN PEAKS ดูเหมือนถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยสร้างความตื่นเต้นว่าใครกันแน่ที่เป็นฆาตกร หรือใครกุมความลับอะไรเอาไว้ แต่ชีวิตของตัวละครใน Obaba ดูเหมือน “เป็นชีวิตของตัวเอง” มากกว่าถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อรองรับอารมณ์ SUSPENSE

3.ความเลวร้ายที่คุณครูสาวและครอบครัวชาวเยอรมันได้รับจากชาวบ้านใน OBABA ทำให้นึกถึงหนังอีกมากมายหลายสิบเรื่องที่นำเสนอ “หมู่บ้านคนใจแคบ” หรือหมู่บ้านที่มักมีฉาก “ชาวบ้านรวมหัวกันนินทาพระเอกหรือนางเอก” อย่างเช่นใน

3.1 “ไอ้ฟัก” หรือ THE JUDGEMENT (2004, PANTHAM THONGSANGL, A+)

3.2 YERMA (1999, PILAR TAVORA, B/B-)
จำอะไรในหนังสเปนเรื่องนี้ไม่ค่อยได้แล้ว แต่จำได้ว่าน่าจะมีฉากชาวบ้านนินทานางเอก (AITANA SANCHEZ-GIJON) อยู่ในหนังด้วยนะ

3.3 HUNTING SCENES FROM BAVARIA (1969, PETER FLEISCHMANN)
http://www.imdb.com/title/tt0064507/
http://www.german-cinema.de/archive/film_view.php?film_id=903
http://www.german-cinema.de/archive/images/Jagdszenen_aus_Niederbayern.jpg

สร้างจากบทละครเวทีของ MARTIN SPERR หนังเยอรมันเรื่องนี้เล่าเรื่องของอาบราม (MARTIN SPERR) ชายหนุ่มที่เดินทางกลับมายังบ้านเกิด เขาเป็นช่างซ่อมเครื่องวัย 20 ปี แต่คนในหมู่บ้านสงสัยว่าเขาเป็นเกย์ และทำให้ชีวิตของเขาต้องพบกับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดในหมู่บ้าน เขาก็ถูกกลั่นแกล้งและถูกขับไล่อยู่ตลอดเวลา

ANGELA WINKLER (THE LOST HONOR OF KATHARINA BLUM) กับ HANNA SCHYGULLA (LILI MARLEEN) ร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้

PETER FLEISCHMANN เคยกำกับหนังเรื่อง FREVEL (1984, A++++++++++) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับหญิงสาวที่ต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกรโหด แต่จนจบหนังเรื่องนี้ คนดูก็ไม่ได้รับคำเฉลยว่าเธอเป็นฆาตกรโหดจริงหรือเปล่า


4.เด็กหญิงคนนึงใน OBABA ถูกฆ่าตายขณะไปทัศนศึกษาริมแม่น้ำ เนื้อหาจุดนี้ทำให้นึกถึงฉากคลาสสิคใน LE BOUCHER (1969, CLAUDE CHABROL, A) ที่มีการพบศพเด็ก โดย LE BOUCHER ก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับรักต้องห้ามของคุณครูสาวเหมือนกัน แต่มาในแบบที่แตกต่างจาก OBABA เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ คุณครูสาวทั้งใน LE BOUCHER และ OBABA ต่างก็ถูกคนรักเก่าทอดทิ้งจนมีบาดแผลทางจิตใจเหมือนกันด้วย
http://www.filmref.com/directors/dirpages/chabrol.html

พูดถึงเรื่องเมืองหรือหมู่บ้านในหนัง แล้วก็ทำให้นึกถึง ULTRANOVA ด้วยเหมือนกัน เพราะหนังเรื่องนี้นำเสนอชีวิตเหงาๆของหนุ่มสาวในเมืองเหงา หนังถ่ายทอดบรรยากาศของเมืองเหงาออกมาได้อย่างประทับใจมาก มันเป็นเมืองที่ “มีเสน่ห์บางอย่าง” แต่ก็ “ไม่ได้ดีวิเศษ” เท่าไหร่นัก ซึ่งจุดนี้ก็เหมือนกับ OBABA เช่นกัน มันเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ แต่มันก็มีอะไรไม่ดีอยู่ในเมืองด้วย

จุดนึงที่ชอบมากใน ULTRANOVA ก็คือการที่หนังเรื่องนี้ให้อารมณ์ง่ายๆสบายๆปนเศร้าเล็กน้อยตลอดทั้งเรื่อง จริงๆแล้วเนื้อหาในหนังเรื่องนี้สามารถทำให้เป็นอารมณ์ดราม่าที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์ได้สบาย โดยเฉพาะเรื่องของชายหนุ่มที่ผิดหวังในความรัก, เรื่องของหญิงสาวที่คิดว่าเพื่อนสนิทเธอแย่งผู้ชายไป, เรื่องของตัวละครที่ดูภายนอกเหมือนมีความสุข แต่จริงๆแล้วเศร้าอย่างรุนแรง, เรื่องของชายหนุ่มที่อาจจะมีหรือไม่มีปัญหากับพ่อแม่ แต่หนังกลับนำเสนออารมณ์เหล่านี้ในแบบที่เบาๆเท่านั้น แทนที่จะกระหน่ำคนดูอย่างรุนแรงด้วยความผิดหวังในชีวิตของตัวละครเหล่านี้

เมืองเหงาเศร้าใน ULTRANOVA ทำให้นึกถึงเมืองในหนังอีกหลายเรื่องเช่นกัน แต่เมืองแต่ละเมืองในหนังแต่ละเรื่องก็มีจุดที่เหมือนและแตกต่างกันไป เมืองใน ULTRANOVA ดูเหมือนไม่ใช่เมืองที่ร่ำรวย และตัวละครบางคนในเมืองก็ตัดสินใจเดินทางไปหางานทำในเมืองอื่นๆ แต่ ULTRANOVA ก็ไม่ได้เน้น “ปัญหาทางเศรษฐกิจ” แบบที่พบได้บ่อยในหนังเกี่ยวกับ “ชนบทเหงา” อีกหลายเรื่อง และนั่นก็ช่วยให้อารมณ์ใน ULTRANOVA ดูล่องลอยและเบาสบายยิ่งขึ้น

หนังเกี่ยวกับหนุ่มเหงาๆในชนบทที่ถูกกดทับด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจ ก็มีอย่างเช่นเรื่อง

1.NOT A LOVE SONG (1997, JAN RALSKE, B+)
http://www.imdb.com/title/tt0126547/
http://www.filmvault.com/filmvault/austin/n/notalovesong1.html

2.MY TOWN (2002, MAREK LECHKI, B+)
http://www.imdb.com/title/tt0339404/
http://www.variety.com/review/VE1117922086?categoryid=31&cs=1
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/24/37/18376962.jpg

ส่วน LONESOME JIM (2005, STEVE BUSCEMI, B+) นั้นก็เป็นเรื่องของหนุ่มเหงาในชนบทเหมือนกัน พระเอกของเรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะมีปัญหาทางการเงินอยู่บ้าง แต่ปัญหาดังกล่าวดูเหมือนจะเกิดจากตัวพระเอกเอง มากกว่าจะเกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่เลวร้ายแบบที่มักพบในหนัง “หนุ่มเหงาในเมืองเหงา” ที่มาจากยุโรปตะวันออก

No comments: