Sunday, July 27, 2014

IN BETWEEN (2014, Anuwat Amnajkasem, A+25)


IN BETWEEN (2014, Anuwat Amnajkasem, A+25)

 

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองเข้าใจหนังเรื่อง ระหว่างกัน” ถูกหรือเปล่า เพราะเราไม่ค่อยได้ยินเสียงตัวละครคุยกัน แต่เราเข้าใจว่าตัวละครตัวนึงเพิ่งเลิกกับแฟน แล้วเขาก็ตกอยู่ในความเศร้า ในขณะที่เพื่อนสนิทของพระเอก (ซึ่งเราไม่รู้ว่าพระเอกแอบชอบอยู่หรือเปล่า เพราะพระเอกเหมือนมองเพื่อนด้วยสายตาแปลกๆ) ที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกัน ก็ดูเหมือนไม่สามารถคลายความเศร้าของพระเอกลงได้

 

สิ่งที่เราชอบสุดๆใน “ระหว่างกัน” ก็คือมันทำให้เรานึกถึงความรู้สึกแปลกแยกของตัวเองน่ะ คือเรารู้สึกว่าพระเอกกับเพื่อนสนิทนั่งอยู่ในห้องเดียวกัน คุยกันบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็เหมือนพระเอกกับเพื่อนต่างก็อยู่ใน bubble ของตัวเอง พระเอกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยความเศร้าหรือความทุกข์ใจอะไรบางอย่าง แล้วพระเอกก็ยังไม่สามารถเอาชนะความทุกข์ใจนั้นได้ แล้วเพื่อนพระเอกก็ไม่สามารถคลายความทุกข์ใจให้พระเอกด้วย

 

สิ่งที่เราชอบมากก็คือ

 

1.มันแสดงให้เห็นว่า ความทุกข์ในใจคนเราบางครั้ง มันเอาชนะไม่ได้ง่ายๆ ก้าวพ้นไม่ได้ง่ายๆ และเพื่อนสนิทก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ (ซึ่งมันแตกต่างจากหนังเรื่องที่ฉายก่อนหน้าเรื่องนี้ ซึ่งก็คือเรื่อง “รองเท้าคู่เก่า” ซึ่งเป็นเรื่องที่เราชอบมาก แต่มันสรุปเรื่องด้วยการบอกว่า เราสามารถก้าวพ้นความทุกข์จากการสูญเสียเพื่อนได้)

 

2.เราชอบหนังเหงาๆเศร้าๆ ตัวละครเอกว้าเหว่ โดดเดี่ยว แต่เราเบื่อหนังที่แสดงความเหงาของตัวละครเอก ด้วยการให้เห็นตัวละครเอกเดินอยู่บนสะพานลอยคนเดียว, เดินขึ้นบันไดคนเดียว หรือเดินอยู่ท่ามกลางอะไรเวิ้งว้างคนเดียว เพราะความเหงาของคนเรานั้น ถ้ามันเหงาจริง ถึงเราจะอยู่กับเพื่อนสนิท เราก็จะยังรู้สึกเหงาในใจเราอยู่ดี ซึ่งหนังเรื่อง “ระหว่างกัน” นี่แหละ มันใช่เลย มันตอบโจทย์เราได้เป๊ะๆมากเลย เพราะการจะสะท้อน empty space ที่อยู่ในใจคนเราบางคนนั้น มันไม่ควรจะต้องสะท้อนด้วยการให้ตัวละครตัวนั้นไปอยู่ท่ามกลาง empty space จริงๆ มันต้องสะท้อนด้วยการให้ตัวละครตัวนั้นอยู่กับเพื่อนสนิทนี่แหละ และถึงแม้ตัวละครตัวนั้นมันจะอยู่กับเพื่อนสนิท มันก็จะยังรู้สึกเหงาอยู่ รู้สึกทุกข์อยู่ และรู้สึกว่ามี empty space ที่กว้างใหญ่อยู่ในจิตวิญญาณของตัวเองอยู่ดี

 

ชอบฉากเครื่องปรับอากาศใน “ระหว่างกัน” มากๆด้วย โดยไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่มันติดตาติดใจเรามากๆ และทำให้เรานึกถึงหนัง contemplative cinema แบบ INDIA SONG (1974, Marguerite Duras) ที่จะมีฉากพัดลมเพดานหมุนช้าๆ อ้อยอิ่ง คือมันทำให้เราคิดว่า เออ หนังที่สะท้อนความว่างเปล่าบางอย่างในจิตใจตัวละครที่เนื้อเรื่องมันเกิดในยุคเก่า มันก็ใช้พัดลมเพดานหมุนช้าๆ แต่ถ้าหากเนื้อเรื่องมันเกิดในยุคปัจจุบัน มันก็ต้องไปจับภาพที่เครื่องปรับอากาศแบบในหนังเรื่อง “ระหว่างกัน” หรือเปล่า 555

 

เท่าที่ดูหนังของคุณอนุวัชร์มา 4 เรื่อง ตอนนี้ชอบเรื่อง “ระหว่างกัน” มากที่สุดครับ เพราะมันทำให้นึกถึงความเหงาหรือความรู้สึกแปลกแยกของตัวเอง ส่วนอีก 3 เรื่องนั้น

 

1.DISPOSABLE เรื่องนี้ชอบน้อยสุด คือเรื่องนี้เราชอบการเสียดสีคนกรุงที่ต้านเขื่อน แต่ใช้ไฟฟ้าสิ้นเปลือง แต่การสะท้อนภาพชนบทด้วยภาพเด็กที่ใช้ถ่านไฟฉายฟังวิทยุทรานซิสเตอร์ท่ามกลางท้องทุ่งเขียวขจี มันเป็นการสะท้อนภาพชนบทที่ดู stereotype ยังไงไม่รู้

 

2.CAPTURE เรื่องนี้ชอบมากพอสมควร แต่ประเด็นเรื่องการรับน้องเป็นประเด็นที่ค่อนข้างเฝือนิดหน่อย และเราเป็นคนที่มักชอบหนังที่เน้นการดำดิ่งไปในห้วงอารมณ์ความรู้สึกอะไรสักอย่าง มากกว่า “หนังที่เน้นประเด็น” หรือ “หนังที่เน้นเนื้อเรื่อง” เราก็เลยชอบ “ระหว่างกัน” มากกว่า

 

3.WHERE IS MY SHORTS? เรื่องนี้ชอบมากๆ ฉากที่นางเอกแอบดูพระเอกเปลี่ยนกางเกง เป็นฉากที่คลาสสิคฉากนึงในความเห็นของเรา 555 แต่เราไม่เคยมีประสบการณ์อะไรแบบตัวละครในหนังเรื่องนี้ เราก็เลยอาจจะชอบ “ระหว่างกัน” มากกว่าหนังเรื่องนี้นิดนึง แต่ในอนาคต เราอาจจะชอบหนังเรื่องนี้มากกว่า “ระหว่างกัน” ก็ได้ ยังไม่แน่เหมือนกัน :-)

 

No comments: