Thursday, September 22, 2016

AFTER THE STORM (2016, Hirokazu Koreeda, Japan, A+30)

AFTER THE STORM (2016, Hirokazu Koreeda, Japan, A+30)

1.ในที่สุดก็เจอหนังโคเรเอดะที่เราอินกับมันได้จริงๆสักที 555 เพราะเราเคยดูหนังของโคเรเอดะมา 7 เรื่อง (รวมเรื่องนี้ด้วย) และก็ชอบหนังของเขามากพอสมควร แต่ไม่มีเรื่องไหนติดอันดับประจำปีเลย เพราะมันไม่อินเป็นการส่วนตัวน่ะ คือเหมือนเขาทำหนังดี เรายอมรับในฝีมือของเขาว่าเขาเก่งมาก แต่ถ้าถามว่าหนังของเขาส่วนใหญ่มันโดนใจเรามั้ย เราก็ตอบว่าไม่

แต่เราก็อาจจะชอบ AFTER THE STORM น้อยกว่า AFTER LIFE (1998) นะ เพราะเราชอบ AFTER LIFE ที่ ไอเดียน่ะ เพราะฉะนั้น AFTER LIFE ก็เลยอาจจะยังคงเป็นหนังของ Koreeda ที่เราชอบมากที่สุด ส่วน AFTER THE STORM ครองอันดับสอง ในขณะที่ OUR LITTLE SISTER (2015), LIKE FATHER, LIKE SON (2013), I WISH (2011), และ NOBODY KNOWS (2004) นั้นชอบมากๆในระดับใกล้เคียงกัน และ AIR DOLL (2009) เป็นหนังที่เราชอบน้อยสุดใน 7 เรื่องนี้

2.ชอบฉากที่ Kiki Kirin คุยกับ Hiroshi Abe ในช่วงท้ายเรื่องมากๆ ตอนที่พายุไต้ฝุ่นเข้าแล้ว และทั้งสองนั่งคุยกันไปเรื่อยๆเรื่องชีวิต เราดูฉากนี้แล้วแทบร้องไห้ รู้สึกว่ามันเรียบง่ายแต่ซาบซึ้งมากๆ ความเรียบง่ายในที่นี้หมายถึงเรียบง่ายในความธรรมดาของเหตุการณ์นะ มันเป็นแค่เหตุการณ์แม่วัยชรากับลูกชายวัยกลางคนนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ มันดูเหมือนจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีอะไรสำคัญเกิดขึ้นเลย แต่ภายใต้ความธรรมดาของเหตุการณ์นี้ มันเหมือนคั้นเอาสัจธรรมบางอย่างของชีวิตหรือแก่นแท้บางอย่างของชีวิตออกมาได้

คือรู้สึกว่า ฉากแบบนี้นี่มันต้องอาศัยคนเขียนบท+ผู้กำกับที่ตกผลึกเรื่องชีวิตมากพอสมควรน่ะ ถึงจะทำอะไรแบบนี้ออกมาได้ 

3.ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงอินกับหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงกว่าหนังเรื่องอื่นๆของ Koreeda แต่เราเดาว่าคงเป็นเพราะประสบการณ์ส่วนตัวในชีวิตเราเอง ที่มันมีบางอย่างพ้องกับเหตุการณ์ในหนัง มันก็เลยทำให้เราอินกับหนังอย่างรุนแรง

อีกอย่างที่น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญก็คือว่า เรามักจะอินกับหนังที่พูดถึตัวละครที่จมปลัก ไม่สามารถทำให้ชีวิตของตัวเองพัฒนาขึ้นได้ด้วยแหละ ซึ่งเป็นสาเหตุเดียวกับที่ทำให้เราชอบหนังอย่าง WE ARE YOUR FRIENDS (2015, Max Joseph) และ SPA NIGHT (2016, Andrew Ahn) อย่างรุนแรง เพราะชีวิตเราก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน 

และพอมาดู AFTER THE STORM นี่ก็เลยเหมือนเจอสองเด้ง เพราะทั้งพระเอกและแม่พระเอกก็มีปัญหาเรื่อง ชีวิตจมปลักเหมือนกันเลย เราก็เลยอินกับทั้งคู่ โดยตัวพระเอกนั้น เราอินกับเขามากๆในแง่ที่เขาเป็นตัวละครชายวัยกลางคนที่มีปัญหาการเงินอย่างรุนแรง ส่วนตัวแม่พระเอกนั้น เราอินมากๆตอนที่เธอพูดในทำนองที่ว่า ตอนที่เธอย้ายเข้าแฟลตแคบๆแห่งนี้ เธอไม่นึกเลยว่าเธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานถึง 40 ปี และเธอคงจะต้องอยู่ที่นี่ไปจนตาย แทนที่จะได้ขยับขยายไปอยู่อพาร์ทเมนท์หรือคอนโดกว้างๆก่อนตาย

คือเราอินกับจุดนี้ในหนังมากน่ะ เพราะตอนที่เราย้ายเข้าอพาร์ทเมนท์รูหนูที่เราอยู่นี่ในปี 1995 ตอนนั้นเราก็เคยนึกฝันว่าเราคงอยู่อพาร์ทเมนท์นี้แค่ไม่กี่ปี แล้วหลังจากนั้นชีวิตก็คงจะดีขึ้น ได้ย้ายไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ แต่นี่อะไรกันคะ กูอยู่ห้องรูหนูนี่มา 21 ปีแล้ว ไม่ได้ย้ายไปไหนสักที และไม่มีวี่แววว่าจะได้ย้ายไปไหนอีกนานเลยด้วย สรุปว่าชีวิตที่ แทบไมมีวันได้เงยหน้าอ้าปาแบบในหนังเรื่องนี้นี่แหละ ที่ทำให้เราอิน

4.ชอบที่หนังมันดราม่าน้อยกว่าที่คิดน่ะ (จุดนี้คล้ายกับที่เราชอบ SULLY) คือตอนแรกนึกว่าหนังมันจะดราม่าหนักกว่านี้ หรือมีเหตุการณ์รุนแรงอะไรเกิดขึ้น แต่พอเหตุการณ์ในหนังมันรุนแรงน้อยกว่าที่คาด มันดูเป็นชีวิตเรียบง่ายธรรมดามากกว่าที่คาด ตัวละครแค่ได้กลับมารวมตัวกันในวันมรสุมเข้า และได้ทบทวนชีวิตตัวเองในระดับนึง เราก็เลยชอบมันมากๆ

5.จริงๆเราหลับไปบางช่วงในช่วงต้นเรื่องด้วย (เพราะร่างกายไม่พร้อม) ก็เลยไม่แน่ใจว่าพลาดข้อมูลสำคัญอะไรไปบ้างหรือเปล่า แต่ตอนดูจะสงสัยว่าทำไมลูกน้องของพระเอกถึงอุทิศตัวช่วยเหลือพระเอกอย่างรุนแรงขนาดนั้น เหมือนกับเขาบอกว่าเขาติดบุญคุณพระเอกในเรื่องอะไรสักอย่าง

จริงๆแล้วตอนดูจะแอบจิ้นวายพระเอกกับลูกน้องมากๆ อยากให้ลูกน้องแอบหลงรักพระเอกอยู่ อะไรทำนองนี้

6.Hiroshi Abe น่ารักสุดๆเลยในเรื่องนี้ จริงๆแล้วเราชอบเขามาตั้งแต่ปี 1989 แล้ว จำได้ว่ายุคนั้นจะรู้จักเขาจากนิตยสาร ทีวีรีวิวและพอเห็นเขาในนิตยสาร เราก็ตกหลุมรักดาราคนนี้ทันที เราเอารูปเขาไปใส่ในกล่องดินสอ และเวลาเรียนหนังสือตอนม. 5 เราก็นั่งจ้องแต่รูป Hiroshi Abe ในกล่องดินสอตลอดเวลา จนบางครั้งอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าห้อง ก็เดินมาดูว่าเราจ้องอะไรในกล่องดินสอ ปรากฏว่ากูนั่งจ้องรูป Hiroshi Abe อยู่ค่ะ แต่ก็ไม่เห็นมีอาจารย์คนไหนว่าอะไร คงเป็นเพราะว่าการนั่งจ้องรูปผู้ชายมันไม่เป็นการรบกวนการเรียนการสอนในห้องเรียนแต่อย่างใด 555

เราเคยเห็น Hiroshi Abe ในหนังเรื่องอื่นๆมาบ้างนะ แต่รู้สึกว่าตัวเขาในหนังเรื่องอื่นๆมันไม่ดึงดูดเรามากเท่าเรื่องนี้น่ะ เราว่าในหนังเรื่องนี้ตัวละครที่เขาเล่นมันดูเป็นมนุษย์จริงๆ และมัน radiate warmth ออกมาจากตัวเขาได้จริงๆ เราก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ดึงเสน่ห์ของ Hiroshi Abe ออกมาได้ในแบบที่เข้าทางเรามากๆ

7.น่าสนใจดีที่ตอนนี้เราได้ดูแต่หนังเกี่ยวกับพระเอกที่เป็น loser ทั้งนั้นเลย ซึ่งได้แก่

7.1 AFTER THE STORM
7.2 FANDAY (2016, Banjong Pisanthanakun, A+25)
7.3 VISKAN MIRACLES (2015, John O. Olsson, Sweden, A+15)
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10210989049425554&set=a.10210889274331239.1073741947.1333811571&type=3&theater
7.4 THE REPAIRMAN (2013, Paolo Mitton, Italy, A+15)
7.5 IN THE SHADOW OF WOMEN (2015, Philippe Garrel, France, A+30)

เหมือนแต่ละเรื่องจะมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป ตัดสินไม่ได้ว่าเรื่องไหนนำเสนอชีวิต loser ได้ดีที่สุด จริงๆแล้ว VISKAN MIRACLES อาจจะดูเป็นหนังที่แย่ที่สุดในกลุ่มนี้ แต่มันมีข้อดีอย่างนึงก็คือว่า พระเอก VISKAN MIRACLES หน้าตาแย่ที่สุด หน้าตาดูเป็นคนธรรมดามากที่สุด (ถึงแม้เขาจะไม่มีปัญหาเรื่องการหาผู้หญิงมาชอบเขา) ในขณะที่ losers ในหนังอีก 4 เรื่องนี่ เป็นหนุ่มหล่อทั้งนั้นเลย

ส่วน FANDAY นั้น เป็น loser ที่ดูเหมือนจะมีปัญหาการเงินน้อยที่สุดใน 5 เรื่องนี้ คือพระเอก FANDAY ไม่ใช่คนรวยนะ แต่หนังไม่ได้นำปัญหาทางการเงินของเขามาใช้เป็นประเด็นหลักแบบใน AFTER THE STORM, VISKAN MIRACLES และ THE REPAIRMAN 

แต่ถ้าให้เราเลือกว่าจะเอาตัวละครพระเอกจากเรื่องไหนมาเป็นสามี เราก็อาจจะเลือก FANDAY นะ 555 เพราะพระเอก AFTER THE STORM ที่ติดการพนันนี่ เราคงไม่เลือก นอกจากว่าเขาจะเลิกเล่นการพนันก่อน, ส่วนพระเอก VISKAN MIRACLES นี่ก็ไม่หล่อ นิสัยก็ไม่ค่อยดี, พระเอก THE REPAIRMAN นี่ก็นิสัยพิสดารเกินไป เป็นที่พึ่งพาของชีวิตไม่ได้ ส่วนพระเอก IN THE SHADOW OF WOMEN นี่ก็มีความคิดแบบ ชายเป็นใหญ่มากเกินไป เราก็รับไม่ได้อีก 

แต่นี่แหละข้อดีของหนัง 4 เรื่องในกลุ่มนี้ มันช่วยปลอบใจสาวโสดอย่างเรา ว่าอยู่เป็นโสดแบบนี้แหละดีแล้ว ดีกว่าจะมีสามีแบบพระเอกในหนัง 4 เรื่องนี้ พระเอก losers แบบในหนัง 4 เรื่องนี้นี่แหละที่มันคือมนุษย์ปุถุชนจริงๆ

No comments: