Saturday, September 29, 2018

HUMAN IN VACUUM (2018, Wit Sudthinitaed, A+15)


HUMAN IN VACUUM (2018, Wit Sudthinitaed, A+15)

1.หนัง mockumentary เกี่ยวกับการสัมภาษณ์ผู้ป่วย HIV 4 คน ซึ่งประกอบด้วยแม่บ้าน, หนุ่มออฟฟิศ, หนุ่มฟรีแลนซ์ และนักกีฬาวัยมัธยม เนื้อหาที่ 4 คนนี้พูดจริงๆแล้วก็อาจจะไม่ได้มีอะไรใหม่หรือรุนแรงมากนัก คือเนื้อหาในส่วนนี้ฟังแล้วจะนึกถึงเรื่องราวประเภทที่เคยอ่านจากเพจ “มนุษย์กรุงเทพฯ” หรือที่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนหน้านี้แล้ว จะมีที่รู้สึกว่ามัน controversial มากที่สุดก็ตรงที่แม่บ้านพูดในทำนองที่ว่า เธออาจจะแต่งงานใหม่และมีลูก และ interviewer ก็ถามว่า “ไม่สงสารลูกเหรอ” เพราะจุดนี้เป็นจุดที่เราสนใจเหมือนกัน เพราะเราไม่รู้ข้อมูลมาก่อนว่า แม่ที่ติดเชื้อ HIV จะส่งผลให้ลูกติดเชื้อไปด้วยหรือเปล่า แล้วลูกที่ติดเชื้อจะต้องใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง แล้วหมอ/พยาบาลที่ทำคลอดให้แม่ที่ติดเชื้อ HIV ต้องมีการปฏิบัติอะไรที่แตกต่างจากการทำคลอดคนอื่นๆหรือเปล่า

2.แต่ประเด็นสำคัญของหนังเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ 4 คนนี้พูด แต่เป็น การแสดงออกของ “ทีมงานที่ทำการสัมภาษณ์” ซึ่งหนัง treat ทีมงานกลุ่มนี้เหมือนเป็นผู้ร้ายอย่างเต็มที่ ซึ่งมันก็เลยอาจจะไม่ได้ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ เพราะมันดูมากเกินไปยังไงไม่รู้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้ถูกแวดล้อมด้วยคนที่แสดงความรังเกียจผู้ติดเชื้ออย่างเปิดเผย แบบทีมงานในหนังเรื่องนี้มั้ง การแสดงออกของตัวละครทีมงานในหนังเรื่องนี้ ก็เลยดูเหมือนเป็นการแสดงออกของคนที่เราไม่ค่อยได้พบเจอในชีวิตประจำวัน มันดูเหมือนเป็นอะไรที่ทำให้เราถอยห่างจากหนังในระดับนึง

แต่ก็ชอบบางจุดนะ อย่างการแสดงอาการรังเกียจแบบเนียนๆของตัวละครทีมงานหญิงน่ะ ผ่านทางการให้ interviewees ถือทิชชู หรือการไม่เข้าไปติดไวร์เลสใกล้ๆ อันนี้เราว่ามันเป็นการจับสังเกตอากัปกิริยาของมนุษย์ที่ดี มันเป็นการรังเกียจแบบไม่ต้องออกนอกหน้ามากนัก แต่ผ่านทางการแสดงออกเพียงเล็กน้อย เราชอบหนังที่จับสังเกตอะไรเล็กๆน้อยๆของมนุษย์แบบนี้

แต่การให้ interviewers ถามคำถามแรงๆใส่ interviewees นี่ เป็นอะไรที่เราชอบแค่ปานกลาง ข้อดีของมันก็คือว่า มันช่วยให้คนดูตระหนักว่า คำถามอะไรบ้างที่ไม่โอเค หรืออาจจะสร้างความไม่พอใจให้ผู้ติดเชื้อได้ แต่ในบางครั้งมันก็ดูแรงเกินไปน่ะ

และช่วงท้ายของหนัง ที่เหมือน interviewers แสดงความเกลียดชังออกมาตรงๆ เราว่ามันดูมากเกินไปยังไงไม่รู้

3.สรุปว่า เราเหมือนมีปัญหานิดนึงกับการที่หนังเรื่องนี้นำเสนอตัวละคร interviewers ในฐานะ “ผู้ร้าย” ที่ชัดๆตรงๆแรงๆแบบนี้  แต่ในแง่นึง มันก็ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังเกี่ยวกับผู้ป่วย HIV เรื่องอื่นๆที่เราเคยดูมานะ เพราะหนังเกี่ยวกับผู้ป่วย HIV เรื่องอื่นๆ มักจะเป็นหนังที่เน้น “พลังงานทางบวก” น่ะ อย่างเช่น HEAVEN’S MEADOW (2005, Detlev F. Neufert) , ราตรีสวัสดิ์ (2012, Soraya Nakasuwan) , ช่องว่าง (2012, Misak Chinphong), คนที่เข้าใจ (2012, Misak Chinphong) , ONE NIGHT STANDING TILL IT OVER (2016, Pathompong Praesomboon) หนังกลุ่มนี้มักจะแสดงให้เห็นถึงชีวิตผู้ติดเชื้อ และนำเสนอชีวิตของพวกเขาด้วยความรัก ความเห็นอกเห็นใจ และมีลักษณะ humanist สูงมาก แต่เราว่า HUMAN IN VACUUM เป็นหนังที่มี “พลังงานทางลบ” สูงมาก ผ่านทางการนำเสนอตัวละคร interviewers ที่มีทัศนคติที่แย่มากต่อผู้ติดเชื้อ และผู้ติดเชื้อบางคนก็ตอบโต้กลับไปแรงๆเช่นกัน หนังเรื่องนี้ก็เลยดูเป็นหนังแนว “ตบตี” และไม่ได้ออกมาในเชิง “รักเพื่อนมนุษย์” แบบหนังเรื่องอื่นๆที่พูดถึงประเด็นเดียวกัน

No comments: