สิ่ง0.5หายไป_เวอร์ชั่น 3(0) (2023, Naphat Khunlam, 30min, A+30)
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
ชอบสุด ๆ
ชอบทั้งตัวเนื้อเรื่องและวิธีการนำเสนอที่ค่อนข้างแปลกประหลาดพิสดาร
เหมือนตัวเนื้อเรื่องนั้นจริง ๆ
แล้วก็มีความแปลกแทรกอยู่เป็นระยะ ๆ ถ้าเข้าใจไม่ผิด หนังเล่าเรื่องของความเชื่อของมนุษย์ในศตวรรษก่อน
ๆ ที่มีต่อคลองบนดาวอังคาร แล้วก็ตัดมาเล่าเรื่องของหญิงสาวอายุ 18 ปีที่ยังอยู่ม.6
เธอฝันอยากไปสูดอากาศเต็มปอดที่ริมชายทะเล แต่ชีวิตประจำวันของเธอคือความน่าเบื่อหน่ายซ้ำซากของการต้องนั่งรถเมล์เดินทางไปกลับในกรุงเทพหรือชานเมืองกรุงเทพ,
เธออยากเรียนภาพยนตร์
แต่ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับพ่อที่ต้องการให้เธอเรียนรัสเซียศึกษา (ตรงนี้ประหลาดดี
ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีพ่อคนไหนอยากให้ลูกเรียน รัสเซียศึกษา 5555)
แล้วนางเอกก็ข้ามไปเล่าเรื่องของเพื่อนที่ชื่อ
“ชาย” ที่ชอบเขียนนิยายลงม้วนใบเสร็จ ชายบอกว่าเขาควบคุมความฝันได้
และบอกให้นางเอกหลับตา แล้วเขาก็พานางเอกไปเดินที่โรงหนังสกาลาในความฝัน,
ไปดูคอนเสิร์ตพุ่มพวง ดวงจันทร์ในสิ่งที่เหมือนกับเป็นโลกคู่ขนาน
โลกที่พุ่มพวงยังไม่ตาย
เหมือนชายทำให้นางเอกหันไปฝันถึงโลกที่ดีงามกว่าโลกแห่งความเป็นจริงในหลาย ๆ อย่าง
แต่เหมือนพอนางเอกทำแบบนั้นบ่อย ๆ เข้า เกรดของเธอก็ตกต่ำลง และมีงานคั่งค้าง
เหมือนกับชาย
เราว่าเนื้อหาตรงส่วนนี้ประหลาดดี
แต่เราก็ชอบมาก มันเหมือนพูดถึงข้อดีข้อเสียของ “จินตนาการ” เหมือน “จินตนาการ”
ทำให้เราสร้างโลกแห่งความสุขขึ้นมาได้ โลกแห่งความสุขที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง
แต่ถ้าหากเราหลง “จินตนาการ” มากเกินไป เราก็จะไม่สามารถรับมือกับภารกิจต่าง ๆ
ที่เราควรทำในโลกแห่งความเป็นจริงได้
หลังจากนั้นนางเอกก็สามารถเคลียร์ปัญหากับพ่อเรื่องการเรียนภาพยนตร์ได้
แต่พอเธอจะหางานเขียนของชายที่เคยชนะการประกวดตามเวทีต่าง ๆ เธอก็หาไม่เจอ
และเธอก็เลยรู้ว่าชายโกหกเธอ เหมือนเขาอาจจะเป็นคนที่มีพลังทางจินตนาการมากก็จริง
แต่เขาก็หลงในโลกแห่งจินตนาการมากเกินไป จนไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวเองได้
ชายสารภาพรักกับนางเอก
แต่นางเอกปฏิเสธเขา และหลังจากนั้นเราก็ไม่แน่ใจว่าเขาฆ่าตัวตายหรือเปล่า
ส่วนนางเอกก็มาเรียนภาพยนตร์ในมหาลัย
คือเราว่าตัวเนื้อเรื่องมันน่าสนใจดี
เราชอบที่ตัวเนื้อเรื่องมันพูดถึงทั้งข้อดีข้อเสียของ “พลังทางจินตนาการ”
แต่สิ่งที่พิเศษกว่าตัวเนื้อเรื่องก็คือวิธีการนำเสนอ
ที่เหมือนไม่ได้เล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา เราแทบไม่เห็น “ตัวละคร” เลย
เราไม่เห็นว่านางเอกรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร นอกจากรูปของสาวเสิร์ฟในร้านอาหารที่น่าจะเป็นภาพแทนของนางเอกได้มากที่สุด,
เราไม่เห็นพ่อของนางเอก เราไม่ได้ยินเสียงพ่อของนางเอกเลยด้วยซ้ำ,
เสียงของนางเอกก็ใช้คอมพิวเตอร์พูด แล้วแถมเสียงของ “ชาย”
ก็ใช้เสียงผู้หญิงจากคอมพิวเตอร์พูดอีก เราไม่เห็น “ชาย” ตอนเป็นหนุ่มด้วย
เห็นแต่รูปของเขาตอนเด็ก กับรูปของชายหนุ่มในร้านอาหาร
เราว่าวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้ท้าทายดี
แต่ผู้ชมก็ต้องตั้งสติพอสมควร ไม่งั้นจะตามเรื่องไม่ทัน 5555 เพราะจริง ๆ
แล้วหนังเล่าเรื่องของ “นางเอก” กับ “ชาย” ตลอดทั้งเรื่อง
แต่พอผู้ชมไม่ได้เห็นภาพของนางเอกกับชายเลย และไม่ได้ยินเสียงจริง ๆ
ของนางเอกกับชายเลย ผู้ชมอย่างเราก็จะงง ๆ ตามเรื่องไม่ทันในบางช่วงในการดูรอบแรก
สิ่งที่ชอบมาก ๆ คือการใส่ “ภาพ”
ที่ดูมีพลังความน่าสนใจในตัวของมันเอง
โดยอาจจะไม่ได้เชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องโดยตรงเข้ามาด้วย โดยเฉพาะภาพของหนอนในอาหาร,
ภาพผีเสื้อที่ติดอยู่ในรถในตอนแรก ๆ เป็นช็อตที่ทรงพลังมาก ๆ
อีกช็อตที่ชอบมากคือช็อตหญิงสาวที่ปีนเกาะกลางถนน กับผู้ชายที่พยายามจะข้ามถนน
ในช่วงกลางเรื่อง ก่อนที่จะมาเล่าต่อในช่วงท้ายเรื่อง
เมื่อหญิงสาวปีนเกาะกลางถนนและ “ก้าวข้าม” ได้สำเร็จ แต่ผู้ชายหายไปไหนไม่รู้
ชอบการสื่อถึงการฆ่าตัวตาย
ผ่านทางช็อตเชือกผูกคอแกว่งไกวไปมาด้วย เหมือนหลาย ๆ
ช็อตในหนังเรื่องนี้มีเสน่ห์แบบ minimal ดี โดยเฉพาะช็อตนี้
การใส่ MV เพลง “แค่พี่น้อง” ของ Tilly Birds เข้ามา 2 รอบก็น่าสนใจดี เราไม่รู้ว่ามันสื่อถึงอะไร
มันสื่อถึงความรู้สึกของนางเอกที่มีต่อพระเอกหรือเปล่า เราชอบที่พอ MV นี้ถูกใส่เข้ามาครั้งที่สอง ภาพมันก็กลายเป็นแบบ superimposition และเสียงดนตรีก็ถูกบิดให้แปลก ๆ ออกไป
ชอบการใส่เรื่อง “ดาวอังคาร”
เข้ามาด้วย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไรกันแน่ แต่รู้สึกว่ามันช่วยเพิ่มมิติบางอย่างที่น่าสนใจให้กับหนังเรื่องนี้ได้ในแบบที่เข้าทางเรามาก
ๆ (นึกถึงหนังของ Alexander Kluge ที่เหมือนใส่อะไรที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวเนื่องกันเข้ามาไว้ด้วยกัน
แต่สิ่งที่ไม่เกี่ยวเนื่องกันนี้มันกลับช่วยเสริมพลังบางอย่างให้แก่กันและกันได้ในแบบที่ไม่สามารถอธิบายได้)
สรุปว่าเป็นหนังที่ชอบสุด ๆ เราว่าวิธีการนำ “ภาพ” มาใส่ควบคู่กับการเล่าเรื่องน่าสนใจมาก
ๆ เหมือนหนังมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ
แต่แทนที่หนังจะให้นักแสดงมาเล่นมาแสดงไปตามเนื้อเรื่อง
เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่าย ๆ หนังกลับเล่นท่ายาก ด้วยการนำภาพต่าง ๆ
ที่ minimal มาก ๆ
หรือช็อตต่าง ๆ ที่เหมือนถ่ายเก็บจากชีวิตประจำวัน มาใช้ประกอบในการเล่าเรื่อง
วิธีการแบบนี้เราว่า creative ดีมาก ๆ และมันทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่
“เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ” แต่มันมีภาพที่น่าสนใจ, ภาพที่มีพลังแปลก ๆ ในตัวมันเอง และมี
“มิติพิศวง” ที่เกิดจากความไม่ลงรอยกันซะทีเดียวระหว่างภาพกับเนื้อเรื่องอยู่ในหนังด้วย
จริง ๆ ดูแล้วเรารู้สึก “เศร้า”
อย่างบอกไม่ถูกด้วย เพราะเราก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับ “โลกจินตนาการ” เหมือนกัน
และหนังเรื่องนี้มันก็พูดถึง “ความสุขของการสร้างโลกในจินตนาการขึ้นมา” เพื่อทดแทนโลกแห่งความเป็นจริงที่เลวร้าย
เราก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันทำให้เรารู้สึกเศร้าลึกๆ อยู่ข้างในมาก ๆ
No comments:
Post a Comment