Sunday, October 01, 2023

LOST THING 0.5

 

สิ่ง0.5หายไป­_เวอร์ชั่น 3(0) (2023, Naphat Khunlam, 30min, A+30)

 

SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

ชอบสุด ๆ ชอบทั้งตัวเนื้อเรื่องและวิธีการนำเสนอที่ค่อนข้างแปลกประหลาดพิสดาร

 

เหมือนตัวเนื้อเรื่องนั้นจริง ๆ แล้วก็มีความแปลกแทรกอยู่เป็นระยะ ๆ ถ้าเข้าใจไม่ผิด หนังเล่าเรื่องของความเชื่อของมนุษย์ในศตวรรษก่อน ๆ ที่มีต่อคลองบนดาวอังคาร แล้วก็ตัดมาเล่าเรื่องของหญิงสาวอายุ 18 ปีที่ยังอยู่ม.6 เธอฝันอยากไปสูดอากาศเต็มปอดที่ริมชายทะเล แต่ชีวิตประจำวันของเธอคือความน่าเบื่อหน่ายซ้ำซากของการต้องนั่งรถเมล์เดินทางไปกลับในกรุงเทพหรือชานเมืองกรุงเทพ, เธออยากเรียนภาพยนตร์ แต่ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับพ่อที่ต้องการให้เธอเรียนรัสเซียศึกษา (ตรงนี้ประหลาดดี ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีพ่อคนไหนอยากให้ลูกเรียน รัสเซียศึกษา 5555)

 

แล้วนางเอกก็ข้ามไปเล่าเรื่องของเพื่อนที่ชื่อ “ชาย” ที่ชอบเขียนนิยายลงม้วนใบเสร็จ ชายบอกว่าเขาควบคุมความฝันได้ และบอกให้นางเอกหลับตา แล้วเขาก็พานางเอกไปเดินที่โรงหนังสกาลาในความฝัน, ไปดูคอนเสิร์ตพุ่มพวง ดวงจันทร์ในสิ่งที่เหมือนกับเป็นโลกคู่ขนาน โลกที่พุ่มพวงยังไม่ตาย เหมือนชายทำให้นางเอกหันไปฝันถึงโลกที่ดีงามกว่าโลกแห่งความเป็นจริงในหลาย ๆ อย่าง แต่เหมือนพอนางเอกทำแบบนั้นบ่อย ๆ เข้า เกรดของเธอก็ตกต่ำลง และมีงานคั่งค้าง เหมือนกับชาย

 

เราว่าเนื้อหาตรงส่วนนี้ประหลาดดี แต่เราก็ชอบมาก มันเหมือนพูดถึงข้อดีข้อเสียของ “จินตนาการ” เหมือน “จินตนาการ” ทำให้เราสร้างโลกแห่งความสุขขึ้นมาได้ โลกแห่งความสุขที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง แต่ถ้าหากเราหลง “จินตนาการ” มากเกินไป เราก็จะไม่สามารถรับมือกับภารกิจต่าง ๆ ที่เราควรทำในโลกแห่งความเป็นจริงได้

 

หลังจากนั้นนางเอกก็สามารถเคลียร์ปัญหากับพ่อเรื่องการเรียนภาพยนตร์ได้ แต่พอเธอจะหางานเขียนของชายที่เคยชนะการประกวดตามเวทีต่าง ๆ เธอก็หาไม่เจอ และเธอก็เลยรู้ว่าชายโกหกเธอ เหมือนเขาอาจจะเป็นคนที่มีพลังทางจินตนาการมากก็จริง แต่เขาก็หลงในโลกแห่งจินตนาการมากเกินไป จนไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวเองได้

 

ชายสารภาพรักกับนางเอก แต่นางเอกปฏิเสธเขา และหลังจากนั้นเราก็ไม่แน่ใจว่าเขาฆ่าตัวตายหรือเปล่า ส่วนนางเอกก็มาเรียนภาพยนตร์ในมหาลัย

 

คือเราว่าตัวเนื้อเรื่องมันน่าสนใจดี เราชอบที่ตัวเนื้อเรื่องมันพูดถึงทั้งข้อดีข้อเสียของ “พลังทางจินตนาการ”

 

แต่สิ่งที่พิเศษกว่าตัวเนื้อเรื่องก็คือวิธีการนำเสนอ ที่เหมือนไม่ได้เล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา เราแทบไม่เห็น “ตัวละคร” เลย เราไม่เห็นว่านางเอกรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร นอกจากรูปของสาวเสิร์ฟในร้านอาหารที่น่าจะเป็นภาพแทนของนางเอกได้มากที่สุด, เราไม่เห็นพ่อของนางเอก เราไม่ได้ยินเสียงพ่อของนางเอกเลยด้วยซ้ำ, เสียงของนางเอกก็ใช้คอมพิวเตอร์พูด แล้วแถมเสียงของ “ชาย” ก็ใช้เสียงผู้หญิงจากคอมพิวเตอร์พูดอีก เราไม่เห็น “ชาย” ตอนเป็นหนุ่มด้วย เห็นแต่รูปของเขาตอนเด็ก กับรูปของชายหนุ่มในร้านอาหาร

 

เราว่าวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้ท้าทายดี แต่ผู้ชมก็ต้องตั้งสติพอสมควร ไม่งั้นจะตามเรื่องไม่ทัน 5555 เพราะจริง ๆ แล้วหนังเล่าเรื่องของ “นางเอก” กับ “ชาย” ตลอดทั้งเรื่อง แต่พอผู้ชมไม่ได้เห็นภาพของนางเอกกับชายเลย และไม่ได้ยินเสียงจริง ๆ ของนางเอกกับชายเลย ผู้ชมอย่างเราก็จะงง ๆ ตามเรื่องไม่ทันในบางช่วงในการดูรอบแรก

 

สิ่งที่ชอบมาก ๆ คือการใส่ “ภาพ” ที่ดูมีพลังความน่าสนใจในตัวของมันเอง โดยอาจจะไม่ได้เชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องโดยตรงเข้ามาด้วย โดยเฉพาะภาพของหนอนในอาหาร, ภาพผีเสื้อที่ติดอยู่ในรถในตอนแรก ๆ เป็นช็อตที่ทรงพลังมาก ๆ อีกช็อตที่ชอบมากคือช็อตหญิงสาวที่ปีนเกาะกลางถนน กับผู้ชายที่พยายามจะข้ามถนน ในช่วงกลางเรื่อง ก่อนที่จะมาเล่าต่อในช่วงท้ายเรื่อง เมื่อหญิงสาวปีนเกาะกลางถนนและ “ก้าวข้าม” ได้สำเร็จ แต่ผู้ชายหายไปไหนไม่รู้

 

ชอบการสื่อถึงการฆ่าตัวตาย ผ่านทางช็อตเชือกผูกคอแกว่งไกวไปมาด้วย เหมือนหลาย ๆ ช็อตในหนังเรื่องนี้มีเสน่ห์แบบ minimal ดี โดยเฉพาะช็อตนี้

 

การใส่ MV เพลง “แค่พี่น้อง” ของ Tilly Birds เข้ามา 2 รอบก็น่าสนใจดี เราไม่รู้ว่ามันสื่อถึงอะไร มันสื่อถึงความรู้สึกของนางเอกที่มีต่อพระเอกหรือเปล่า เราชอบที่พอ MV นี้ถูกใส่เข้ามาครั้งที่สอง ภาพมันก็กลายเป็นแบบ superimposition และเสียงดนตรีก็ถูกบิดให้แปลก ๆ ออกไป

 

ชอบการใส่เรื่อง “ดาวอังคาร” เข้ามาด้วย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไรกันแน่ แต่รู้สึกว่ามันช่วยเพิ่มมิติบางอย่างที่น่าสนใจให้กับหนังเรื่องนี้ได้ในแบบที่เข้าทางเรามาก ๆ (นึกถึงหนังของ Alexander Kluge ที่เหมือนใส่อะไรที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวเนื่องกันเข้ามาไว้ด้วยกัน แต่สิ่งที่ไม่เกี่ยวเนื่องกันนี้มันกลับช่วยเสริมพลังบางอย่างให้แก่กันและกันได้ในแบบที่ไม่สามารถอธิบายได้)

 

สรุปว่าเป็นหนังที่ชอบสุด ๆ  เราว่าวิธีการนำ “ภาพ” มาใส่ควบคู่กับการเล่าเรื่องน่าสนใจมาก ๆ เหมือนหนังมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ แต่แทนที่หนังจะให้นักแสดงมาเล่นมาแสดงไปตามเนื้อเรื่อง เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่าย ๆ หนังกลับเล่นท่ายาก ด้วยการนำภาพต่าง ๆ ที่ minimal มาก ๆ หรือช็อตต่าง ๆ ที่เหมือนถ่ายเก็บจากชีวิตประจำวัน มาใช้ประกอบในการเล่าเรื่อง วิธีการแบบนี้เราว่า creative ดีมาก ๆ  และมันทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ “เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ” แต่มันมีภาพที่น่าสนใจ, ภาพที่มีพลังแปลก ๆ ในตัวมันเอง และมี “มิติพิศวง” ที่เกิดจากความไม่ลงรอยกันซะทีเดียวระหว่างภาพกับเนื้อเรื่องอยู่ในหนังด้วย

 

จริง ๆ ดูแล้วเรารู้สึก “เศร้า” อย่างบอกไม่ถูกด้วย เพราะเราก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับ “โลกจินตนาการ” เหมือนกัน และหนังเรื่องนี้มันก็พูดถึง “ความสุขของการสร้างโลกในจินตนาการขึ้นมา” เพื่อทดแทนโลกแห่งความเป็นจริงที่เลวร้าย เราก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันทำให้เรารู้สึกเศร้าลึกๆ อยู่ข้างในมาก ๆ

No comments: