Saturday, April 01, 2006

"MOON" (2006, TOEM, A+)

ตอบน้อง merveillesxx

--ข้อมือไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ แค่มีรอยถลอกนิดนึงเท่านั้น

--รู้สึกชอบ RACHEL WEISZ อย่างสุดๆใน THE SHAPE OF THINGS (NEIL LABUTE, A+) ค่ะ แต่รู้สึกดีใจอย่างสุดๆที่น้อง merveillesxx เกลียดเธอใน THE SHAPE OF THINGS เพราะดิฉันเดาเอาเองว่าความรู้สึกเกลียดเธอนี้เกิดจาก “ความสำเร็จทางการแสดงของ RACHEL WEISZ” และความสำเร็จทางการกำกับของ NEIL LABUTE เพราะถ้าหาก RACHEL WEISZ แสดงได้ไม่ดี หรือ NEIL LABUTE กำกับได้ไม่ดี ผู้ชมก็จะไม่เกลียด “ตัวละคร” ตัวนี้มากเท่านี้

--ขอบคุณน้อง merveillesxx มากค่ะที่แจ้งข่าวเรื่องรายการ J-POP รู้สึกเศร้าใจมากๆเหมือนกันที่รายการนี้จะต้องหายไปอีกครั้ง ดีเจเอ็ดดี้เป็นดีเจที่ดิฉันติดตามฟังมาตั้งแต่ปี 1988 แล้วค่ะ ถือได้ว่าเป็นดีเจที่ผลุบๆโผล่ๆอยู่ในวงการมาได้นานมากคนนึง ตอนนั้นเขาจัดอยู่ช่อง 88 FM ซึ่งเป็นช่องที่ดีเจบ๊อบบี้ นิมิตร ลักษมีพงศ์จัดอยู่ด้วย ดีเจนิมิตรก็อยู่ในวงการมาได้นานมากเหมือนกัน ดิฉันรู้สึกว่าดีเจนิมิตรเป็นคนที่ความรู้แน่นมาก, รสนิยมดีมาก, ฮามาก แต่ค่อนข้างดุ (สมัยจัดอยู่ 88 FM)

ช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมาไม่ได้ฟังรายการเพลงตอนกลางคืนเลยค่ะ ก็เลยไม่ทราบข่าวเรื่องยุบรายการ J-POP เพราะช่วงกลางคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาดิฉันกำลังไปเที่ยวต่างจังหวัดกับอดีตอาจารย์ประจำชั้นของน้อง merveillesxx ค่ะ อาจารย์ประจำชั้นท่านนั้นบอกว่าน้อง merveillesxx เป็นเด็กที่แร่ดมากตอนอยู่โรงเรียนมัธยม (ล้อเล่นค่ะ) ฮ่าฮ่าฮ่า ที่จริงแล้วอาจารย์ท่านนั้นบอกว่าน้อง merveillesxx เป็นเด็กดี เรียบร้อย ขยัน และตั้งใจเรียนค่ะ

การไปเที่ยวต่างจังหวัดครั้งนี้เป็นสิ่งที่ทรมานทรกรรมมาก เพราะดิฉันเกิดอาการท้องเสียตอนเที่ยงคืนขณะรถกำลังจะแล่นเข้าจังหวัดเพชรบุรีพอดี ขนาดกินอิมโมเดียมเข้าไปแล้วยังเอาไม่อยู่ ดิฉันก็เลยต้องเข้าห้องน้ำของปั๊มน้ำมันตอนเที่ยงคืน ขณะเดินเข้าห้องน้ำ ก็นึกถึงหนังเรื่อง “รับน้องสยองขวัญ” (SCARED) (2005, ภาคภูมิ วงษ์จินดา, B) ขึ้นมาในทันที เพราะรู้สึกในหนังเรื่องนั้นจะมีฉากคนถูกฆ่าตายในห้องน้ำเหมือนกัน


--ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะดู BIG BROTHER เลย แต่พอเห็น”บู” กับ “เจฟ” ไม่ใส่เสื้อ ก็เลยต้องดูรายการนี้บ้างเป็นบางครั้งถ้ามีเวลาว่าง รู้สึกประทับใจดาราหญิงคนนึงมากๆที่ให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ว่า ถ้าหากผู้ชายใน BIG BROTHER ว่ายน้ำเมื่อไหร่ ให้รีบบอกเธอในทันที เธอจะรีบมาดู รู้สึกว่าคำให้สัมภาษณ์ของดาราหญิงคนนี้เป็นสิ่งที่ตรงใจของตัวเองมากๆ

เอาลิงค์ของคุณอ้วนในเว็บบอร์ด SCREENOUT มาแปะต่อ

ภาพของบูขณะเดินทางถึง BIG BROTHER SWEDEN
http://www.bigbrother.se/index.php?page=article&id=1379&id_str=1143807272qksk

ภาพของ ANTON ขณะเดินทางออกจาก BIG BROTHER SWEDEN เพื่อจะมาประเทศไทย
http://www.bigbrother.no/index.php?page=article&id=1372&id_str=1143785322nvpm

อันนี้ไม่เกี่ยวกับ BIG BROTHER THAILAND แต่เป็นภาพของ RAFAEL หนุ่มที่ได้ที่ 3 ใน BIG BROTHER BRAZIL (ก็อปปี้มาจาก BLOG ของคุณอ้วนที่ http://www.blackforests.blogspot.com )
http://exclusivo.terra.com.br/bbb6/interna/0,,OI836200-EI6120,00.html

อย่างไรก็ดี ดิฉันก็ไม่ได้ดู BIG BROTHER มากนัก เพราะวันพุธกับพฤหัสบดีดิฉันยังคงต้องติดตามชมละครจันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้าทางช่อง 3 ต่อไป ดูไปดูมาแล้วรู้สึก (ไปเอง) ว่าละครเรื่องนี้ล้อเลียนตัวเองได้ถูกใจดิฉันมากๆ และทำให้นึกถึงหนังหลายๆเรื่อง อย่างเช่น

1.ในเรื่องนี้เจเน็ต เขียว รับบทเป็นนักร้องตกอับชื่อ “มะลิ” เธอต้องเปลี่ยนมาทำงานเป็นสาวใช้ แต่เธอก็เปิดเพลงของ “เจเน็ต เขียว” เต้นรำไปด้วย ฉากนี้เป็นฉากที่ฮาดี และรู้สึกว่าเป็นการล้อเลียนตัวเองได้ดี ไม่เหมือนกับใน CROSSROADS (2002, TAMRA DAVIS, C-) ที่ BRITNEY SPEARS รับบทเป็นเด็กสาวที่แต่งกลอน แต่กลอนนั้นจริงๆแล้วคือเนื้อเพลงของ BRITNEY SPEARS เอง การพาดพิงถึงตัวเองใน CROSSROADS ให้ความรู้สึกที่แย่ๆยังไงไม่รู้

การพาดพิงถึงตัวเองอีกอันนึงที่ชอบมากคือในละครเรื่อง “ล่า” (A++++++) ที่มีฉากนึงที่มธุสร (สินจัย) ปลอมตัวเป็นนางพยาบาลชื่อ “นวลฉวี”

อย่างไรก็ดี การพาดพิงถึงตัวเองที่สุดยอดถูกใจดิฉันมากที่สุด ก็คือการพาดพิงถึง JULIA ROBERTS ใน OCEAN’S TWELVE (STEVEN SODERBERGH, A)


2.เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา มีฉากนึงในจันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้าที่ล้อเลียน JU-ON ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ “ผีผู้หญิงแค้นหลังจากถูกผู้ชายในครอบครัวฆ่าตาย” เหมือนกับใน “จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า”

3.รู้สึกชอบการแคสติ้งของละครเรื่องนี้มาก ตรงที่ให้ปวีณา ชารีฟสกุล กับพิมพ์ผกา (หรือภรผกา) เสียงสมบุญ รับบทเป็นผีในเรื่อง เพราะดาราหญิงสองคนนี้เคยแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมมาแล้วในละครผีเรื่อง “บ่วง” (1992, สุพล วิเชียรฉาย) ซึ่งเป็นละครที่ดิฉันอยากดูซ้ำอีกอย่างมากๆ

4.สิ่งที่ดิฉันสนใจมากใน “จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า” เมื่อวันพุธ-พฤหัสบดีที่ผ่านมา ก็คือการแฟลชแบ็คไปเล่าถึงชีวิตของครูรมณีย์ในอดีต รู้สึกว่าในฉากนั้น ครูผกา (อยากรู้จังเลยว่าใครเล่นเป็นเธอ เพราะเธอเล่นได้ขโมยซีนมากๆ) จะเรียกตัวเองว่า “หมิว” และเรียกครูรมณีย์ว่า “เดมี่”

ไม่รู้เหมือนกันว่าจุดประสงค์หรือที่มาของชื่อ “หมิว” และ “เดมี่” ในฉากแฟลชแบ็คฉากนี้คืออะไร เพราะทั้งครูผกาและครูรมณีย์ไม่ได้มีความใกล้เคียงกับหมิว ลลิตา หรือเดมี่ มัวร์เลยแม้แต่สักกระผีกริ้น แต่เดาเอาเองว่าอาจจะหมายถึง

4.1 แสดงถึงความหลงตัวเองของครูผกา

4.2 บ่งชี้ว่าเหตุการณ์ในฉากแฟลชแบ็คนั้นน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองของหมิว ลลิตา และเดมี่ มัวร์

4.3 ดิฉันเดาเล่นๆว่า บางที “จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า” อาจจะต้องการล้อเลียนตัวเอง เพราะความรุ่งเรืองของหมิว ลลิตา มาพร้อมกับละครเรื่อง “ปริศนา” (1988, อดุลย์ ดุลยรัตน์) และความรุ่งเรืองของเดมี่ มัวร์มาพร้อมกับ GHOST (1990, JERRY ZUCKER, A-) และพล็อตเรื่องของ “จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า” ก็มีส่วนผสมของ “ปริศนา” และ GHOST อยู่ด้วย เพราะ “ปริศนา” เป็นเรื่องของเด็กสาวที่กลับจากเมืองนอกพร้อมกับชาติกำเนิดที่เป็นปริศนา และเธอก็ต้องมาตบตีกับเหล่าคนรวย เหมือนกับนางเอกเรื่อง “จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า” ส่วน GHOST ก็เป็นเรื่องของคนตายที่ต้องการติดต่อกับคนเป็น โดยผ่านทางวูปี้ โกลด์เบิร์ก ร่างทรงกำมะลอที่เพิ่งค้นพบความสามารถในการติดต่อกับผีของตนเอง ซึ่งจุดนี้ก็ตรงกับพล็อตของ “จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า” เช่นกัน รู้สึกว่า “จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า” อาจจะเป็นละครน้ำเน่าที่มีเนื้อหาซ้ำซากเหมือนละครหลายๆเรื่อง แต่แทนที่ละครเรื่องนี้จะทำเป็นไม่รับรู้ “ความซ้ำซาก” ของตัวเอง ละครเรื่องนี้กลับพาดพิงให้เห็นไปเลยว่า “มีหนังหรือละครเรื่องไหนบ้างที่มีส่วนคล้ายฉัน”


4.4 นอกจาก GHOST แล้ว “จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า” ยังทำให้นึกถึงหนังเรื่อง STIR OF ECHOES (1999, DAVID KOEPP, A-) ด้วย เพราะมีเนื้อหาบางส่วนคล้ายกันอย่างมาก แถมในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ยังมีฉากสะกดจิตด้วย ซึ่งในหนังเรื่อง STIR OF ECHOES ก็มีฉากสะกดจิตเช่นกัน (แต่ออกมาต่างกันมาก)


ดูละครน้ำเน่าอย่าง “จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า” ประเภทที่นางเอกถูกคนรวยรุมรังแกเหยียดหยาม แล้วก็นึกถึงไปละครน้ำเน่าบางเรื่องที่ชอบมากในอดีต รู้สึกจะมีเรื่องนึงที่นำแสดงโดยพาเมล่า บาวเด้นท์ ไม่แน่ใจว่าใช่เรื่อง “คลื่นซัดใจ” (1992, ชูศักดิ์ สุธีรธรรม) หรือเปล่า สาเหตุที่ทำให้ชอบ “คลื่นซัดใจ” มาก เป็นเพราะว่าละครเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ตัวละครนางเอกผู้แสนดีตบตีกับนางอิจฉา แต่มีตัวละครประเภทนางอิจฉาตบตีกับนางอิจฉาด้วย ถ้าจำไม่ผิด ในละครเรื่องนี้จะมียุ้ย ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี รับบทเป็นนางเอกนิสัยดีตามแบบละครไทย แต่สิ่งที่ทำให้ละครเรื่องนี้น่าสนใจ ก็คือตัวละครที่แสดงโดยพาเมล่า บาวเด้นท์ เพราะในเรื่องนี้เธอรับบทเป็นตัวละครผู้ทั้งน่าสงสารและชั่วร้าย ซึ่งโดยปกติแล้วเราจะไม่ได้เห็นตัวละคร “นางอิจฉาผู้น่าสงสาร” ในละครไทยสักเท่าไหร่ ฉากที่พาเมล่า บาวเด้นท์ตบตีด่าทอกับรัชนก พูนผลินในละครเรื่องนี้เป็นฉากที่ชอบมาก และชอบที่ละครเรื่องนี้มีการสร้างตัวละครที่ให้ความรู้สึกก้ำกึ่งออกมา เพราะตัวละครแบบรัชนกนั้นเป็นนางอิจฉาผู้ชั่วร้ายที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ถูกเกลียดเท่านั้น และเป็นตัวละครที่พบได้ในละครน้ำเท่าทุกเรื่อง แต่ตัวละครแบบพาเมล่า บาวเด้นท์เป็นตัวละครที่เราอาจจะเกลียดเธอเมื่อเธอไประรานตัวละครคนดีคนอื่นๆ แต่ในฉากต่อมา เมื่อเธอถูกคนที่ชั่วกว่ากลั่นแกล้ง หรือเมื่อเธอลุกขึ้นสู้กับคนที่ชั่วกว่าเธอ เราก็พร้อมจะเอาใจช่วยเธอในทันที รู้สึกชอบตัวละครแบบนี้มากที่สามารถทำให้เรารู้สึกเกลียดและเอาใจช่วยเธอสลับกันไปมา

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า “คลื่นซัดใจ” ที่เป็นละครนั้นสร้างมาจากนิยายของกรุง ญ.ฉัตร หรือเปล่า


--ได้ซื้อ “สารกระตุ้น” มาแล้วค่ะ ดีใจมากที่น้อง merveillesxx เขียนถึงหนังเรื่อง OBABA ด้วย

ช่วงที่ผ่านมาได้ซื้อนิตยสารหลายเล่มที่ปกติแล้วไม่ค่อยได้ซื้อ นอกจาก “สารกระตุ้น” แล้ว ก็ได้ซื้อ

1.V3 ฉบับที่ 4 หน้าปกคุณปุ่น

2.THE BIG CHILLI หน้าปก MICHAEL SHAOWANASAI และมีบทสัมภาษณ์คุณไมเคิลในเล่มด้วย
http://www.thebigchillicompany.com/

3.IMAGE ซื้อเพราะชอบหน้าปก

แต่จะพยายามไม่ซื้ออะไรมากกว่านี้แล้ว เพราะเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ชั้นวางนิตยสาร (ที่ทำจากเหล็ก) หักยุบลงมา นิตยสารเลยหล่นลงมากองเกลื่อนห้อง จนถึงตอนนี้ยังไม่มีเวลาไปซื้อชั้นหนังสือใหม่หรือจัดหนังสือใหม่เลย ได้แต่ปล่อยให้นิตยสารวางกองเกลื่อนพื้นห้องไปเรื่อยๆอย่างนั้นแหละ จริงๆแล้วเพิ่งจัดนิตยสารในชั้นไปได้ประมาณ 1 เดือนก่อนที่ชั้นจะหักลงมา เดาว่าที่มันหักลงมาคงเป็นเพราะว่ามันรับน้ำหนักมากเกินไป

นิตยสารในชั้นนี้รวมถึงนิตยสารหลายฉบับที่เคยซื้อในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้แก่ FILMVIEW, STARPICS, CINEMAG, GENERATION TERRORISTS, PULP, BIOSCOPE, FILM COMMENT, FILMMAKER และ MEN’S WORKOUT อยากจะโยนเล่มเก่าๆทิ้งไป แต่ก็ยังตัดใจไม่ได้ อย่างไรก็ดี ในเร็วๆนี้คงต้องเริ่มทยอยโยนเล่มเก่าๆออกไปบ้าง ไม่งั้นห้องดิฉันคงไม่มีอากาศหายใจแน่นอน (เฮ้อ นี่ถ้ามีผัวรวยก็ดีสินะ จะได้มีบ้านมีห้องเอาไว้เก็บหนังสือ)

รู้สึกท้อใจเหมือนกัน เพราะเสียเวลานานกว่าจะจัดนิตยสารในชั้นให้เป็นระเบียบ แล้วทุกอย่างก็พังทลายลงมา แต่ดิฉันภาวนาว่า การพังทลายของชั้นหนังสือในครั้งนี้ ขอให้เกิดจากกรรมเก่าของดิฉันที่เคยเอารังนกไปทิ้ง (ก่อนหน้านั้นมีนกพิราบคู่หนึ่งมาทำรังที่ระเบียงห้องดิฉัน ดิฉันก็เลยจำใจต้องเอารังนกไปทิ้งถังขยะ เพราะได้ยินมาว่าขี้นกพิราบมีเชื้อโรคที่ทำให้คนตายได้) จะได้ชดใช้กรรมเก่าให้หมดๆไป ความรู้สึกของดิฉันที่มีต่อการพังทลายของชั้นหนังสือ คงใกล้เคียงกับความรู้สึกของนกคู่นั้นที่ใช้เวลานานในการเก็บกิ่งไม้มาสร้างเป็นรังนก แล้วอยู่ดีๆก็พบว่ารังที่ตัวเองเพียรพยายามอุตสาหะสร้างขึ้นมาด้วยความลำบากยากเย็นอันตรธานหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

ตอนที่เอารังนกไปทิ้งก็รู้สึกเศร้ามากที่ตัวเองจำเป็นต้องสร้างความทุกข์ให้กับนกเช่นนี้ และกลัวว่าในอนาคตตัวเองอาจจะเจอ “กรรมตามทัน” ที่มาในรูปของบ้านตัวเองถูกไฟไหม้, บ้านถูกปลวกกินจนถล่มลงมา หรือบ้านตัวเองถูกลมพายุพัดปลิวหายวับไป แต่ถ้าหาก “กรรมตามทัน” มาในรูปของชั้นหนังสือพังถล่มลงมา ก็คงจะเป็นเรื่องดีเหมือนกัน และคิดว่ากฎแห่งกรรมคงจะเข้าใจว่าดิฉันจำเป็นต้องเอารังนกไปทิ้งเพื่อความปลอดภัยของชีวิตตัวเอง ไม่ได้เอารังนกไปทิ้งเพราะจิตใจที่มุ่งร้ายต่อนก ผลกรรมก็เลยไม่รุนแรงเกินไปนัก

การไล่นกพิราบออกไปจากห้องของดิฉันทำให้ดิฉันได้จินตนาการตัวเองว่าเป็นตัวละครในหนังด้วยเหมือนกัน เพราะรู้สึกสงสารนกคู่นั้นเป็นอย่างมาก แต่ก็จำใจต้องไล่มันไป และทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวละครในหนังประเภท “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่สอง” รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวละครประเภทชาวบ้านเยอรมัน ที่มีครอบครัวชาวยิวหลบหนีมาและขอมาหลบอยู่ในบ้านของดิฉันเพื่อหนีภัยนาซี แต่ดิฉันก็จำใจต้องไล่ครอบครัวชาวยิวเหล่านั้นไปเพราะเกรงว่าการให้ที่พักพิงแก่พวกเขาจะทำให้ครอบครัวของตัวเองต้องเป็นอันตราย (โฮะๆๆ ดิฉันชอบจินตนาการว่าตัวเองเป็นนางเอกหนังค่ะ)

--อัลบัมของ STEREOLAB แนะนำชุด DOTS AND LOOPS (1997) ค่ะ เพราะเป็นชุดที่ฟังง่ายที่สุดสำหรับดิฉัน ชุดก่อนๆหน้านั้นรู้สึกว่าจะยังมีความเป็นร็อคหรือมีเสียงกีตาร์ปนอยู่บ้างในบางเพลง แต่ตั้งแต่ชุด DOTS AND LOOPS เป็นต้นมา รู้สึกว่าเสียงกร้าวๆแบบเพลงร็อคจะหายไปหมด เหลือแต่เพลงที่ให้อารมณ์ล่องลอย, เบาๆ, สบายๆเท่านั้น

2 comments:

Anonymous said...

วันนี้เพิ่งจะเอารังนกพิราบที่ระเบียงไปทิ้งเหมือนกันเลยครับ
รู้สึกไม่ดีเลย เศร้ามากๆ แต่มันจำเป็นต้องทำจริงๆ

แล้วตอนกลางคืนมันก็บินกลับมานอนที่ระเบียงเหมือนเดิม แต่ว่าไม่มีรังแล้ว

น่าสงสารจัง รู้สึกผิดมากๆ

celinejulie said...

รู้สึกเสียใจด้วยค่ะที่ได้ยินเรื่องของคุณ nut แต่คิดว่าเราก็คงต้องจำเป็นต้องทำ โดยไม่มีทางเลือกอื่น อย่างไรก็ดี หลังจากนี้คุณ nut ก็คงต้องคอยสังเกตเสียงนกที่ระเบียงค่ะ ถ้ามีเสียงนกมาที่ระเบียงอีก ก็จะได้คอยออกไปสังเกตว่ามันเริ่มมาสร้างรังอีกหรือเปล่า แล้วจะได้รีบเอาเศษกิ่งไม้ไปทิ้งตั้งแต่เนิ่นๆ นกจะได้รู้ตัว และจะได้ไม่สร้างรังที่นี่ต่อ

จากประสบการณ์ส่วนตัวของดิฉัน ดิฉันสังเกตว่าหลังจากเอารังนกไปทิ้งในครั้งนั้นแล้ว ในปีถัดมา ก็มีนกจะมาสร้างรังที่ระเบียงของดิฉันอีกค่ะ แต่พอมีเสียงนกมาที่ระเบียงปุ๊บ ดิฉันจะรีบโผล่ออกไปที่ระเบียงทุกครั้ง นกก็จะกลัว แล้วรีบบินหนีไป พอดิฉันทำอย่างนี้บ่อยๆเข้า นกจะไม่โผล่มาที่ระเบียงของดิฉันเอง

คิดว่าชีวิตเราก็คงต้อง live and learn ไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละค่ะ เราอาจจะเสียใจที่ต้องเอารังนกไปทิ้งในครั้งนี้ แต่เราก็สามารถทำให้เหตุการณ์นี้เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเราได้ ด้วยการที่เราเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ แล้วพยายามไม่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในครั้งต่อๆไป :-)