Wednesday, August 02, 2006

THE LAST DAY (PASIT SAJJAPONG, A+)

ตอบน้อง merveillesxx
--ไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ตมานาน 10 ปีแล้วจ้ะ รู้สึกคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายที่ไปดูอาจจะเป็น THE CRANBERRIES เมื่อ 10 ปีก่อน ฮือๆๆ
COPY FROM SCREENOUT WEBBOARD
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=3437&start=3475
--วันนี้ได้ดู NITABOH – THE FOUNDER OF TSUGARU SHAMISEN (2004, AKIO NISHIZAWA, A-) รู้สึกชอบฉากจบของหนังเรื่องนิ้ในระดับ A+ ฉากจบของหนังเรื่องนี้เป็นการประลองดนตรีกัน และให้อารมณ์คล้ายคลึงกับฉากดวลดนตรีใน THE OVERTURE (2004, ITTISOONTORN VICHAILAK, A+) และ THE LEGEND OF 1900 (1998, GIUSEPPE TORNATORE, A-)

--อยู่ดีๆก็นึกขึ้นมาได้ว่า บางทีหนังเรื่อง “วันสุดท้าย” (พสิษฐ์ สัจจพงษ์, A+) ที่ดิฉันนึกเนื้อเรื่องไม่ออกหลังจากเวลาผ่านไป 2-3 วัน บางทีอาจจะเป็นหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะใกล้ตาย แต่ก็พยายามดิ้นรนเก็บเงินเพื่ออนาคตที่ดีของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แต่น่าเสียดายที่คุณแม่คนนี้รักลูกในทางที่ผิด

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหนังเรื่องนี้คือเรื่อง “วันสุดท้าย” หรือเปล่า แต่จำได้ว่าดูหนังเรื่องนึงที่มีเนื้อหาทำนองนี้ และก็ประทับใจมากที่หนังเรื่องนี้ฉีกแนวไปจากหนังสั้นอีกหลายๆเรื่องที่พูดถึงความสัมพันธ์ภายในครอบครัว

อยู่ดีๆก็นึกถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมาได้โดยบังเอิญขณะกินข้าว และอาการ “อยู่ดีๆก็นึกออกขึ้นมาอย่างปุบปับ” เช่นนี้ ทำให้นึกถึงสมัยเรียนมัธยมที่ดิฉันมักจะมีปัญหาอย่างมากกับวิชาคณิตศาสตร์ เวลาทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ ดิฉันมักจะนึกวิธีทำไม่ออกขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ แต่พอมาซักผ้าหรือล้างจาน อยู่ดีๆก็จะนึกขึ้นมาได้ว่าการบ้านเลขแต่ละข้อควรจะตอบยังไงบ้าง

--ตอนนี้เห็น GAEL GARCIA BERNAL มีหนังเรื่องใหม่น่าดูมากๆ นั่นก็คือเรื่อง THE KING (2005,JAMES MARSH) โดยในหนังเรื่องนี้เบร์นาลรับบทเป็นชายหนุ่มที่พาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับครอบครัวของชายเคร่งศาสนา (วิลเลียม เฮิร์ท) และลูกสาวของเขา โดยที่ชายหนุ่มคนนี้อาจจะเป็นลูกนอกกฎหมายของชายเคร่งศาสนา

วิลเลียม เฮิร์ทให้การแสดงที่ยอดเยี่ยมสุดๆในหนังเรื่อง THE KING โดยนักวิจารณ์กล่าวว่า Best of all, Hurt expands on a great American archetype—the neocon mega-dad who's on a mission but lost, holy but poisoned from within, macho but never very sure of what's right.
http://www.a-film.nl/film/poster/RELx550/r0000398.jpg
http://thecia.com.au/reviews/k/images/king-6.jpg
http://thecia.com.au/reviews/k/images/king-4.jpg
http://thecia.com.au/reviews/k/images/king-3.jpg
http://thecia.com.au/reviews/k/images/king-0.jpg

ก่อนหน้านี้ JAMES MARSH เคยกำกับหนังเรื่อง WISCONSIN DEATH TRIP ที่มีขายแล้วในรูปแบบดีวีดี
http://www.amazon.com/gp/product/B0000BWVL3/sr=1-1/qid=1154443819/ref=pd_bbs_1/104-2605584-3683134?ie=UTF8&s=dvd
Inspired by the cult-favorite book by Michael Lesy, Wisconsin Death Trip is an eerily dreamlike film about the moral, spiritual, and physical collapse of a small American town in the 1890s. Stricken by economic depression, harsh winters, and a diphtheria epidemic that decimated the local infant population, the citizens of Black River Falls, Wisconsin--primarily German and Norwegian immigrants hoping for a better life in America--fell victim to a rising tide of insanity, murder, arson, and moral breakdown.
http://ec3.images-amazon.com/images/P/B0000BWVL3.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1063215428_.jpg

--เห็นคุณอ้วนใน SCREENOUT พูดถึงความเป็นนิทานก่อนนอนของ LADY IN THE WATER ซึ่งดิฉันก็ชอบตรงจุดนี้มากเหมือนกัน เพราะความเป็นนิทานก่อนนอนของ LADY IN THE WATER มันดูแปลกๆดี มันไม่ได้นำเทพนิยายมาถ่ายทอดแบบตรงๆเหมือน LORD OF THE RINGS และไม่ได้นำเทพนิยายมาประยุกต์เป็นเรื่องราวสมัยใหม่อย่าง RUNNING SCARED แต่มันนำโลกแห่งเวทมนตร์มาผสมกับเรื่องราวสมัยใหม่เข้าด้วยกันได้อย่างน่าหลงใหล

รู้สึกว่าในหนังยุคหลังๆนี้ จะมีเทพนิยายสอดแทรกหรือได้รับการนำเสนอในรูปแบบต่างๆกันไป อย่างเช่น

1.ใน LOVEAHOLIC หรือ “โคตรรักเอ็งเลย” ความเชื่อเรื่องเจ้าชายขี่ม้าขาวในเทพนิยายอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นางเอกอยากมีชู้

2.ใน A HISTORY OF VIOLENCE หนังเปิดเรื่องด้วยการแสดงให้เห็นว่า “อสุรกาย” มีจริง แม้พ่อแม่จะพยายามปลอบลูกๆว่ามันไม่มีจริง
ไอเดียนี้ได้มาจากการอ่านบทวิจารณ์ของคุณ OLIVER ใน
http://riverdale-dreams.blogspot.com/2006_06_01_riverdale-dreams_archive.html

3.นิทาน SNOW WHITE กับคนแคระทั้งเจ็ด ใน SAD MOVIE

4.นิทาน ALICE IN WONDERLAND ที่สอดแทรกอยู่ใน WHERE THE TRUTH LIES

5.หนังเทพนิยายที่แฝงความหมายทางการเมืองอย่าง ELLA ENCHANTED (2004, TOMMY O’HAVER, A)

6.หนังล้อตัวละครประเภท STEREOTYPE ในเทพนิยายอย่าง SHREK และ HOODWINKED ที่ให้ตัวละครอย่างยักษ์หรือสุนัขจิ้งจอกมาเป็น “ฝ่ายพระเอก” แทนที่จะเป็นฝ่ายผู้ร้าย

7.หนังที่เอาตัวประกอบในเทพนิยายมาเป็นตัวเอก อย่าง CONFESSIONS OF AN UGLY STEPSISTER (2002, GAVIN MILLAR) ที่ชอบมาฉายทางเคเบิลทีวี
http://www.imdb.com/title/tt0267384/

8.หนังที่ประยุกต์เทพนิยายมาเป็นเหตุการณ์ปัจจุบันแบบ RUNNING SCARED อาจจะรวมถึง DANCE ME TO MY SONG (ROLF DE HEER, A+) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสาวพิการที่ถูกนางพยาบาลใจร้ายกลั่นแกล้งอย่างรุนแรง เหมือนซินเดอเรลล่าที่ถูกพี่เลี้ยงกลั่นแกล้ง
http://www.imdb.com/title/tt0154378/

--ล่าสุดเห็นบทความของคุณเต้ใน BIOSCOPE เล่มใหม่ มีพูดถึงนิทานสาวน้อยหมวกแดงในหนัง 3 เรื่องด้วย :-)

No comments: