KLOSE (2016, Asamaporn Samakphan,
40min, A+30)
1.ชอบมากที่หนังเฉลยตั้งแต่ช่วงต้นเรื่องว่า พระเอก...
แทนที่จะนำเรื่องนี้มาใช้เป็นจุดหักมุมหรือ surprise ในช่วงหลังของหนัง
2.ชอบการเล่นกับความแตกต่างของ texture ของภาพ ระหว่างภาพในอดีตที่เหมือนถ่ายด้วยกล้องแบบ video diary กับภาพของเหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน
ถ้าจำไม่ผิด KLOSE เป็นหนึ่งในหนังไทยไม่กี่เรื่องที่เอาจุดนี้มาใช้ในการพูดถึง “เพื่อน” นะ เพราะหนังไทยส่วนใหญ่ที่เล่นกับความแตกต่างด้านภาพวิดีโอยุคเก่ากับภาพยุคปัจจุบันแบบนี้
มักจะเป็นหนังที่พูดถึง “ครอบครัว” น่ะ
อย่างเช่นหนังเรื่อง “เจ้าแม่กวนอิม เราจะไม่ทานเนื้อ”
HOME USER (2015, Wanruedee Pungkuamchob), MY GRANDFATHER’S PHOTOBOOK (2015,
Nutthapon Rakkatham + Phatthana Paiboon) และ 83 SOI
SOONVIJAI 14 (2016, ธีร์ธวัช ใต้ฟ้ายงวิจิตร)
3.จริงๆแล้วเราไม่ได้อินกับหนังเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว
เราก็เลยอาจจะไม่ได้รู้สึกอินกับฉากการสนทนายาวๆในช่วงท้ายของหนังมากนัก
แต่ถึงแม้เราจะไม่ได้อินกับฉากการสนทนายาวๆนี้ เราก็ชอบที่หนังมันกล้าจะที่ถ่ายทอดฉากนี้ออกมายาวๆโดยไม่ได้เร้าอารมณ์คนดู
มันเหมือนกับว่ามันมีความรู้สึกรุนแรงที่อยากถ่ายทอดออกมา
มันก็ถ่ายทอดออกมาอย่างจริงใจ แทนที่จะถ่ายทอดออกมาโดยการตั้งเป้าว่า “ฉันต้องทำให้คนดูร้องไห้ให้ได้ ” เหมือนหนังทั่วไป
เรารู้สึกว่าหนังถ่ายทอดความรู้สึกสูญเสีย ,
ความรู้สึกผูกพันระหว่างตัวละครออกมาได้สูงมาก
ซึ่งจุดนี้ทำให้เรานึกถึงหนังอีกเรื่องนึงที่แตกต่างจากหนังเรื่องนี้มากๆ
ซึ่งก็คือเรื่อง MR. MAGORIUM’S WONDER EMPORIUM (2007, Zach Helm) สาเหตุที่นึกถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเพราะว่า เราไม่อินกับ MR.
MAGORIUM เหมือนกัน แต่เรารู้สึกว่าทั้ง MR. MAGORIUM และ KLOSE มันมีการถ่ายทอดความรู้สึกสูญเสียของตัวละครคนนึงที่ผูกพันกับตัวละครอีกคนนึงออกมาได้อย่างรุนแรงมากๆเหมือนกัน
4.ไปๆมาๆแล้ว ฉากที่เราชอบมากที่สุดในหนัง คือฉากที่นางเอกพยายามไปปีนรั้วโรงเรียนทั้งๆที่เจ็บแผล
แล้วพระเอกต้องคอยเตือนสติว่าอย่าทำอย่างนั้น
คือความรู้สึกชอบของเราที่มีต่อฉากนี้
มันคล้ายๆกับความรู้สึกชอบของเราที่มีต่อฉากนางเอกใน “303 กลัว กล้า อาฆาต” (1998, Somjing Srisupap) ที่ปีนตึกขึ้นไปเรื่อยๆหลังจากเพื่อนตาย
กับฉากนางเอกใน MADELEINE (2015, Lorenzo Ceva Valla + Mario Garofalo) ที่เดินเท้าเปล่าเป็นระยะทางยาวไกลเพื่อเข้าเมือง
ทั้งๆที่จริงๆแล้วนางเอกไม่จำเป็นต้องเดินเท้าเปล่าแบบนั้นก็ได้
คือ 3 ฉากนี้มันเหมือนกับว่าตัวละครหญิงถูกขับด้วยแรงผลักดันบางอย่างในใจของตัวเองน่ะ
และแรงผลักดันนั้นมันทำให้ตัวละครกระทำอะไรบางอย่างที่ขัดกับหลักเหตุผลโดยสิ้นเชิง
คือตัวละครในทั้ง 3 ฉากนี้ทำในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล
หรือไม่สมควรทำ แต่เราดูแล้วรู้สึก “เข้าใจ” เป็นอย่างดีว่าตัวละครรู้สึกอย่างไรถึงทำในสิ่งที่ขัดกับเหตุผลแบบนี้
1.ชอบมากที่หนังเฉลยตั้งแต่
2.ชอบการเล่นกับความแตกต่าง
ถ้าจำไม่ผิด KLOSE เป็นหนึ่งในหนังไทยไม่กี่เร
3.จริงๆแล้วเราไม่ได้อินกับ
เรารู้สึกว่าหนังถ่ายทอดควา
4.ไปๆมาๆแล้ว ฉากที่เราชอบมากที่สุดในหนั
คือความรู้สึกชอบของเราที่ม
คือ 3 ฉากนี้มันเหมือนกับว่าตัวละ
No comments:
Post a Comment