Thursday, November 30, 2017

WORD IS OUT

WORD IS OUT (1977, Nancy Adair, Andrew Brown, Rob Epstein, documentary, 135min,  A+30)

คลาสสิคจริงๆ หนังสารคดีเรื่องนี้นำเสนอบทสัมภาษณ์เกย์และเลสเบียน 26 คนในสหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษ 1970 ตัดสินไม่ได้จริงๆว่าเรื่องของใครหนักที่สุดหรือน่าประทับใจที่สุด เพราะเรื่องราวของแต่ละคนก็น่าสนใจมากๆ

เราว่าหนังเรื่องนี้ยิ่งมีคุณค่ามากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป เพราะมันได้จดบันทึกไว้ว่าเกย์และเลสเบียนในอดีตเคยมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน, ขมขื่น หรือเผชิญกับการกดขี่ข่มเหงมากเพียงใด เพราะชีวิตของหลายคนในหนังเรื่องนี้มันแตกต่างจากในยุคปัจจุบันมาก บางคนในหนังเรื่องนี้ถูกจับส่งเข้าโรงพยาบาลบ้าเพียงเพราะเขาเป็นเกย์และเลสเบียน และหลายคนต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมากๆ เพราะพวกเขาไม่รู้จักเกย์หรือเลสเบียนคนอื่นๆในชุมชนของตนเองเลย ซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นเพราะยุคนั้นหลายคนใช้ชีวิตแบบปกปิดความจริง และยุคนั้นมันยังไม่มี internet ซึ่งจะช่วยให้เกย์ที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวหลายคนมีช่องทางในการติดต่อพูดคุยกับเกย์คนอื่นๆได้

มันน่าดีใจมากๆที่โลกเราในปัจจุบันนี้พัฒนาไปมากแล้ว ทั้งในเรื่องสิทธิเกย์, สิทธิคนดำ และสิทธิสตรีเมื่อเทียบกับ 50 ปีก่อน (ยกเว้นเสรีภาพในการแสดงออกในไทยที่ยังไม่ได้พัฒนาไปไหน) เพราะในปัจจุบันนี้หลายประเทศก็มีกฎหมายให้เกย์แต่งงานกันได้ และรับลูกบุญธรรมมาเลี้ยงได้แล้ว นายกรัฐมนตรีของประเทศในยุโรปบางประเทศก็เป็นเกย์และเลสเบียนอย่างเปิดเผย คือยุคปัจจุบันนี้ชีวิตเกย์มันดีกว่าเมื่อ 50 ปีก่อนมาก หนังสารคดีเรื่องนี้ก็เลยมีคุณค่ามากๆในการทำให้เราไม่ลืมว่า กว่าที่เราจะลืมตาอ้าปากได้แบบในปัจจุบันนี้ คนรุ่นก่อนหน้าเราเคยเจอกับการกดขี่ข่มเหงอย่างไรบ้างจากสังคม

เรื่องที่เราชอบมากๆในหนังเรื่องนี้ก็มีเช่น

1.เรื่องของเลสเบียนที่ถูกพ่อแม่จับเข้าโรงพยาบาลบ้า

2.เรื่องของเกย์หนุ่มหล่อคนนึง ที่แต่งงานมีเมีย แต่เขาแอบรักกับโจที่แต่งงานและมีเมียเช่นกัน จนวันนึงเมียของเขาทนไม่ไหว ก็เลยโทรศัพท์ไปหาเมียของโจ แล้วบอกว่า “ถ้าโจต้องการผัวกู ก็มาเอาไปได้เลย” อะไรทำนองนี้

3.เรื่องของเกย์ที่เล่าว่า ตอนเขาอายุ 14 ปี เขาออกล่าผู้ชายอายุราว 30 ปีเป็นประจำ และเขารู้สึกขำมากกับกฎหมายที่ทำเหมือนกับว่า เด็กอายุ 14-15 ปีเป็น “เหยื่อ” เพราะจริงๆแล้วตัวเขาตอนอายุ 14-15 ปีนั้น มีสถานะเป็น “ผู้ล่า” ต่างหาก

4.Nathaniel Dorsky ผู้กำกับหนังทดลองชื่อดัง ก็ให้สัมภาษณ์ด้วย เราชอบมากที่เขาบอกว่า การได้แสดงออกอย่างเสรีถึงรสนิยมทางเพศของตัวเอง ทำให้เขาเป็น “human” เพราะถ้าเขามัวแต่ต้องปกปิดความจริงเรื่องที่ว่าเขาเป็นเกย์ เขาก็จะกลายเป็น “object of hysteria” แทนที่จะเป็น Human

5.เลสเบียนช่างประปาที่รักกับเลสเบียนช่างไฟฟ้า คือสองคนนี้ไม่ได้มีอาชีพเป็นช่างประปากับช่างไฟฟ้านะ แต่เหมือนสองคนนี้แบ่งงานกันทำ และพัฒนาทักษะต่างๆจนสามารถพึ่งพาตัวเองได้หมดในการสร้างบ้านที่ไหนก็ได้ อะไรทำนองนี้

6.เรื่องของเลสเบียนทหารหญิงในกองทัพ คือเธอเล่าว่ามีเลสเบียนในกองทัพเยอะมาก แต่อยู่ดีๆในช่วงราวทศวรรษ 1950 กองทัพสหรัฐก็กวาดล้างเลสเบียน และไล่เลสเบียนออกจากกองทัพหมดเลย แถมยังมีการไต่สวน ให้แต่ละคนป้ายความผิดซึ่งกันและกันด้วย

7.เรื่องของผู้หญิงที่ทำงานเป็น babysitter แล้วก็เลยได้แม่ของเด็กเป็นแฟน โดยทั้งสองต่างก็เคยมีสามีและหย่ากับสามีมาแล้ว

8.เรื่องของหนุ่มเอเชีย ที่เคยดูหนังในโรง แล้วมีชายหนุ่มมานั่งข้างๆ แล้วเอาขามาสีกัน ถูไถกันจนเกิดอารมณ์

9.เรื่องของเกย์วัยชราที่เล่าว่าเขาเบื่อทศวรรษ 1930 มาก เพราะในยุคนั้นผู้ชายต้องสร้างภาพลักษณ์ตัวเองให้เหมือน Gary Cooper และ Clark Gable ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าเบื่อมากๆสำหรับเกย์

10.เรื่องของเลสเบียนวัยชราที่เกิดในปี 1898 เธอเล่าว่าเวลาเธออยู่คนเดียวท่ามกลางธรรมชาติ เธอไม่รู้สึกโดดเดี่ยว แต่เวลาที่เธออยู่ท่ามกลางฝูงชนหลายๆคน เธอถึงจะรู้สึกโดดเดี่ยว

เราชอบมากๆที่เธอตั้งคำถามว่า ผู้กำกับหนังสารคดีเรื่องนี้พยายามจะเอาคนที่ถูกสัมภาษณ์ไป fit ใน frame หรือใน structure อะไรหรือเปล่า ซึ่งเรารู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่สำคัญ เพราะถ้าหากผู้กำกับหนังสารคดีเรื่องนี้มุ่งมั่นแต่จะนำเสนอประเด็นเรื่อง “สิทธิเกย์” เขาก็จะละเลยแง่มุมความเป็นมนุษย์อื่นๆของตัวผู้ถูกสัมภาษณ์ไป แต่ถ้าหากผู้กำกับหนังเรื่องนี้ไม่พยายามจะบีบอัดผู้ถูกสัมภาษณ์ให้เข้ากับ frame หรือ structure ที่ตัวเองวางไว้ ผู้ถูกสัมภาษณ์ก็จะได้รับอนุญาตให้เป็นมนุษย์จริงๆ แทนที่จะเป็นเพียงแค่ สิ่งที่มารองรับ “ประเด็น” เท่านั้น

เราก็เลยชอบมากที่หนังเรื่องนี้มีฉากเลสเบียนตัดต้นไม้อะไรทำนองนี้ด้วย มันช่วยให้หนังเรื่องนี้บรรจุมนุษย์จริงๆเอาไว้ด้วย แทนที่จะพยายามลดทอนผู้ถูกสัมภาษณ์ให้เป็นเพียงเครื่องมือในการนำเสนอประเด็นของผู้กำกับหนัง
                                    
HAPPY DEATH DAY (2017, Christopher Landon, A+30)

อยากเอาหนังเรื่องนี้มารีเมคใหม่เป็นหนังเกย์ พระเอกไม่รู้ชื่อฆาตกร, ไม่รู้หน้าฆาตกร แต่เขาเห็นจู๋ฆาตกรก่อนที่เขาจะถูกฆ่าตาย เขาจำความยาวของจู๋และลักษณะทุกอย่างของจู๋ฆาตกรได้ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่พระเอกตื่นขึ้นมาใหม่ เขาจะต้องค้นหาให้ได้ว่า หนุ่มคนไหนกันแน่ในมหาลัยที่เป็นเจ้าของจู๋อันนั้น ส่วนคำโปรยบนโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ก็คือ “I don’t know your name. I don’t know your face. But I definitely remember your dick.”



No comments: