Thursday, March 01, 2018

THAIBAN THE SERIES 2.1


THAIBAN THE SERIES 2.1 (2018, Surasak Pongson, A+30)

จริงๆแล้วชอบภาคสองมากกว่าภาคแรกนะ เพราะชอบที่ “ไม่มีใครเป็นตัวประกอบของใคร” น่ะ คือภาคแรกมันมี “พระเอก นางเอก” ชัดเจนแบบหนังทั่วไป แต่พอภาคสองนี่ตัวละครที่มันเคยเป็นแค่ตัวประกอบในภาคแรก มันเริ่มมีชีวิตที่เป็นตัวของตัวเองจริงๆแล้ว โดยไม่ต้องมาคอยรองรับ support ใดๆพระเอกนางเอกในภาคแรกอีก มันก็เลยเป็นหนังที่เข้าทางเรามากขึ้น

เหมือนเราชอบหนัง/ละครทีวีที่ตัวละครทุกตัวมีปัญหาเหี้ยห่าของตัวเองน่ะ ไม่ใช่แค่มีพระเอก-นางเอกเป็นศูนย์กลาง แล้วปัญหาชีวิตของตัวละครประกอบไม่สำคัญ เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบละครทีวีแบบ MELROSE PLACE ที่ชีวิตของตัวละครแต่ละตัวสลับกันเผชิญกับความชิบหายในทุกๆ 5 นาที หรือชอบนิยายแบบ VANITY FAIR ที่ตัวละครประกอบมันเยอะมาก และแต่ละตัวก็มีปัญหาเหี้ยห่าของตัวเอง

ในส่วนของหนังเรื่องนี้นั้น เราอินกับเส้นเรื่องของป่องมากสุดนะ เพราะเรามักจะอินกับ “การทำงาน” มากกว่า “ความรัก” ในหนังทั่วๆไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่หนังภาคสองไม่ได้โฟกัสไปที่เรื่องรักๆใคร่ๆของตัวละครเพียงอย่างเดียว แต่มีตัวละครที่มีปัญหาเรื่องการทำงานด้วย ก็เลยทำให้เราไม่ดีดตัวออกห่างจากหนังเรื่องนี้มากนัก

ชอบเส้นเรื่องของคนบ้าด้วย เราว่ามันน่าสนใจดี  

สรุปว่าชอบมากที่หนังมัน treat ตัวละครหลายๆตัวเหมือนเป็นคนจริงๆมากกว่าหนังทั่วไป

WINCHESTER (2018, The Spierig Brothers, A+5)

หนังไม่น่ากลัวเลย แต่สิ่งที่พอช่วยพยุงหนังไว้ได้สำหรับเราคืออารมณ์ “ดราม่า” และการแสดงดีๆน่ะ เหมือนกับว่าตัวละครหลักแต่ละตัวมีปมเจ็บปวดอะไรทำนองนี้ และพอหนังให้น้ำหนักกับอารมณ์ดราม่าเหล่านี้ เราก็เลยพอ enjoy มันได้บ้าง

เราว่าในแง่บรรยากาศ หนังเรื่องนี้ยังสู้หนังอย่าง CRIMSON PEAK (2015, Guillermo del Toro) และหนังสยองขวัญของ Roger Corman ไม่ได้น่ะ

สรุปว่าได้ดูหนังของ The Spierig Brothers มา 5 เรื่อง (WINCHESTER, JIGSAW, PREDESTINATION, UNDEAD, DAYBREAKERS) เราก็รับได้หมดทุกเรื่องนะ แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนที่ชอบสุดๆแบบ PREDESTINATION (2014) เลย น่าเสียดายมาก

PHANTOM THREAD (2017, Paul Thomas Anderson, A+30)

1.ดูไปตั้งแต่วันพฤหัสที่ 22 ก.พ. ปรากฏว่าหลับไป 20 นาทีแรก 555 ตื่นขึ้นมาดูต่อก็ชอบสุดๆ แต่ตั้งใจไว้ว่าเอาไว้ดูรอบสองแล้วค่อยเขียนดีกว่า ปรากฏว่าวันที่ 23-25 ก.พ.เราป่วยหนัก และตอนนี้ก็มีหนังค้างคาให้ดูอีกเยอะมากๆ ก็เลยคิดว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้ดูรอบสองในเร็วๆนี้แล้วล่ะ 555

จากการดูไปแบบพลาด 20 นาทีแรก เราก็พบว่า มันเป็นหนังที่งดงามสุดๆ ชอบการเคลื่อนกล้อง การแสดง อะไรต่างๆ แต่มันเป็นหนังที่เรา admire แต่ไม่อินน่ะ เพราะเราเกลียดพระเอก เกลียดนางเอก 555 (หมายถึงเกลียดนิสัยคนแบบนี้น่ะ แต่ชอบการแสดงของนักแสดงอย่างสุดๆ) แต่ชอบพี่สาวพระเอก คือเหมือนอย่างที่เราเขียนไว้ในไทบ้านเดอะซีรีส์ 2.1 น่ะ ว่าเรามักจะอินกับ “การทำงาน” มากกว่า “ความรัก” ในหนัง เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่อินกับความรักของพระเอก-นางเอก หรือการเล่นเกมอำนาจอะไรของพวกมันมากนัก แต่อินกับตัวพี่สาวพระเอก เพราะเธอไม่ต้องมาพะวงกับเรื่องรักๆใคร่ๆในชีวิตเธอ เธอต้องทำงาน และเธอก็ดูตั้งอกตั้งใจทำงานดีมาก

2.ปรากฏว่าฉากที่ค้างอยู่ในหัวเรา แล้วเอาออกไปจากหัวไม่ได้ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา คือฉากที่พี่สาวพระเอก เดินไปบอกคนงานแต่ละคนให้ช่วยทำงานอยู่ดึกๆดื่นๆในคืนนี้นะ เพราะต้องตัดเย็บชุดเจ้าสาวของเจ้าหญิงเบลเยียมให้ทัน ไม่รู้ทำไมเราอินกับฉากนี้มากที่สุดในหนัง หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะว่า วันๆในหัวเราไม่ได้คิดถึงเรื่อง “ทำไงถึงจะทำให้เขารักเรา” แต่วันๆในหัวเราคิดแต่เรื่อง “เมื่อไหร่กูจะตายเสียที เพราะกูขี้เกียจทำงาน” มั้ง 555 เราก็เลยอินกับฉากนี้มากที่สุดในหนัง

3.ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเราไม่อินกับ “ผัวเมียละเหี่ยใจ” (หรือผัวเมียที่ความสัมพันธ์มีอะไรบางอย่างวิปริต) ในหนังเรื่องนี้มากเท่าที่ควร ทั้งๆที่ในแง่นึงมันเทียบได้กับ “ผัวเมียละเหี่ยใจ” ในหนังของ Claude Chabrol หลายเรื่องที่เราชอบสุดๆ อย่างเช่น THE UNFAITHFUL WIFE (1969) เราก็เลยเดาว่า มันอาจจะเป็นที่ท่าทีของหนังมั้ง คือหนังของ Claude Chabrol จะนำเสนอตัวละครผัว-เมียที่รักกันโดยมีอะไรบางอย่างวิปริต ด้วยสายตาที่เย็นชาหรือเยาะหยันเล็กน้อยน่ะ แต่ PHANTOM THREAD นำเสนอด้วยสายตาโรแมนติก แต่พอดีเราไม่ได้โรแมนติกไปกับตัวละครคู่นี้ด้วย อารมณ์ของเราก็เลยไม่ได้สอดคล้องกับหนังเรื่องนี้มากเท่ากับหนังของ Claude Chabrol

No comments: