Saturday, March 23, 2019

DOUBTING THOMAS (2018, Will McFadden, A+30)


DOUBTING THOMAS (2018, Will McFadden, A+30)

1.รักหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ ดูแล้วนึกถึง SHADOWS (1958, John Cassavetes) กับ SECRETS AND LIES (1996, Mike Leigh) นึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นภาคสามใน unintentional trilogy เกี่ยวกับ interracial relationship ชุดนี้ เพียงแต่ว่า DOUBTING THOMAS อาจจะไม่มีความคมคายทางศิลปะภาพยนตร์มากเท่ากับอีกสองเรื่องก่อนหน้า แต่ในแง่ความซาบซึ้งตรึงใจของเราแล้วมันพอเทียบกันได้ และรู้สึกว่าตัวละครในหนัง 3 เรื่องนี้ จริงๆแล้วมันมีความเชื่อมโยงกันโดยไม่ได้ตั้งใจ

2. รู้สึกว่าตัวละครพระเอกคนขาวใน DOUBTING THOMAS มีความน่าสนใจสำหรับเรามากกว่าพระเอก/ตัวละครนำชายผิวขาวผู้ก้าวข้ามการเหยียดสีผิว "ได้อย่างง่ายดาย" ในหนังอย่าง GUESS WHO (2005, Kevin Rodney Sullivan),  GREEN BOOK (2018, Peter Farrelly และ BLINDSPOTTING (2018, Carlos López Estrada) เสียอีก และน่าสนใจกว่าตัวละครพระเอกคนขาวที่ก้าวข้ามการเหยียดสีผิวได้อย่างยากลำบากใน AMERICAN HISTORY X (1998, Tony Kaye) ด้วย แต่คำว่า "น่าสนใจ"ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า พระเอกของ DOUBTING THOMAS เป็น "คนดี" ที่สุดในกลุ่มนี้นะ เพราะคนที่ดีที่สุด หรือน่าเอาเป็นผัวมากที่สุดในกลุ่มนี้ ก็คือพระเอก GUESS WHO นั่นแหละ

ความน่าสนใจของพระเอก DOUBTING THOMAS ก็คือ "ความเทา" หรือความก้ำกึ่งของเขาน่ะ ใจเขาไม่ได้ใสแบบพระเอก GUESS WHO และ GREEN BOOK และใจเขาก็ไม่ได้มืดแบบพระเอก AMERICAN HISTORY X แต่เขามีความเป็นปุถุชนมากในแบบที่เราอินด้วย เพราะเขาคิดว่าตัวเองเป็น “คนดี” และ “พยายามทำดี” แต่พอเขาเจอ “บททดสอบของชีวิต” เขาถึงพบว่าตัวเองมีความเปราะบาง มีข้อบกพร่อง, มี “ปีศาจร้าย” ซ่อนอยู่ในใจ หรืออาจถูกอำนาจฝ่ายต่ำเข้าครอบงำได้ในบางขณะ

3.คือจริงๆแล้วสาเหตุที่ชอบ DOUBTING THOMAS อย่างรุนแรงมากๆ เป็นเพราะดูแล้วนึกถึงลักษณะนิสัยของตัวเอง และประสบการณ์ชีวิตของตัวเองน่ะแหละ และนึกถึงหนังอีกสองเรื่องที่ชอบสุดๆด้วย ซึ่งก็คือ
ANAIS (2013, Julie Benegmos, France) และ DEVIL (2018, Kshitij Sharma, India) เพราะนางเอกของ ANAIS และ DEVIL นั้น ก็เริ่มต้นด้วยการเป็น “คนดี” “พยายามทำดี” และ “มีความเป็นแม่พระ” อยู่ในตัว แต่บางที “การพยายามทำดี” ของคนบางคน มันก็ฝืนตนเองมากเกินไป และพอพวกเขาเจอบททดสอบของชีวิตเข้าจริงๆ พวกเขาก็พบว่า ที่พวกเขาอาจจะเคยคิดว่าตนเองเป็น “แม่พระ” , “พ่อพระ” หรือพยายามจะเป็นพ่อพระหรือแม่พระนั้น มันกลับทำให้พวกเขาได้พบว่า จริงๆแล้วพวกเขามีปีศาจร้ายซ่อนอยู่ในจิตใจตนเองต่างหาก

คือในช่วงแรกของ DOUBTING THOMAS นั้น พอพระเอกกับนางเอกซึ่งเป็นคนขาว คลอดลูกออกมาเป็นคนดำ นางเอกก็ถามพระเอกว่า จะทดสอบ DNA ไหม พระเอกก็ตอบว่า ไม่ เพราะเขาเชื่อใจภรรยาของเขาเอง

ตอนแรกนั้น เราก็รู้สึกว่า ถ้าหากเราเป็นพระเอก เราก็คงจะทดสอบ DNA ไปเลย เพราะเราเกลียด “ความลังเลสงสัย” มาก คือเราเป็นคนที่ในบางสัปดาห์เราไปโรงพยาบาลถึง 4 ครั้งต่อสัปดาห์น่ะ เพราะถ้าหากเรากังวลนิดๆหน่อยๆว่าเราจะเป็นโรคอะไร เราต้องรีบเข้าโรงพยาบาลไปตรวจให้รู้ผลโดยเร็วที่สุดเลย เพราะเราพบว่า ถ้าหากเราไม่รีบตรวจให้รู้ผล ใจเรามันจะกังวลตลอดเวลาว่า กูเป็นโรคนู้นโรคนี้หรือเปล่า และในเมื่อ “เหตุแห่งทุกข์” คือ “ความลังเลสงสัย ความกังวลใจ” เราก็ต้องรีบดับเหตุแห่งทุกข์ด้วยการขจัดความลังเลสงสัยโดยเร็วที่สุด

เพราะฉะนั้นพอพระเอกตัดสินใจไม่ตรวจ DNA ในช่วงต้นเรื่อง เราก็เลยรู้สึกว่าพระเอกโง่มาก แต่พอเราดูหนังจนจบเรื่อง เรากลับพบว่าพระเอกหนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงประสบการณ์ชีวิตตนเองในอดีตมากๆ เพราะเรารู้สึกว่า การที่พระเอกไม่ยอมตรวจ DNA ในช่วงต้นเรื่องนั้น มันเหมือนกับการที่เขารู้สึกว่า “ผู้ชายที่ดีควรเชื่อมั่นและไว้วางใจในภรรยาและเพื่อนของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม” น่ะ คือเขาอยากจะเป็น “คนดีตามความเชื่อของเขา” น่ะ เขามองว่า “คนที่เขาควรเป็น” “สามีแบบที่เขาควรจะเป็น” มันควรจะต้องเป็นคนที่คิดแบบนี้และทำแบบนี้ ต้องไว้วางใจภรรยาแบบนี้ ต้องเลี้ยงลูกผิวดำโดยไม่สงสัย ต้องปฏิบัติต่อคนผิวดำทุกคนอย่างดีงาม ฯลฯ และเขาก็เลยพยายามจะเป็น “คนที่ดีตามความเชื่อของเขา” ไปเรื่อยๆน่ะ โดยไม่ได้มองว่ามันฝืนตนเองเกินไปหรือเปล่า มึงไม่ต้องพยายามทำตัวเป็นพ่อพระผู้ใสสว่างกระจ่างใจมล หรือตั้งเกณฑ์ให้สูงเกินไปสำหรับตนเองก็ได้ คือเรารู้สึกว่าเขาฝืนพยายามจะทำตัวเป็น “สามีผู้แสนดี” ผู้ไว้เนื้อเชื่อใจภรรยาของตนเองมากเกินไปในช่วงต้นเรื่องน่ะ และการทำแบบนั้นมันเลยทำให้เกิดการดีดกลับที่รุนแรงมากตามมา เพราะเขาไม่สามารถทำใจตัวเองให้ใสสว่างปราศจากความกังขาได้ แบบที่เขาตั้งใจไว้ในตอนแรกๆ

คือในอดีตเมื่อ 20-30 ปีก่อน เราก็เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้น่ะ เหมือนเราพยายามจะทำตัวเป็น “นางเอก” หรือพยายามจะทำตัวเป็นคนดีตามความเชื่อของเราเอง ฉันต้องรักเพื่อน ฉันต้องให้อภัยเพื่อน ฉันต้องไม่คิดมาก ฯลฯ แต่ไอ้การพยายามจะทำตัวเป็น “นางเอกตามความเชื่อของตนเอง” นี่แหละ ที่มันทำให้เกิดการดีดกลับที่รุนแรงมากตามมา และทำให้ชีวิตชิบหายในที่สุด เหมือนการที่เราพยายามพร่ำบอกตนเองว่า “ฉันต้องไม่คิดมาก” อะไรทำนองนี้ ไปๆมาๆมันเหมือนเป็นการเก็บกดความลังเลสงสัย และความเกลียดชังให้ฝังลึกเข้าไปในใจตนเองเรื่อยๆโดยที่เราไม่รู้ตัว และในวันนึงไอ้ความลังเลสงสัยและความเกลียดชังที่เราเก็บกดเอาไว้มันจะปะทุเป็นภูเขาไฟระเบิดออกมาได้

จุดนี้ก็เลยทำให้รักหนังเรื่อง DOUBTING THOMAS อย่างสุดๆ เพราะกูก็เป็นคนประเภทเดียวกับพระเอกนี่แหละ และทำให้นึกถึงนางเอก ANAIS กับ DEVIL ด้วย โดยนางเอก ANAIS นั้นเป็นสาวชนชั้นกลางที่วันนึงก็ตัดสินใจไปช่วย “หญิงไร้บ้าน” ผู้ทุกข์ยาก แต่ไปๆมาๆนางเอกกลับพบว่า ตนเองรู้สึก “ไม่ไว้วางใจ” และ “รังเกียจ” หญิงไร้บ้านคนนั้น แต่นางเอกก็พยายามแสดงออกทางภายนอกทุกอย่างอย่างดีที่สุด อย่าง politically correct ที่สุด และพยายามเก็บความไม่ไว้วางใจและความรังเกียจคนจนไว้ภายในใจ

คือมันเหมือนกับว่า นางเอก ANAIS คิดว่าตนเองเป็น “แม่พระ” หรืออยากจะเป็น “แม่พระ” หรือ “อยากจะทำตัวเป็นคนดีตามมาตรฐานของตนเองและมาตรฐานของสังคม” น่ะ แต่จริงๆแล้วมันฝืนตัวเธอเองมากเกินไป เธอรู้แหละว่า ตัวเธอควรคิด, พูด และทำอย่างไร และเธอก็พยายามพูดและทำไปตามสิ่งที่เธอคิดว่าควรทำ แต่  “มโนกรรม” ในใจเธอนั้น เธอคุมมันไม่ได้อย่างที่เธอคิด มันมีปีศาจร้าย มีความรังเกียจคนจนแฝงซ่อนในใจเธออยู่ และมันก็ผุดออกมาเมื่อเธอเจอกับบททดสอบ เธอพยายามจะเป็นแม่พระ และเธอก็พบว่าจริงๆแล้วมีปีศาจร้ายอยู่ในใจเธอ

นางเอกของ DEVIL (MAUPASSANT’S LE DIABLE) ก็เหมือนกัน คือเธอเริ่มต้นเรื่องมาด้วยความเป็นคนเข้มแข็ง จิตใจดีงาม ไม่ยอมสยบต่อใครง่ายๆ แต่พอเธอเจอบททดสอบของชีวิตเข้าจริงๆ เธอก็พบว่าตัวเธอเองไม่ได้เป็นแม่พระ แต่เธอนี่แหละคือปีศาจ ซึ่งตัวเธอเองก็คงไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเหมือนกัน ว่ามันมีปีศาจร้ายซ่อนอยู่ในใจเธอ

เราก็เลยรักหนังเรื่อง DOUBTING THOMAS, ANAIS และ DEVIL (MAUPASSANT’S LE DIABLE)  อย่างสุดๆ เพราะเราว่านี่แหละคือ “มนุษย์ปุถุชน” ที่เราสนใจ และที่เรา identify ด้วยได้มากกว่าตัวละครพระเอกนางเอกที่ดีงามในหนังเรื่องอื่นๆ มันคือตัวละครที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี มันคือคนที่พยายามจะทำดี แต่ในที่สุดก็ได้เรียนรู้ว่า มนุษย์เรามันเปราะบาง มันมีข้อบกพร่องอยู่ในตัว มันมีขีดจำกัดที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน และเราไม่ต้องฝืนทำดีมากเกินไปจนเลยพ้นขีดจำกัดหรือฐานจิตของตนเองก็ได้ เพราะถ้าเราพยายามฝืนทำดีมากเกินกว่าที่ฐานจิตของตนเองจะรับไหว ในที่สุดเราก็จะถูกปีศาจร้ายเข้าครอบงำใจเรา

4.ร้องไห้ให้กับการแสดงของ Melora Walters ในหนังเรื่องนี้ เธอแสดงได้ยอดเยี่ยมมากๆ

5.ถึงแม้เราจะเข้าข้างตัวละครพระเอกของ DOUBTING THOMAS แต่เราก็เข้าใจนางเอกและเพื่อนผิวดำของพระเอกนะ คือถ้าเราเป็นนางเอกหรือเป็นเพื่อนของพระเอก เราก็คงตัดสินใจไม่เหมือนกับตัวละครสองตัวนี้เช่นกัน แต่เราก็เข้าใจว่าทำไมตัวละครสองตัวนี้ถึงตัดสินใจแตกต่างจากเรา  เพราะตัวละครสองตัวนี้ไม่ใช่เรา เขาก็ย่อมมีความเจ็บปวด, มีประสบการณ์ชีวิต, มีการตั้ง “เกณฑ์มาตรฐาน” ว่าสามีที่ดีและเพื่อนที่ดีควรเป็นอย่างไร ในแบบที่แตกต่างจากเรา








No comments: