Monday, April 01, 2019

SOLARIS AND SYPHILIS


SYPHILIS (2019, Jerdtanee Kengkrajai, 169min, A+30)

1. Jean-Luc Godard เคยเขียนว่า “There are several ways of making films. Like Jean Renoir and Robert Bresson, who make music. Like Sergei Eisenstein, who paints. Like Stroheim, who wrote sound novels in silent days. Like Alain Resnais, who sculpts. And Like Socrates, Rossellini I mean who creates philosophy.” และถ้าหาก Godard ได้ดูหนังเรื่อง SYPHILIS เขาก็คงจะใส่ชื่อของ เจิดทนี เข่งกระจายเข้าไปด้วย เพราะวิธีการทำหนังของเธอก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง นั่นก็คือเธอทำหนังเหมือนกับการต้มจับฉ่าย

2. SYPHILIS ได้รับแรงบันดาลใจหลักๆมาจากหนังสองเรื่องด้วยกัน นั่นก็คือ “เช้งกะเด๊ะส์” (1990, ปุญญ์) ที่นำแสดงโดยพิมพิไล ไชโย กับสินาภรณ์ พิไลลักษณ์ และ SOLARIS (1971, Andrei Tarkovsky, Soviet Union) โดย SYPHILIS เป็นหนังอีโรติกไซไฟโลกอนาคต เล่าเรื่องโครงการอวกาศของไทยที่ส่งยานอวกาศไปดาว Sirius ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทาง 13 เดือน และมีนักบินอวกาศหนุ่มหล่อ 13 คนเดินทางไปกับดาวดวงนี้ แต่ทางบริษัทเจ้าของโครงการกลัวว่า นักบินอวกาศหนุ่มฉกรรจ์ 13 คนนี้จะไม่ได้รับการระบายออกทางเพศในระหว่างการเดินทางที่ยาวนาน ทางโครงการก็เลยรับสมัคร “สาวแปลงเพศ” สวยเซ็กซี่ 1 คน เพื่อร่วมเดินทางไปกับโครงการนี้ด้วยในตำแหน่ง “กะหรี่อวกาศ” (SPACE WHORE) เพื่อรองรับความใคร่ของนักบินอวกาศทั้งยาน โดยทางโครงการเจาะจงว่าต้องเป็นสาวแปลงเพศ เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหาการตั้งครรภ์ในระหว่างการเดินทาง

ช้องนาง ซึ่งเป็นสาวแปลงเพศที่เบื่อการทำงาน office มากๆ ก็เลยตัดสินใจเข้าร่วมโครงการนี้ โดยองก์แรกของหนังจะเป็นหนังอีโรติก เน้นกิจกรรมทางเพศของช้องนางกับนักบินอวกาศทั้ง 13 คน และหลังจากนั้นหนังก็จะเริ่มคลี่คลายไปเป็นหนังโรแมนติกแบบ Eric Rohmer เน้นไปที่การพูดคุยกันระหว่างช้องนางกับนักบินอวกาศแต่ละคน ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไป บางคนก็ชอบพูดคุยเรื่องพฤกษศาสตร์, บางคนก็ชอบพูดคุยเรื่องคณิตศาสตร์, บางคนก็พูดเรื่องธรณีวิทยา, บางคนก็คุยแต่เรื่องการบริหารธุรกิจ, อีกคนก็คุยเรื่องการหาวิธีสร้างวัคซีนรักษาโรคระบาดประหลาดบนโลกมนุษย์, บางคนก็คุยเรื่องปรัชญา Kant, บางคนก็หมกมุ่นกับประวัติศาสตร์, บางคนก็นึกถึงแต่อดีตของเขากับแม่, บางคนก็เงียบขรึม แทบไม่พูดอะไร แต่เห็นได้ชัดว่ามีอดีตฝังใจอะไรบางอย่างซ่อนอยู่, บางคนก็ขี้เล่น ชอบเล่นสนุกตลอดเวลา, บางคนก็ดิบเถื่อนมากๆ, บางคนก็ดูผู้ดีมากๆ

หลังจากเอากันและคุยกันไปเรื่อยๆ ช้องนางกับนักบินอวกาศบางคนก็เริ่มตกหลุมรักกัน บางคนขอที่จะแต่งงานกับเธอหลังเสร็จสิ้นภารกิจการเดินทางนี้ และเธอก็ตัดสินใจได้ยากว่าจะรับหมั้นใครดี ระหว่างคนที่เพียบพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ, รูปสมบัติ (หล่อมากๆ), คุณสมบัติ (นิสัยดีมากๆ) และอวัยวะสมบัติ (ใหญ่มากๆ)

แต่หลังจากนั้นยานอวกาศก็แล่นผ่านขุมพลังลึกลับอะไรสักอย่างในจักรวาล และก็เริ่มเกิดเหตุการณ์แปลกๆที่อธิบายไม่ได้บนยาน มีการฆาตกรรมเกิดขึ้น มีการสืบหาตัวฆาตกรกัน บางคนพบว่าตัวเองแยกร่างได้, บางคนพบว่าสิ่งที่อยู่ในฝันร้ายของตัวเองได้ materialze ออกมาจากความฝัน กลายมาอยู่ในโลกความจริง, บางคนพบร่างของตัวเองในวัยเด็กและวัยหนุ่มอยู่ในยาน, บางคนเห็นผี, บางคนถอดจิตกลับไปที่โลกมนุษย์ได้, และต่อมาทุกๆก็คนเกิด “จุตูปปาตญาณ” สามารถย้อนระลึกถึงอดีตชาติของตนเองเมื่อ 10 ชาติก่อนได้ โดยตัวช้องนางนั้น ระลึกไปได้ถึงสมัยที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในยุคของ “พระวิปัสสีพุทธเจ้า” (เมื่อ 91 มหากัปที่แล้ว) ด้วย และทั้งช้องนางกับนักบินอวกาศทั้ง 13 คน ก็พบว่าทุกคนเคยเจอกันมาแล้วในชาตินึงที่ฝรั่งเศสในปี 1789 ด้วย (ผู้กำกับบอกว่าส่วนนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “แต่ปางก่อน” ของว.วินิจฉัยกุล)

3.ช่วงองก์สามของหนังนี่มันเฮี้ยนจริงๆ ดูแล้วสรุปอะไรไม่ได้อีกต่อไปว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อันไหนจริง อันไหนเป็นจินตนาการ อันไหนอดีต อันไหนปัจจุบัน หนึ่งในสิ่งที่เป็นไปได้ก็คือว่า เรื่องทั้งหมดบนยานไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพียงแค่จินตนาการของสาว office คนนึงที่รถติดนานราวครึ่งชั่วโมงในถนนลาดพร้าว แล้วเห็นผู้ชายหล่อๆเดินตามฟุตบาทไปมา เธอก็เลยช่วยตัวเองพร้อมกับจินตนาการถึงเรื่องราวเหล่านี้ไปด้วย

4.ชอบฉากที่ช้องนางค้นพบความสามารถพิเศษของตนเองในองก์สามมากๆ นั่นก็คือเธอสามารถถอดจิ๋มของตัวเองลอยไปโปะใส่หน้าผู้ชายได้ เห็นผู้กำกับบอกว่าฉากนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉาก “ลอยตัว” ใน MIRROR (1975, Andrei Tarkovsky) แต่ในหนังเรื่องนี้ช้องนางไม่ได้ลอยขึ้นทั้งตัว มีแต่จิ๋มของเธอที่ลอยขึ้นไปโปะใส่หน้าผู้ชาย

5.ชอบฉากการเลือกตั้งในไทยในโลกอนาคตด้วย ที่เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งต้องถามผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทุกคนว่า “มนุสโสสิ”

6.เคยดูหนังอีก 2 เรื่องของคุณเจิดทนี เข่งกระจาย ถ้าเทียบกันแล้ว เราก็ชอบ SYPHILIS มากกว่า IF YOU TOLERATE THIS, YOUR SCOTCH BRITE WILL BE NEXT (2017) นะ แต่ชอบน้อยกว่า “กะแหลดจิ้มหำ กะหล่ำจิ้มหอย กะหล่อยจิ้มแตด” (2018) นิดนึง เพราะเราว่า “กะแหลดจิ้มหำ กะหล่ำจิ้มหอย กะหล่อยจิ้มแตด” มันลงตัวกว่า ส่วน SYPHILIS มันเหมือน too ambitious มากเกินไป มันเลยมีอะไรที่ไม่ค่อยลงตัวอยู่บ้าง แต่ก็ชอบความ ambitious ของมัน

ส่วน “กะแหลดจิ้มหำ กะหล่ำจิ้มหอย กะหล่อยจิ้มแตด” นั้นถือเป็นหนังที่เราชอบมากที่สุดของผู้กำกับคนนี้ หนังเล่าเรื่องของ นักเรียนสาวม.ปลาย 3 คน ที่คนหนึ่งเก่งฟิสิกส์, คนนึงเก่งเคมี และอีกคนเก่งชีวะ ทั้งสามเป็นศัตรูกันเพราะทั้งสามตกหลุมรัก tutor หนุ่มหล่อคนเดียวกัน แต่พอ tutor หนุ่มหล่อคนนั้นหายสาบสูญไปอย่างลึกลับ สามสาวนี้ก็เลยต้องหันมาร่วมมือกันเพื่อไขปริศนาการหายสาบสูญของผู้ชายที่พวกเธอรัก โดยต้องใช้ความรู้ด้านฟิสิกส์, เคมี และชีวะมาช่วยไขปริศนาด้วย

ส่วนผู้ที่อยากชมหนังของเจิดทนี เข่งกระจายนั้น หนังเหล่านี้ไม่มีจริงจ้า เพราะนี่คือวัน April Fool’s Day 555 แต่หลายคนก็คงเดาได้ตั้งแต่ย่อหน้าแรกแล้วมั้ง 555

No comments: