Sunday, June 09, 2019

DARK PHOENIX (2019, Simon Kinberg, A+30)


DARK PHOENIX (2019, Simon Kinberg, A+30)

1.เป็นหนังที่ตอบสนองแฟนตาซีวัยเด็กของเราได้มากในระดับนึง เพราะเราชื่นชอบตัวละครประเภท "สาวพลังจิต" มาตั้งแต่เด็กน่ะ โดยเฉพาะสาวพลังจิตที่พลังจะสัมพันธ์กับอารมณ์โกรธแค้น ตัวละครหญิงสาวแบบนี้ที่ทำให้เราหลงใหลตั้งแต่เด็กคือ "เขี้ยวงาสีแดง" หรือ red fang หรือ Lan ในการ์ตูนเรื่อง BLUE SONNET ของ Shibata Masahiro คือในการ์ตูนจะมีนางเอกสาวสองคนที่เป็นศัตรูกัน คนนึงชื่อ Sonnet ที่เป็นสาวพลังจิตสูงมาก และมีร่างกายเป็น cyborg ส่วนอีกคนคือ Lan ที่มีพลังเขี้ยวงาสีแดงอยู่ในตัว ฉากที่เราชอบสุดๆคือฉากที่ Lan เหมือนจะสลบไป แล้วถูกพลังเขี้ยวงาสีแดงเข้าครอบงำ แล้วพลังนี้ก็สำแดงตัวออกมาในรูปมือยักษ์ และมือยักษ์นี้ก็สามารถตบ Sonnet ให้พ่ายแพ้ไปได้ คือเขี้ยวงาสีแดงไม่จำเป็นต้องปรากฏออกมาทั้งตัว แต่ปรากฏออกมาแค่ “มือ” ก็รับมือกับ Sonnet ได้แล้ว แต่การที่มันปรากฏออกมาได้เฉพาะตอนที่ Lan สลบไป ก็เท่ากับว่าพลังอันมหาศาลนี้อยู่นอกเหนือจากการควบคุมของ Lan และนั่นทำให้ตัวละคร Lan หรือเขี้ยวงาสีแดงมีความคล้ายคลึงกับ Jean Grey มากๆในด้านนี้

หลังจากตัวละคร “เขี้ยวงาสีแดง” ใน BLUE SONNET ตัวละครที่เราชอบสุดๆในชีวิตอีกตัวก็คือตัวละคร Sailor Saturn ในการ์ตูนโทรทัศน์ชุด SAILOR MOON ซึ่งเราเคยเขียนถึงตัวละครตัวนี้ไปแล้วหลายครั้ง เราชอบสุดๆที่ Sailor Saturn เหมือนดูเผินๆเป็นเด็กสาวใจดีที่ไม่มีพิษมีภัย แต่จริงๆแล้วเธอมีพลังที่สามารถทำลายโลกทั้งโลกได้ และเธอมีปีศาจร้ายซ่อนอยู่ในตัวที่ชื่อว่า Mistress 9 ด้วย เพราะฉะนั้น Sailor Saturn ก็เลยดูเหมือนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย และเธอก็เลยเหมือนแทบไม่เคยได้ใช้พลังของเธอจริงๆสักที เพราะถ้าหากเธอปล่อยพลังออกมาจริงๆ โลกทั้งใบก็จะถูกทำลายไปพร้อมกับเหล่าร้าย เราหลงใหลตัวละครแบบนี้มากๆ คือในแง่นึงเราว่ามันเหมือนกับ “อาวุธนิวเคลียร์” น่ะ คือมันมีพลังมหาศาล แต่มันจะไม่ถูกใช้จริงๆ เพราะถ้ามันถูกใช้จริงๆเมื่อไหร่ ผู้ร้ายก็จะตายไป แต่มันก็อาจจะนำไปสู่การล่มสลายของโลกทั้งใบได้ด้วย

แล้วหลังจากนั้น เราก็จะเจอตัวละคร “สาวพลังจิต ที่ชอบมีอารมณ์เคียดแค้น” อะไรทำนองนี้อยู่บ้าง อย่างเช่น CARRIE ของ Stephen King และ Scarlet Witch ในหนังชุดของ Marvel แต่ตัวละคร Carrie กับ Scarlet Witch มันดูไม่ค่อยดึงดูดเรามากเท่า “เขี้ยวงาสีแดง” กับ Sailor Saturn

ที่เขียนมา ก็เพื่อจะสรุปว่า สาเหตุที่เราชอบ DARK PHOENIX มากๆเป็นการส่วนตัว เพราะเราเติบโตมากับความหลงใหลตัวละครหญิงแบบนี้นี่แหละ ตัวละครหญิงที่มีพลังจิตสูงมาก แต่ไม่สามารถใช้พลังจิตของตัวเองตามใจชอบได้ง่ายๆ ตัวละคร Jean Grey เหมือนกับ “เขี้ยวงาสีแดง” ในแง่ที่ว่า เธอทั้งสองไม่สามารถควบคุมพลังมหาศาลของตัวเองได้ และตัวละคร Jean Grey ก็คล้ายกับ Sailor Saturn ในแง่ที่ว่า พวกเธอทั้งสองอาจจะอยู่ “ฝ่ายธรรมะ” ก็จริง แต่ถ้าไม่ระวังให้ดี พวกเธอก็จะไปอยู่ฝ่ายอธรรมได้ และถ้าหากพวกเธอทั้งสองปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวเองออกมา โลกก็อาจจะพินาศได้

การที่ DARK PHOENIX โฟกัสไปยัง “ตัวละครหญิงแบบที่เราชอบ” แบบนี้ ก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เราอินกับหนังเรื่องนี้มากพอสมควร ถึงแม้หนังมันอาจจะไม่ได้ดีมากนัก ซึ่งจะต่างกับหนังชุด WOLVERINE  ซึ่งมันจะเป็นกลุ่มหนังที่เราไม่ค่อยอินเป็นการส่วนตัว เพราะเราไม่ได้ identify ตัวเองกับพระเอกของเรื่อง เพราะฉะนั้นเราก็จะรู้สึกเฉยมากๆเวลาดู THE WOLVERINE (2013, James Mangold)  เพราะหนังมันดึงดูดเราไม่ได้เลย แต่ก็ชอบ LOGAN (2017, James Mangold) มากๆอยู่ เพราะหนังมันดีจริง

2.ฉากที่ชอบที่สุดใน DARK PHOENIX อยู่ในช่วงกลางเรื่อง ที่ Jean Grey ใช้พลังจิตบังคับให้ Charles Xavier เดินขึ้นกระได ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมเราถึงชอบฉากนี้อย่างสุดๆ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างคล้ายๆหนังสยองขวัญ และมันเป็นฉากที่ “เจ็บปวดยอกแสยงใจ” ที่สุดสำหรับเรา มันเหมือนได้เห็น “การทำร้ายทรมานจิตใจผู้มีพระคุณ” หรืออะไรทำนองนี้น่ะ ฉากนี้มันก็เลยมีพลัง disturbing สุดๆสำหรับเรา

คือเราไม่ใช่คนที่อินกับ “การเห็นนางเอก/พระเอก ต่อสู้บู๊ล้างผลาญกับผู้ร้าย” น่ะ คือการเห็น “ธรรมะที่ขาวสะอาดต่อสู้กับอธรรมที่ดำสนิท” มันไม่ใช่อะไรที่ disturbing หรือน่าสนใจ หรือ “สนุก” สำหรับเรา แต่การเห็น “คนดีค่อยๆถูกความเจ็บปวดของชีวิต ผลักให้เขากลายเป็นคนเลว” และหันมาทำร้ายผู้มีพระคุณอะไรแบบนี้ แบบที่ Jean Grey ทำในฉากนี้ คือสิ่งที่เราสนใจมากๆ (ลองนึกถึงบทที่เส้าเหม่ยฉีเล่นในละครทีวีฮ่องกงเรื่อง CONSCIENCE สิ)

3.พออ่านที่อาจารย์ Prawit TaengAksorn เขียนถึง DARK PHOENIX เราก็เลยเข้าใจว่าทำไมเรา “อิน” กับ DARK PHOENIX มากกว่า AVENGERS: ENDGAME 555 คือจริงๆเราก็ชอบ AVENGERS: ENDGAME ในระดับ A+30 นะ แต่ชอบในแง่ที่มันเหมือน “เทปรวมเพลงฮิตของศิลปินคนนึง” เพราะหนังเรื่องนี้มันเหมือนเป็นการย้อนกลับไปทบทวนเรื่องต่างๆในอดีตน่ะ แต่ DARK PHOENIX มันมีพลังด้าน psychological สูงมากสำหรับเรา คือพอเราเห็นตัวละคร Jean Grey, Charles Xavier และ Magneto เรารู้สึกเหมือนกับว่าเราถูกจู่โจมด้วยความเจ็บปวดของตัวละครทั้ง 3 ตัวนี้ ทั้งจากเนื้อเรื่องที่อยู่ในภาคนี้ และจากเนื้อเรื่องที่อยู่ในภาคก่อนๆหน้านี้น่ะ มันเหมือนกับว่าเราผูกพันกับความเจ็บปวดของ Magneto มานานเกือบ 20 ปีแล้ว อะไรทำนองนี้ ซึ่งเราจะไม่รู้สึกแบบนี้กับตัวละครใน AVENGERS คือเราผูกพันกับตัวละครใน AVENGERS มากพอสมควรก็จริง แต่เราจะไม่ผูกพันกับ “ความเจ็บปวดในใจ” ของตัวละครใน AVENGERS แต่หนังชุด X-MEN มันจะมีพลังของ “ความเจ็บปวดในใจ” ด้วย

4.ชอบการแสดงของ Jessica Chastain มากๆ เพราะเรารู้สึกว่าเธอดู “สูญสิ้นความเป็นคน” จริงๆ 555 คือเราจะกลัวคนแบบนี้มากๆน่ะ คนที่เหมือนขจัด “สามัญสำนึกของความเป็นคน” ออกไปจากตัวหมดแล้ว แต่ในอีกแง่นึงเราก็รู้สึกว่าเธอมีความคล้ายตัวละคร Ryoko Tamiya (Eri Fukatsu) ในหนังชุด PARASYTE (2014-2015, Takashi Yamazaki) ในแง่ของ “อารมณ์หน้า” มากๆ 555

5.อย่างไรก็ดี สิ่งที่เราไม่ชอบใน DARK PHOENIX คือหนังมันเหมือนขาดฉาก climax จริงๆ และหนังมันสั้นเกินไปน่ะ คือฉาก climax ของ DARK PHOENIX มันเหมือนเป็นแค่ “ฉาก climax รอง” เท่านั้นน่ะ ไม่ใช่ “ฉาก climax จริง” ที่ต้องรุนแรงกว่านี้

คือจริงๆแล้วเราอยากให้หนังมันยาวกว่านี้อีก 1 ชั่วโมงน่ะ และหันมาให้ความสำคัญกับ “กลุ่มผู้ร้าย” ที่ควรจะมีฤทธิ์อำนาจสูงกว่านี้มากๆ โดยเน้นให้เห็นว่าทั้งตัวหัวหน้าผู้ร้ายและลูกสมุนแต่ละคนมีอิทธิฤทธิ์อะไรบ้าง และพอหนังทำให้เราเห็นพลานุภาพของผู้ร้ายแต่ละคนในเรื่องได้จริงๆแล้ว หนังก็จะสร้างฉาก climax ที่สู้กับแบบหืดขึ้นคอ หรือลุ้นจริงๆได้ ในขณะที่ในหนังเรื่องนี้นั้น กลุ่มผู้ร้ายมันดู bland และแบนมากๆ คือมันเป็นผู้ร้ายที่ดูมีมิติเดียว ดูเหมือนเป็นกลุ่มนางแบบนายแบบโง่ๆ และดูก็ไม่รู้ว่ามันจะสู้เก่งมากน้อยแค่ไหน มีอิทธิฤทธิ์อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ยังดีที่ตัวหัวหน้า (Jessica Chastain) มันดูมีเสน่ห์สำหรับเรา แต่พลังของมันก็น้อยเกินไป

6.อีกสิ่งที่ชอบสุดๆคือหนังเหมือนจะนำเสนอ dilemma ระหว่างการเลือกที่จะทำตัวเป็น hero ซะเหลือเกินแบบ Charles Xavier ที่ยึดมั่นกับอุดมคติ “Leave no one behind” กับการเน้นความ practical ของ Raven น่ะ คือจริงๆแล้วเราเข้าข้าง Raven ในกรณีนี้นะ ถึงแม้ว่าการเลือกแบบนี้มันจะดูเหมือนคนเลวก็เถอะ เราเลือก “ช่วยเท่าที่ช่วยได้” แทนที่จะเลือก “ต้องช่วยทุกคน” น่ะ เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบ DARK PHOENIX มากๆในแง่ที่ว่า หนังมันเหมือนตั้งคำถามว่า การพยายามทำตัวเป็น hero หรือการยึดมั่นในอุดมคติบางอย่างของ Charles Xavier มันเป็นสิ่งที่ดีแล้วจริงๆหรือไม่

7.สิ่งที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งใจจะพูด แต่ทำให้เรานึกถึงก็คือว่า ความเชื่อและการกระทำบางอย่างของ Charles Xavier ในการพยายามทำให้ประชาชนยอมรับ X-MEN นั้น มันทำให้เรานึกถึงความเชื่อบางอย่างในสังคมไทยที่ว่า “เป็นเกย์ก็ได้ ขอแค่เป็นคนดีก็พอ” น่ะ ซึ่งมันเหมือนเป็นความเชื่อที่ดูเหมือนจะเปิดกว้าง ยอมรับเกย์หรือความแตกต่างทางเพศสภาพก็จริง แต่จริงๆแล้วมันเป็นความเชื่อที่มีปัญหาอะไรบางอย่างแฝงซ่อนอยู่ด้วยหรือเปล่า

No comments: