LONG SHOT (2019, Jonathan Levine, A+30)
1. ดูแล้วแอบสงสัยว่ามันเหมือนจะเป็นการแก้ต่างให้กับ
"นักการเมืองที่ตกเป็นข่าวฉาวโฉ่ทางเพศ" แบบ Bill Clinton,
Anthony Weiner ในหนังสารคดีเรื่อง WEINER (2016, Josh
Kriegman, Elyse Steinberg) และ Gary Hart ในหนังเรื่อง
THE FRONT RUNNER (2018, Jason Reitman) น่ะ คือเหมือนหนังพยายามจะบอกว่า
ประชาชนไม่ต้องไป focus มากนักกับแง่มุมอะไรคาวๆ ฉาวๆ
ของนักการเมืองหรอก แต่ควรสนใจนโยบายการเมืองและพฤติกรรมทางการเมืองของเขามากกว่า
เพราะความเงี่ยนมันไม่เข้าใครออกใคร นักการเมืองก็เงี่ยนได้เหมือนมนุษย์ทั่วๆไป
และหนังพูดเรื่องนี้ในทางอ้อม ผ่านทาง “แฟนของนักการเมืองหญิง” แทนที่จะพูดผ่านทางตัวละครนักการเมืองชายโดยตรง
เพราะการนำเสนอแนวคิดแบบนี้ผ่านทางตัวละครนักการเมืองชายโดยตรงมันอาจจะดูไม่ดีเท่าการพูดทางอ้อมแบบนี้
2.ชอบตัวละครหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ
Parker Wembley (Andy Serkis) มากๆ ไม่รู้ว่าเธอเป็นแฟนหรือนางบำเรอหรือเลขานุการ
คือเธอไม่มีบทพูดอะไรเลย แต่เธอทำหน้าโง่ๆประกอบฉากไปเรื่อยๆตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
3.รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นฝันเปียกสำหรับผู้ชายมากๆ
และการจับคู่พระนางในหนังก็ทำให้นึกถึง KINGSMAN ที่พระเอกได้แฟนเป็นเจ้าหญิงสวีเดนที่สวยสะอาด
แต่ซ่อนความซุกซนไว้ภายใน คือเป็นคู่รักแบบดอกฟ้ากับหมาวัดน่ะ
แต่ถึงแม้หนังจะเอาใจผู้ชายเป็นหลัก
เราก็ถูกโฉลกกับหนังเรื่องนี้มากผิดคาดนะ ทั้งๆที่เราไม่ได้ identify ตัวเองกับนางเอกเลย
เราเดาว่าสาเหตุที่เรารู้สึกดีในแง่นึงกับหนังเรื่องนี้ เป็นเพราะเราถูกโฉลกกับ
"นิสัยของพระเอก" อย่างรุนแรงน่ะ ที่เขาเป็นคนประเภท "ยอมหัก
ไม่ยอมงอ"
เราชอบที่หนังสร้าง character ของพระเอกออกมาแบบนี้ คือดูแล้วนึกถึงตัวเองในบางแง่
ทั้งการทำงานด้านข่าว, การเป็น loser ที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต,
และที่สำคัญสุดๆคือ การที่พระเอกมี "อารมณ์โกรธ"
เป็นเจ้าเรือนน่ะ เพราะเราก็มีอารมณ์โกรธเป็นเจ้าเรือนเหมือนกัน
อีกสิ่งที่ชอบสุดๆคือการที่พระเอก
"ยอมหัก ไม่ยอมงอ" เราชอบสุดๆที่เขาเหมือนไม่แคร์ "เงิน", ความมั่นคงทางอาชีพ หรืออาจจะรวมถึงความรักในบางขณะ
แต่แคร์ integrity ของตัวเอง, หลักการของตัวเอง
หรือความเชื่อของตัวเองมากที่สุด
และหนังก็ค่อนข้างจริงจังและจริงใจกับนิสัยนี้ของพระเอก
คือหนังทำให้เราหลงเชื่อได้ว่า พระเอกเป็นคนที่มีนิสัยแบบนี้จริงๆ
ไม่ใช่มีนิสัยแบบนี้เพียงเพื่อสร้างอารมณ์สนุกให้ผู้ชม
ชอบที่หนัง treat นิสัยนี้ว่าเป็นทั้ง
ข้อดีและข้อเสียของพระเอกด้วย
ดูแล้วก็นึกถึงตัวเองเหมือนกัน
เพราะเราก็เคย "ปิดโอกาส" ของชีวิตตัวเองในหลายๆครั้ง เพราะนิสัย “ยอมหัก
ไม่ยอมงอ” เหมือนๆกัน เพราะการมี “อารมณ์โกรธเป็นเจ้าเรือน” เหมือนๆกัน
และเพราะการยึดมั่นกับความคิดความเชื่อหรืออุดมการณ์อะไรบางอย่างของตัวเองเหมือนๆกัน
และมันก็เลยเหมือนอาจจะทำให้ชีวิตตัวเราเองไม่ก้าวหน้า และจนถึงบัดนี้เราก็ไม่รู้ว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือเปล่าในหลายๆครั้งในชีวิตที่ตัดสินใจทิ้งสังคมบางสังคมหรือตัดสินใจตบตีคนบางคนเพราะเรายึดความโกรธและความเชื่อของตัวเองเป็นหลัก
สองฉากที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้มากๆอยู่ตั้งแต่ในช่วงต้นเรื่อง
คือฉากที่พระเอกลาออกจากงาน แทนที่จะยอมรับเงินชดเชยในการถูกปลดออกจากงาน
และฉากที่พระเอกด่า Parker Wembley กลางงานเลี้ยง คือหนัง treat การกระทำของพระเอกว่าดูโง่และตลก
กระทำตัวผิดหลักเหตุผล แต่จริงๆแล้วเราว่าหนังมันเข้าใจ “คนแบบเรา” น่ะ หรือไม่เราก็เข้าใจพระเอกน่ะ
คือมันเป็นคนประเภทที่ถ้าหากถูกความโกรธเกลียดใครเข้าครอบงำแล้ว “เงินกูก็ไม่สน”
หรือ “ชีวิตกูจะชิบหาย พังพินาศแค่ไหน กูก็ไม่สน”
สิ่งที่กูสนคือการทำตามความโกรธเกลียดของกูเท่านั้น ชีวิตกูจะล่มสลาย กูก็ไม่แคร์
และเราว่าหนังก็รักษานิสัยนี้ของพระเอกไว้ได้ดีเกือบตลอดทั้งเรื่องน่ะ
เราก็เลยรักหนังเรื่องนี้มากๆในแง่นี้ คือหนังมันไม่ได้ตอบสนอง romantic fantasy อะไรเราเลย
แต่เราชอบ character พระเอกแบบนี้อย่างสุดๆ
แต่ไม่ได้ชอบในแบบที่ว่าเราอยากได้ผัวแบบนี้นะ แต่ชอบเพราะมันเหมือนเป็นกระจกส่องสะท้อนให้เราเห็นบางแง่มุมของตัวเราเองน่ะ
สรุปว่า รักหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ เพราะเราว่าหนังเรื่องนี้ “เข้าใจเรา”
ผ่านทางการนำเสนอนิสัยบางอย่างของพระเอก
No comments:
Post a Comment