Saturday, June 22, 2019

250/7-8 (2019, Warinda Thepkunchone, 32min, A+30)


ROLLING SENTON (2019, Tanchanonk Musikatham, documentary, A+30)

1.เลือกจับประเด็นได้น่าสนใจมาก เพราะเราไม่เคยรู้เรื่องวงการมวยปล้ำในไทยมาก่อนเลย และก็ไม่เคยดูหนังเกี่ยวกับประเด็นนี้มาก่อนด้วย เพราะหนังนักศึกษาหลายเรื่องที่เคยดูมา จะเป็นหนังสารคดีเกี่ยวกับ “นักมวย” แต่ยังไม่เคยมีใครจับประเด็นมวยปล้ำไทยมาก่อน

2.ชอบ “ความใฝ่ฝัน” ของตัว subject เพราะความใฝ่ฝันของเขาคือการปูทางหรือกรุยทางให้กับนักมวยปล้ำรุ่นต่อๆไป มันเป็นการทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่ได้รับความสนใจหรือความนิยมมากนักจากคนในสังคม แต่เขาก็หวังว่า การมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ตนเองรักต่อไปเรื่อยๆ จะช่วยให้คนอื่นๆที่สนใจจะทำแบบนั้นบ้าง ได้มีที่ยืนและได้พัฒนาวงการมวยปล้ำกันต่อไปเรื่อยๆ

250/7-8 (2019, Warinda Thepkunchone, 32min, A+30)

1.เป็นหนังที่ชอบที่สุดที่ได้ดูในวันพุธ หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีประเด็นปัญหาสังคม แต่เราชอบมันเป็นการส่วนตัว ดูแล้วรู้สึกอินมากๆ ชอบที่มันนำเสนอความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวที่มีความบาดหมาง หรือความขุ่นข้องใจลึกๆซ่อนอยู่ภายใน ตัวละครทั้ง 4 คนไม่ได้ระเบิดอารมณ์ด่าทอตบตีกันอย่างรุนแรง แต่มันเหมือนมีคลื่นใต้น้ำซ่อนอยู่ มีความเข้ากันไม่ได้ซ่อนอยู่

2.ชอบปฏิสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวกับน้องสาวมากๆ มันไม่ได้เกลียดกันอย่างรุนแรง แต่มันก็ไม่ได้รักกันจริงๆ เราว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันนิยามเป็นคำคุณศัพท์ได้ยาก และมันยากที่จะนำเสนอออกมา แต่หนังเรื่องนี้ก็ทำได้สำเร็จ

3.ชอบการสร้าง character ให้ตัวละครคุณแม่เป็นคนที่ชอบเก็บขวดพลาสติกด้วย

4.ตัวละครนางเอกก็น่าสนใจดี เหมือนเธอเป็นคนที่มีปัญหาแล้ว “ไม่พูด” ซึ่งจะเห็นได้จากการที่เธอแพ้ช็อกโกแลต แต่เธอก็ไม่บอกสาวคนรัก (ถ้าเข้าใจไม่ผิด) ส่วนฉาก climax ของเรื่อง ก็ไม่ได้เป็นการที่เธอด่าทอกับทุกคนในครอบครัวอย่างรุนแรง แต่เป็นการที่เธอเลือกที่จะหนีไปอยู่ตามลำพังคนเดียว

5.จริงๆถ้าวัดกันด้วยเนื้อหาแล้ว หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ ตัวละครพ่อแม่ที่มีปัญหากัน ก็เคยเห็นในหนังเรื่องอื่นๆมาก่อนแล้ว แต่หนังเรื่องนี้เลือกใช้วิธีการนำเสนอแบบ “ร้าวลึก” แทนที่ตัวละครจะทะเลาะกันแบบตรงไปตรงมา มันก็เลยออกมาดีมาก ส่วนตัวละครลูกสาวที่มีปัญหากับพ่อแม่ และต้องการจะเป็นอิสระ ก็ทำให้นึกถึงตัวละครใน BERMUDA (2016, ภาวิณี ศตวรรษสกุล), HOME (2017, Kanokporn Boonrugchart) และ SEISHUN JIDAI (2018, Siraya Lertsmithwong)

พอคิดอย่างนี้แล้ว ก็เลยทำให้รู้สึกว่า หนังแต่ละเรื่องมันมีคุณค่าแตกต่างกันไป เราชอบหนังอย่าง ROLLING SENTON มากๆ เพราะมันพูดถึงประเด็นที่แปลกใหม่ ไม่เคยเห็นในหนังเรื่องอื่นๆมาก่อน ส่วนหนังอย่าง BERMUDA, HOME, SEISHUN JIDAI และ 250/7-8 นั้น เราชอบสุดๆทุกเรื่อง เพราะเราอินกับมันเป็นการส่วนตัว และถึงแม้ตัวละครนางเอกในหนัง 4 เรื่องนี้จะมีบางอย่างคล้ายคลึงกัน นั่นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา เพราะในแง่นึงเรารู้สึกว่าหนังเหล่านี้มันมีคุณค่าหรือความงดงามในแบบคล้ายๆภาพวาด portrait น่ะ คือความงามของภาพวาด portrait มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า คนในภาพมีอะไรแปลกใหม่พิสดารผิดมนุษย์ธรรมดา หรือภาพนั้นมีประเด็นแปลกใหม่อะไรที่ไม่เหมือนกับภาพวาด portrait อื่นๆ แต่บางทีมันก็ขึ้นอยู่กับว่า ภาพนั้นถ่ายทอดรายละเอียดเล็กน้อยของมนุษย์ในภาพออกมาได้หรือไม่ และถ่ายทอด “จิตวิญญาณ” ของคนในภาพออกมาได้หรือไม่ ซึ่งหนังที่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้มันต้องอาศัยผู้สร้างหนังที่มีความสามารถสูงมาก และอาศัยความเข้าใจมนุษย์ที่ลึกซึ้งมากๆ มันถึงจะถ่ายทอดอะไรที่ละเอียดอ่อนมากๆออกมาแบบนี้ได้

No comments: