HOLY BASIL (2019, Thanaporn Boonpraseart, 24min, A+30)
--เหมือนหนังดัดแปลง BURNING (2018, Lee Chang-dong) ออกมาได้เป็นตัวของตัวเองมากในระดับนึง
ชอบความ surreal ในช่วงท้ายของหนังด้วย
--รู้สึกว่า ตะวัน ที่เป็นพระเอกของเรื่องนี้ดูโรคจิตมากๆ
ดูเป็นตัวละครที่ไม่น่าเข้าใกล้ ซึ่งจะแตกต่างจาก Jong-su ใน
BURNING ที่มันดู desirable ในระดับนึง
--ชอบการ cast Pattanapol Suthaporn มารับบทเดียวกับ Steven
Yuen มากๆ เราว่า Pattanapol เหมาะกับบทนี้จริงๆ
ดูเป็นผู้ชายเท่ๆ หล่อๆ มีคลาส ดูทั้งน่าปรารถนา แต่ลึกลับ
และมีความไม่น่าไว้วางใจซ่อนอยู่ บอกไม่ได้ว่าเป็นคนดีหรือคนร้าย
--ช่วงท้ายเรื่องเรามองว่ามันเป็นสัญลักษณ์นะ เรามองว่านางเอกไม่ได้ตายจริง
แต่เป็นเหมือนกับ “สาวบ้านนาที่ลืมกำพืดของตัวเอง” ไปแล้ว คือ “ความเป็นสาวบ้านนา”
ของนางเอกได้ตายไปแล้ว แต่ตัวนางเอกไม่ได้ตายจริงๆ อะไรทำนองนี้
แต่การตีความของเราแบบนี้มันเป็นเพราะเราเข้าข้างตัวละคร Ben มาตั้งแต่ใน BURNING
แล้วแหละ 55555 เราก็เลยพยายามมองตัวละครของ Pattanapol ในทางบวกไปด้วย ซึ่งจริงๆแล้วหนังก็คงเปิดโอกาสให้คนดูแต่ละคนตีความไปได้ในแบบที่แตกต่างกันไป
HOMEFLOOR (2019, Nithit Tubtim, 23min, A+20)
--ตอนดูจะรู้สึกไม่ค่อยอินเท่าไหร่
อาจจะเป็นเพราะเราไม่ใช่คนบ้างาน และเราไม่เข้าใจตัวละครพระเอก
ว่าคิดและรู้สึกอะไรบ้าง เราไม่รู้ว่าเขาผูกพันกับแต่ละคนในครอบครัวมากน้อยแค่ไหน
--แต่ตอนดูจะแอบนึกถึงหนังแบบ OUR HOME SAYS ALL ABOUT US (2017, Pasit
Tandaechanurat) และ FATHER IS A BUILDER พ่อเป็นคนสร้างบ้าน
(2018, Banvithit Wilawan) ในแง่ที่ว่า
มันเป็นหนังที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับครอบครัว
โดยที่เหมือนมีความเหินห่างหรือมีปัญหาอะไรบางอย่างในความสัมพันธ์นั้น และ “สถาปัตยกรรม”
หรือตัวบ้าน ดูเหมือนจะมีบทบาทสำคัญในหนังทั้ง 3 เรื่องด้วย
--พอดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว ก็จะงงๆนิดนึงว่า
ตกลงพระเอกทำงานเสร็จแล้วยัง หรือได้อะไรกลับไปจากการมาเยี่ยมบ้านบ้าง
--ดีที่ได้อ่านที่อาจารย์ดองเขียนถึงหนังเรื่องนี้
ก็เลยทำให้เข้าใจหนังมากขึ้น
4 ต๊องบ๊องส์ทะลุป่า
THE ADVENTURE OF FOUR LUNATICS IN THE FOREST (2019, Sirapop
Dechsuwan, 29min, A+25)
--เข้าใจว่าหนังน่าจะได้รับแรงบันดาลใจมาจาก A JOURNEY
OF KALA SCOUTS (2017, Sopanat Somkhanngoen) แต่หนังเรื่องนี้ทำออกมาเป็นตัวของตัวเองได้ดีมาก
เหมือนทำออกมาเป็นหนังคนละ genre กับอีกเรื่องไปเลย เพราะ
A JOURNEY OF KALA SCOUTS ดูเหมือนจะเป็นหนังเสียดสีการเมือง แต่ 4
ต๊องบ๊องส์ทะลุป่า นี่เป็นหนัง cult ที่ใช้ประโยชน์จากความเป็นหนัง
cult อย่างเต็มที่ หนังเต็มไปด้วยอะไรพิลึกกึกกือแบบไม่ต้องแคร์อะไรอีกต่อไป
--ชอบที่หนังใส่ไอเดียบ้าๆบอๆเข้าไปมากมาย
ทั้งตัวละครที่นั่งรถมาจากอวกาศ และโพรงลึกลับ
--คิดว่ามันเป็นหนังที่ไปสุดทางเรื่องนึงในทางของมันเองนะ
คือจริงๆแล้วเราไม่ได้ชอบหนังคัลท์ห่ามๆแบบนี้ คือมันเป็น genre หนังที่ไม่ได้เข้าทางเราซะทีเดียวน่ะ
แต่ดูหนังเรื่องนี้แล้วก็ยอมรับว่า มันไปได้ดีใน genre ของมันเองจริงๆ
IT DOESN’T MATTER มันไม่ได้สำคัญอะไร (2019,
Meathavee Seethongphea, 27min, A+30)
--ชอบความเครียดในฉากสมาชิกครอบครัวนั่งกินข้าว
นึกว่าต้องมีการลุกขึ้นตบกันสักฉาด 555
---การสร้างตัวละครที่ดูมีความลื่นไหลทางเพศก็น่าสนใจดี
ดูเหมือนเป็นอะไรที่แปลกใหม่พอสมควร เหมือนไม่ค่อยเจอตัวละครทำนองนี้ในหนังเรื่องอื่นๆ
VETALA เวตาล (2019, Ittikorn Nutikaewmongkol,
19min, A+30)
--ชอบหนังแนวนี้อย่างสุดๆ
หรือหนังที่ไม่รู้ว่ามันเป็นแนวอะไรกันแน่ คือเหมือนผู้กำกับไม่ได้ต้องการจะเล่าเรื่อง
fiction แบบหนัง narrative ทั่วไป แต่ผู้กำกับต้องการจะตั้งคำถาม
หรือขบคิดกับอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะปัญหาทางปรัชญาที่ไม่มีคำตอบตายตัว หรือผู้กำกับต้องการนำเสนอแนวคิดอะไรบางอย่างต่อผู้ชม
ก็เลยทำหนังแนวนี้ออกมา
--คือพอดูหนังเรื่องนี้ ก็จะนึกถึงพวกหนังของ Jean-Luc Godard, Alexander Kluge และ Teerath Whangvisarn น่ะ คือผู้กำกับเหล่านี้จะทำหนังที่เหมือนกับมีคำถามทางปรัชญาอะไรบางอย่างอยู่ด้วย
และผู้กำกับที่ทำหนังแนวนี้ก็เหมือนจะมีแค่ไม่กี่คน เราก็เลยดีใจมากๆที่มีคนทำหนังแนวนี้ออกมา
--จริงๆดู VETALA แล้วเราก็ไม่เข้าใจทั้งหมดหรอกนะ แต่ก็คิดว่านี่เป็นหนังที่ดูง่ายที่สุดแล้วล่ะ
ถ้าหากเทียบกับหนังของ Godard, Kluge และ Teerath
Whangvisarn 555
--ชอบไอเดียเรื่องการเอาตำนานเวตาลมาดัดแปลงด้วย ดูแล้วทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า
อยากให้มีคนสร้างหนังแบบ ARABIAN NIGHTS (2015, Miguel Gomes) อีก
คือเป็นหนังเกี่ยวกับการเล่าเรื่องราวย่อยๆต่างๆมากมาย และแสดงให้เห็นว่า “การเล่าเรื่อง”
นั้นสามารถทำได้ในแบบที่แตกต่างกันไปหลายร้อยรูปแบบ ไร้ขีดจำกัดมากๆ
โดยที่โครงสร้างหลักของมันอาจจะใช้ “นิทานเวตาล” แบบหนังเรื่องนี้ก็ได้
KORPORN ขอพร (2019, Tamonwan Taweetana, 30min,
A+30)
--จริงๆแล้วไม่ชอบที่หนังพยายามหลอกคนดูให้เข้าใจผิดมาตลอดทั้งเรื่องนะ
555 เหมือนหนังมันไม่จริงใจกับผู้ชม แต่จริงๆแล้วมันก็มีหนังแนวนี้เยอะแหละ ซึ่งอาจจะรวมถึงหนังอย่าง
THE SIXTH SENSE (1999, M. Night Shyamalan) และ “ฝันโคตรโคตร”
(2009, Ping Lumpraploeng) ด้วยก็ได้ ที่จงใจหลอกคนดู
คือหนังแนวนี้จะนำเสนอฉากแต่ละฉากผ่านมุมที่เฉพาะเจาะจงบางมุม
เพื่อสร้างความเข้าใจผิดต่อคนดูไปเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆแล้วเราก็ไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้
แต่ก็ชอบหนังเรื่อง THE SIXTH SENSE กับ ฝันโคตรโคตร
มากๆอยู่ดี เพราะหนังมันก็ดูสนุกดี ซึ่งก็รวมถึง “ขอพร” ด้วยเหมือนกัน
คือเหมือนข้อดีต่างๆในหนังแต่ละเรื่องในกลุ่มนี้มันสามารถบดบังจุดที่เราไม่ชอบในหนังได้
--จริงๆแล้วเราก็ไม่ชอบหนังแนว romantic comedy ด้วยแหละ
แต่ก็รู้สึกว่า “ขอพร” ทำออกมาได้รื่นรมย์มากๆ ดูเพลิดเพลินมากๆ ฉาก musical
ในหนังก็น่ารักดี
--สิ่งที่ชอบที่สุดในหนังก็คือความรักระหว่างแม่นางเอกกับวินมอเตอร์ไซค์นี่แหละ
รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่กล้าหาญชาญชัย ไปไกลกว่าหนังเรื่องอื่นๆมากๆ
TOOTH YOU RIGHT UP TO THE MOON (2019, Siriporn Chonsuwat, 34min,
A+30)
แด่เธอ ผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง
1.ชอบที่หนังมันเหมือนมีไอเดียดีๆเยอะมากใส่เข้ามาในหนัง
คือตอนแรกอ่านจากเรื่องย่อแล้วนึกว่าหนังจะมีแค่ไอเดียเดียว คือนำเสนอความหลงใหลของเด็กหญิงที่มีต่อหนุ่มหล่อ
แต่ปรากฏว่าหนังมีอะไรน่าสนใจเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ทั้งเรื่องญาติที่ไม่ถูกกัน,
ผีตัวดำ, ความเชื่อเรื่องไสยาศาสตร์แบบคนจีน, ชีวิตลูกจ้าง และแม้แต่ตัว location ในหนังก็ดูมีเสน่ห์น่าสนใจมากๆด้วย
ทั้งบ้านเรือนคนจีนยุคเก่า และร้านขายของเก่าในช่วงท้ายเรื่อง
2.คือรู้สึกว่าผู้สร้างหนังเรื่องนี้เก่งมากๆนะ
เพราะนอกจากไอเดียดีๆแล้ว หนังยังสร้างซีนดีๆมากมาย, มีการคิดบทสนทนาที่น่าจดจำ
หรือสามารถคิดวิธีการถ่ายแต่ละซีนออกมาให้ดูติดตาด้วย ซีนที่เราชอบที่สุดคงเป็นซีนที่ตัวละครไปนั่งอยู่กลางเตียงโบ๋ๆในร้านขายของเก่า
3. อันนี้ไม่เกี่ยวกับความดีงามของหนัง แต่ดูแล้วนึกถึงตัวเองตอนป.6
เลย (ประมาณปี 1984) เพราะเราตอนป.6 ก็ want ครูหนุ่มคนนึงมากๆ
ก็เลยตั้งใจเรียนวิชานั้นเป็นพิเศษ เขาสอนวิชาเกษตร
เราก็เลยไปรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกในวิชาของเขาทุกวัน ยังจำได้อยู่เลยว่า มีเช้าวันนึงเราไปรดน้ำต้นไม้ของตัวเอง
แล้วก็มีอาจารย์ผู้หญิงคนนึงเดินมาบอกเราว่า
“ไม่ต้องรดแล้วค่ะ เมื่อวานฝนมันตกไปแล้ว ต้นไม้มันมีน้ำมากพอแล้ว”
ยังจำได้อยู่เลยว่า เหมือนคะแนนกลางภาคเราได้ 93 เต็ม 100 ในวิชาเกษตรครั้งนั้นมั้ง
ทั้งๆที่จริงๆแล้วเราไม่ได้ถนัดหรือชอบอะไรในวิชานี้
แต่กูก็ทุ่มเต็มที่เพื่อคุณครูค่ะ
แล้วพอจะปิดเทอม
เราก็ตัดสินใจหอบกระถางต้นไม้ที่ปลูกต้นเขียวหมื่นปีในวิชาของเขา กลับไปปลูกต่อที่บ้าน
ซึ่งเป็นอะไรที่ลำบากและทุลักทุเลสุดๆ เพราะเราไม่มีรถยนต์ส่วนตัว เราก็เลยต้องหอบกระถางต้นไม้ขึ้นรถเมล์เป็นเวลานาน
รู้สึกว่าจะไม่ได้นั่งในช่วงครึ่งแรกของการเดินทางด้วย
แต่ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่า เพราะต้นเขียวหมื่นปีที่เราปลูกในวิชาของเขา
มันอยู่รอดต่อมาในบ้านเราตั้งแต่ปี 1984 จนมาตายไปในปี 2011
ตอนน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพนี่แหละ และแน่นอนว่าทุกครั้งที่เรามองเห็นต้นไม้นี้ในบ้านของเรา
เราก็จะนึกถึงความบ้าผู้ชายของเราในตอน ป.6 ฮ่าๆๆๆๆ
No comments:
Post a Comment