MOTHER’S FEET (รัมดร
สอและ, 18min, A+25)
1.เป็นหนังที่ชอบมากพอสมควร
จุดแรกที่ชอบเลยคือประเด็นของหนัง ที่พูดถึงเรื่องที่พูดได้ยากในพื้นที่ที่เราไม่คาดคิดมาก่อน
ซึ่งก็คือเรื่องผู้หญิงที่ถูกข่มขืน โดยหนังเหมือนโฟกัสไปที่ผู้หญิงที่ถูกคนในครอบครัวตัวเองข่มขืนจนตั้งครรภ์
และมีการพูดถึงประเด็นเรื่องการทำแท้งด้วย
ซึ่งเราว่าประเด็นนี้มันเป็นประเด็นที่ยากโดยตัวมันเองอยู่แล้ว
(หมายถึงยากในการที่จะถ่ายทอดประเด็นนี้ออกมาเป็นภาพยนตร์) แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้ดึงความสนใจผู้ชมอย่างเราได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง
ก็คือการที่หนังเหมือนจะนำเสนอสถิติการล่วงละเมิดทางเพศหรืออะไรทำนองนี้ในจังหวัดยะลาตั้งแต่ต้นเรื่อง
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ เพราะเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีการพูดถึงประเด็นนี้ในพื้นที่ส่วนใต้สุดของไทย
เราก็เลยรู้สึกว่าหนังดึงความสนใจเราได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง เพราะหนังพูดถึงประเด็นที่ยาก
ในพื้นที่ที่เราไม่คาดคิด (ซึ่งก็คือส่วนใต้สุดของไทย)
2.โครงสร้างของหนังก็น่าสนใจมาก ๆ
เพราะมันเหมือนเป็นหนังกึ่งสารคดี มีการสัมภาษณ์ความเห็นของนักวิชาการต่าง ๆ
ตัดสลับกับส่วนที่เป็น fiction
เราชอบส่วนที่เป็นสารคดีมากพอสมควรนะ
หลาย ๆ คนก็แสดงความเห็นที่สอดคล้องกับความเห็นของเรา อย่างเช่น
การตั้งคำถามต่อความเชื่อที่ว่า การแต่งตัวล่อแหลมคือปัญหา เพราะสถิติบอกอยู่แล้วว่า
ผู้กระทำส่วนใหญ่คือสมาชิกในครอบครัว หรือคนรู้จัก เพราะฉะนั้นสาเหตุมันจึงไม่ได้เกิดจากการแต่งตัวของผู้หญิง
และการตั้งคำถามที่ว่า การแก้ปัญหาแบบสมัยก่อนด้วยการให้ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนจนตั้งครรภ์แต่งงานออกจากบ้านไปนั้น
เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือไม่ หรือว่าเป็นการเพิ่มปัญหามากยิ่งขึ้นไปอีก
3.เราเดาว่าแกนหลักของหนังคือส่วนที่เป็นสารคดีนั่นแหละ
แต่หนังเรื่องนี้ใส่ส่วนที่เป็น fiction เข้ามา เพื่อให้หนังมันไม่น่าเบื่อจนเกินไป เพราะถ้าหากหนังทั้งเรื่องมันมีแต่นักวิชาการผู้ชาย
เป็น talking heads มาพูดต่อหน้ากล้องไปเรื่อย ๆ
หนังมันอาจจะดูน่าเบื่อ
ซึ่งประเด็นนี้มันก็ยากจริง ๆ น่ะแหละถ้าหากจะทำออกมาเป็นสารคดีแบบเพียว
ๆ ไม่มี fiction เจือปน เพราะในการจะพูดถึงประเด็นนี้นั้น
ผู้สร้างหนังคงไม่สามารถไปสัมภาษณ์เหยื่อตัวจริงหรือครอบครัวของเหยื่อตัวจริงได้ หนังมันก็เลยไม่สามารถให้เหยื่อของกรณีแบบนี้มาถ่ายทอดเรื่องราวโดยตรงให้ผู้ชมฟังได้
(ซี่งถ้าหากทำได้มันก็จะทรงพลังสุด ๆ แต่เราก็เข้าใจดีว่ามันทำไม่ได้ในกรณีแบบนี้)
และหนังก็เลยทำได้แค่ให้นักวิชาการมาพูด แต่พอมีนักวิชาการมาพูดเพียงอย่างเดียว
หนังก็จะน่าเบื่อ หนังก็เลยต้องใส่ส่วนที่เป็น fiction เข้ามา
4.ซึ่งส่วนที่เป็น fiction ก็ทำออกมาได้ดีพอสมควรนะ แต่มันยัง “น้อย”
ไปหน่อยสำหรับเรา เราก็เลยอาจจะยังไม่ได้ชอบหนังถึงขั้นสุด ๆ คือส่วนที่เป็น fiction
มันทำให้เราเห็นภาพของสิ่งที่เกิดขึ้น ภาพของครอบครัวที่ประสบปัญหาแบบนี้
แต่มันยังไม่นานพอจนถึงขั้นที่จะทำให้เรามีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครน่ะ
หรือยังไม่นานพอที่จะส่งผลกระทบทางอารมณ์อย่างรุนแรงกับเราน่ะ เหมือนส่วนที่เป็น fiction
ยังเป็นเพียงแค่ “ภาพประกอบ” เวลาที่เราอ่านนิยายในนิตยสารหรืออะไรทำนองนี้
มันเหมือนช่วยให้เรารับสารจากผู้ให้สัมภาษณ์ได้ง่ายขึ้น
แต่ตัวมันเองยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของเรามากเท่าที่เราอยากให้เป็น
คือถ้าหากหนังให้เวลากับส่วนที่เป็น fiction นานกว่านี้หน่อย
เราอาจจะ “อิน” กับตัวละครได้มากขึ้น
5.แต่ถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็น fiction แบบเพียว ๆ ไปเลย มันก็จะได้อย่างเสียอย่างเหมือนกันนะ
คือเราก็อาจจะมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครอย่างรุนแรง แต่เราก็อาจจะมองว่า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์พิเศษ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน้อยมาก แบบ “หนี่งในล้าน”
อะไรทำนองนี้
เพราะฉะนั้นเราก็เลยมองว่า
ส่วนที่เป็นสารคดีมันก็มีข้อดีของมันแหละ เพราะส่วนที่เป็นสารคดีมันทำให้เราตระหนักว่า
ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยกว่าที่เราคาดไว้ และมีประเด็นอะไรที่น่าสนใจบ้างสำหรับปัญหานี้
6.สรุปว่าก็ชอบหนังเรื่องนี้มากพอสมควรแหละ
เราว่าทั้งส่วนที่เป็นสารคดีกับส่วนที่เป็น fiction
ในหนังเรื่องนี้ต่างก็มีข้อดีของมัน แต่เราอยากให้ส่วนที่เป็น fiction
ยาวกว่านี้อีกหน่อย เผื่อมันจะสะเทือนใจผู้ชมได้มากยิ่งขึ้นจ้ะ
THE NEGATIVE HANDS (1979, Marguerite
Duras, France, 13min, A+30)
ชอบมาก ๆ ที่ Duras เคยพูดในทำนองที่ว่า เธอต้องการจะฆาตกรรมภาพยนตร์
55555 แต่การดูหนังของเธอนี่แหละที่ช่วย restore my faith in cinema
No comments:
Post a Comment