Monday, January 15, 2007

HIS MOTHER LOST ONE BREAST IN THE KOREAN WAR

ตอบคุณ THE AESTHETICS OF LONELINESS
http://celinejulie.blogspot.com/2007/01/technopolyclinic.html#comments

คุณทวยท้าวปัจจุบันเป็นอาจารย์ในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งค่ะ ดิฉันอิจฉาเธอมากๆเพราะรายได้เธอดีกว่าดิฉันประมาณ 10 เท่า เธอสอนพิเศษเด็กๆมัธยมจนได้เงินเดือนละหลายแสนบาท

ส่วนจันดานนั้นไม่รู้ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง รู้แต่ว่าพอจบมัธยมแล้วเธอก็ไปเรียนต่อสถาปัตย์ ลาดกระบัง เธอมาร่วมงานเลี้ยงรุ่นบ้างเป็นบางครั้ง ได้ข่าวว่าเธออ้วนมาก

รู้สึกผิดเหมือนกันที่ตอนเด็กๆเคยแกล้งจันดานไว้เยอะ ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง FLATLINERS (1990, JOEL SCHUMACHER, A-/B+) ที่ตัวละครตัวนึงเคยแกล้งเด็กผู้หญิงผิวดำในวัยเด็ก และถูกบาปกรรมตามหลอกหลอนเพราะความผิดในครั้งนั้น

จำได้ว่ามีครั้งนึงจันดานเคยถูกเพื่อนๆใช้ไม้กวาดตบหน้ากลางห้องเรียนด้วย จันดานโมโหมากจนประกาศก้องกลางห้องว่า “ชั้นจะไปฟ้องกิจการนักเรียน” เพื่อนๆก็เลยตอบว่า “เชิญเลย แกจะไปฟ้องศาลคดีเด็กและเยาวชนหรือศาลพระภูมิที่ไหน แกก็ไปฟ้องเลย” แต่ในที่สุดจันดานก็ไม่ได้ไปฟ้องใคร

ตอนอยู่มัธยม ดิฉันกับเพื่อนๆก็เคยเป็นฝ่ายถูกแกล้ง และเคยเป็นฝ่ายแกล้งคนอื่นๆเหมือนกัน ในตอนนั้น ดิฉันไม่ได้รู้สึกผิดอะไร เพราะเห็นว่าเพื่อนๆที่ตัวเองสนิทด้วยแกล้งกันอย่างสนุกสนาน ก็เลยร่วมแกล้งอย่างสนุกสนานไปด้วย

แต่หลังจากจบมัธยม และได้อ่านนิยายเรื่อง LORD OF THE FLIES ของ WILLIAM GOLDING ดิฉันก็ช็อคสุดขีดเมื่อได้ตระหนักว่าจริงๆแล้วตัวเองชั่วช้าสารเลวมากเพียงใด และทำให้หลังจากนั้นดิฉันก็เลยแทบไม่กล้าแกล้งเพื่อนอีก และทำให้ LORD OF THE FLIES ติดอันดับนิยายที่ดิฉันชอบที่สุดในชีวิตไปด้วย

ใน LORD OF THE FLIES มีอยู่ฉากนึง ที่ตัวละครพระเอก ซึ่งมีพื้นฐานจิตใจดี ร่วมมือกับเพื่อนๆกลุ่มใหญ่ในการฆ่าเด็กผู้บริสุทธิ์อีกคนนึงด้วยความคึกคะนอง ฉากนั้นทำให้ดิฉันช็อคมากๆเพราะมันทำให้ดิฉันพบว่า การที่ตัวเองทำตามอย่างเพื่อนๆ เห็นว่าเพื่อนสนิทของเราทำอะไร เราก็ทำตามนั้น โดยไม่รู้จักใช้ “สามัญสำนึก” ของตัวเอง มันเป็นสิ่งที่อาจนำมาซึ่งความชั่วร้ายอย่างมากๆ

พูดถึงเรื่องการแกล้งเพื่อน ก็เลยทำให้นึกถึงฟอร์เวิร์ดเมล์ที่เพิ่งได้รับจากเพื่อนคนนึงเมื่อไม่นานมานี้ ฟอร์เวิร์ดเมล์อันนั้นเล่าเรื่องของคุณครูโรงเรียนมัธยมคนนึงที่พบว่าเด็กนักเรียนคนนึงรู้สึกอับอายแม่ของตัวเองเป็นอย่างมาก เขาไม่อยากให้แม่ของเขามาพบคุณครูที่โรงเรียน เพราะแม่ของเขาแขนด้วนข้างนึง และถ้าแม่ของเขามาโรงเรียน เพื่อนๆก็จะพากันล้อเขาที่เขามีแม่แขนด้วนข้างนึง

คุณครูคนนี้ได้คุยกับคุณแม่คนนั้น และก็พบว่าสาเหตุที่คุณแม่คนนั้นแขนด้วนเป็นเพราะคุณแม่คนนั้นเคยช่วยลูกชายคนนี้จากอุบัติเหตุจนส่งผลให้คุณแม่ต้องแขนด้วน แต่การเสียสละแขนข้างนึงของคุณแม่ก็ช่วยให้ลูกชายรอดชีวิตมาได้ คุณครูคนนี้จึงนำความจริงนี้มาเล่าให้นักเรียนทุกคนในห้องฟัง และให้นักเรียนทุกคนที่เคยล้อเลียนเพื่อนคนนี้ลุกขึ้นมาสารภาพผิดที่ตัวเองเคยล้อเลียน นักเรียนที่ได้ฟังเรื่องนี้ต่างก็รู้สึกผิดกับการล้อเลียนเพื่อน และเพื่อนคนนั้นก็เลิกอายคุณแม่ของตัวเองอีกต่อไป และในที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง

ดิฉันพยายามกลับไปหาฟอร์เวิร์ดเมล์อันนี้ แต่หาไม่เจอ สงสัยว่าตัวเองคงเผลอลบทิ้งไปแล้ว รู้สึกเสียดายเมล์นี้มากเหมือนกัน ไม่น่าลบทิ้งไปเลย เพราะเรื่องราวของคุณแม่คนนี้น่าเศร้าและน่าซาบซึ้งใจมากๆ และมันทำให้ดิฉันรู้สึกผิดที่เคยล้อเลียนเพื่อนคนนึงในแบบคล้ายๆกันนี้สมัยเรียนมัธยม

สมัยเรียนมัธยม ดิฉันกับเพื่อนๆในชั้นเรียนเคยล้อเพื่อนคนนึง สมมุติว่าชื่อ “กีบนภา” เพื่อนๆในชั้นเรียนพากันล้อกีบนภาที่แม่ของเขามีนมแค่ข้างเดียว โดยเพื่อนๆบอกต่อๆกันมาว่าที่แม่ของกีบนภามีนมข้างเดียว เป็นเพราะแม่ของกีบนภาเคยไปรบในสงครามเกาหลี แล้วต้องคลานลอดลวดหนามจนลวดหนามเกี่ยวนมข้างนึงขาด และส่งผลให้แม่ของกีบนภาเหลือนมแค่ข้างเดียว

“แม่แกไปรบในสงครามเกาหลี” “แม่แกถูกลวดหนามเกี่ยวนมขาดข้างนึง” เป็นประโยคที่ดิฉันและเพื่อนๆนำมาล้อเลียนกีบนภาบ่อยๆสมัยมัธยม โดยไม่ได้สำนึกเลยว่าการทำเช่นนั้นมันเป็นสิ่งที่เลวร้ายเพียงใด และมันอาจสร้างความเจ็บปวดใจให้แก่กีบนภาอย่างไรบ้าง

หลังจากจบมัธยม ดิฉันได้มีโอกาสคุยกับกีบนภาอีกครั้ง และถามว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าที่แม่ของกีบนภามีนมแค่ข้างเดียวเพราะไปรบในสงครามเกาหลีจนถูกลวดหนามเกี่ยวนมขาด กีบนภาตอบว่าแม่ของเขามีนมข้างเดียวจริงๆ เพราะแม่ของเขาเคยเป็นมะเร็งเต้านม แต่สามารถรักษาได้ด้วยการตัดนมทิ้งไปข้างนึง

พอได้ฟังอย่างนี้แล้ว ดิฉันก็รู้สึกสงสารกีบนภามากๆ และรู้สึกผิดที่ตัวเองเคยล้อเลียนกีบนภา อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นดิฉันก็ลืมเรื่องนี้ไป จนกระทั่งได้อ่านฟอร์เวิร์ดเมล์จากเพื่อนเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ดิฉันก็เลยหวนนึกถึงเรื่องของคุณแม่ของกีบนภากับลวดหนามในสงครามเกาหลีขึ้นมาได้อีกครั้ง แต่ก็อดรู้สึกขำไม่ได้ ที่ตอนเด็กๆดิฉันกับเพื่อนๆทั้งชั้นเรียนเคยเชื่อกันเป็นตุเป็นตะว่าคุณแม่ของกีบนภาไปรบในสงครามเกาหลีจนเสียนมข้างนึงจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าต้นกำเนิดของข่าวลือผิดๆนี้มันมาจากใคร (บางทีอาจจะมาจากคุณทวยท้าว ฮ่าๆๆๆ)

1 comment:

Anonymous said...

ชอบประเด้นนั้นในหนังเรื่อง Flatliners เหมือนกัน ดูตอนเด็กๆ แล้วหลอนมากๆ

และไม่น่าเชื่อว่า UBC ยังคงฉายวนหนังเรื่องนี้ต่อไป (ฮา)