Wednesday, August 31, 2016

THE NEON DEMON (2016, Nicolas Winding Refn, A+30)

THE NEON DEMON (2016, Nicolas Winding Refn, A+30)

1.พล็อตเรื่องของมันจริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรใหม่ ดูแล้วก็นึกถึงหนังอย่าง SHOWGIRLS (1995, Paul Verhoeven) หรือละครทีวีเรื่อง MODELS INC (1994-1995) แต่มันเป็นพล็อตแนวที่เราชอบมากอยู่แล้ว เพราะมันเป็นพล็อตแนวผู้หญิงตบตีกัน

2.ถึงพล็อตมันจะไม่ใหม่ แต่เราก็ดูหนังเรื่องนี้ด้วยความเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นหนังแนว “THE STYLE IS THE SUBSTANCE” น่ะ คือเนื้อเรื่องของหนังไม่สำคัญเท่าสไตล์ของหนัง และถ้าสไตล์ของหนังเรื่องนั้นมันคลิกกับเรา หรือมันถูกต้องตรงตามรสนิยมของเรา เราก็จะเพลิดเพลินกับมัน 

และเราก็รู้สึกว่าสไตล์ของหนังเรื่องนี้มันจูนติดกับเราอย่างมากๆ เราว่ามันเป็นสไตล์ที่ทำให้นึกถึงบรรยากาศหลอนๆในหนังอย่าง LOST RIVER (2014, Ryan Gosling), IT FOLLOWS (2014, David Robert Mitchell) และ ENEMY (2013, Denis Villeneuve) น่ะ ซึ่งก็ดูเหมือนเป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจาก David Lynch อีกทอดนึง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีศัพท์เฉพาะเรียกหนังกลุ่มนี้หรือเปล่า แต่มันเป็นหนังกลุ่มที่เราชอบมากๆ

3.นอกจากนี้ หนังเรื่องนี้ก็ได้รับอิทธิพลจากหนังกลุ่ม giallo และหนังสยองขวัญของอิตาลีในทศวรรษ 1970 ด้วย ซึ่งเป็นหนังกลุ่มที่เราชอบมากพอสมควร ถึงแม้เราได้ดูหนัง giallo ไม่เยอะมากนัก โดยในบรรดาหนังสยองขวัญยุคเก่าของอิตาลีที่เราเคยดูนั้น นอกจากหนังของ Dario Argento แล้ว เรื่องที่เราชอบมากๆก็รวมถึTHE RED QUEEN KILLS SEVEN TIMES (1972, Emilio Miraglia) กับ BLACK BELLY OF THE TARANTULA (1971, Paolo Cavara) แต่เรายังไม่ได้ดูหนังกลุ่มนี้ที่กำกับโดย Lucio Fulci, Mario Bava, Pupi Avati, Sergio Martno, Antonio Margheriti, Umberto Lenzi, etc. เลย 

ถ้าเทียบกับหนังระทึกขวัญอิตาลียุคนั้นแล้ว เราก็พึงพอใจกับ THE NEON DEMON มากนะ เพราะหนังระทึกขวัญอิตาลียุคนั้นมันเหมือนให้ความสำคัญกับ style และ substance ในระดับครึ่งต่อครึ่งน่ะ คือมันมี style ที่น่าจดจำในระดับนึง แต่มันก็ให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องด้วย มันพยายามเล่าเรื่องให้สนุก สร้างความลุ้นระทึกว่าใครกันแน่ที่จะเป็นฆาตกรตัวจริง (เหมือนหนังชุด SCREAM ของ Wes Craven) และลุ้นว่านางเอกจะรอดพ้นเงื้อมมือฆาตกรได้หรือไม่

แต่การที่หนังระทึกขวัญอิตาลีให้ความสำคัญกับ เนื้อเรื่องมากแบบนั้น มันก็เป็นข้อด้อยในตัวมันเองเหมือนกัน คือหนังระทึกขวัญพวกนี้ มันจะ ลุ้นระทึกสุดขีดตอนที่ดูน่ะ แต่พอมันเฉลยตัวฆาตกรแล้ว ความสนุกของหนังมันมักจะหายไปภายในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนฟองน้ำอัดลมที่ฟู่ขึ้นมาอย่างรุนแรงแล้วก็ปลาสนาการไป ยกเว้นแต่หนังที่มันผูกเรื่องได้สนุกสุดขีดจริงๆ หรือมีไอเดียพล็อตเรื่องที่น่าจดจำจริงๆ อย่าง DEEP RED (1975, Dario Argento) และ PHENOMENA (1985, Dario Argento) มันถึงจะตราตรึงในความทรงจำของเรา

ซึ่งสิ่งนี้จะแตกต่างจาก THE NEON DEMON เพราะหนังเรื่องนี้เหมือนให้ความสำคัญกับ substance แค่ 20% และให้ความสำคัญกับ style ถึง 80% เพราะฉะนั้นขณะที่ดู เราก็ไม่ต้องลุ้นว่าใครจะเป็นฆาตกรหรืออะไรทำนองนั้น เราเพลิดเพลินอย่างเต็มที่ไปกับภาพอันเจิดจรัสเพริศแพร้วที่เห็นต่อหน้า และเพลิดเพลินกับบรรยากาศที่อึมครึมอัดแน่นไปด้วยความหลอน และเราว่าสิ่งนี้มันค่อนข้างเข้าทางเรามากๆน่ะ เพราะเราเองมักจะพบว่า เนื้อเรื่องของหนังหลายๆเรื่องมันขัดขวางความสุขของเรา หรือมันขัดขวาง การปลดปล่อยจิตใต้สำนึกของผู้กำกับออกมาอย่างเต็มที่และเรารู้สึกเหมือนกับว่า ถ้าหากผู้กำกับบางคนปลดปล่อยจิตใต้สำนึกของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องพยายาม เล่าเรื่องมันอาจจะได้หนังที่เข้าทางเรามากกว่า อย่างเช่นหนังของ Teeranit Siangsanoh 

และเราว่า THE NEON DEMON มันก็อาจจะเป็นแบบนี้นะ มันเหมือนกับว่าผู้กำกับไม่ค่อยสนใจเนื้อเรื่องแล้ว และเน้นงานด้านภาพที่สะใจตัวเองไปเลย และมันก็เลยได้ความสะใจสำหรับเราด้วย เพราะเราก็ชอบภาพแบบนี้เหมือนกัน

แต่เรื่องแบบนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้กำกับแต่ละคนนะ เราว่าผู้กำกับอย่าง Kiyoshi Kurosawa ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะหนังของเขาได้ทั้งความหลอนเต็มที่ด้วย แต่ก็อัดแน่นไปด้วย substance อย่างมากๆด้วยในขณะเดียวกันคือผู้กำกับแต่ละคนมันก็มีสิ่งที่เหมาะสมกับตนเองแตกต่างกันไปน่ะ ผู้กำกับคนไหนที่ถนัดทำหนังมีสาระ ก็ทำหนังมีสาระไป, ผู้กำกับคนไหนที่ถนัดทำทั้งหนังมีสาระและสไตล์ ก็ทำหนังแบบนั้นไป (อย่างเช่น Peter Greenaway ที่หนังของเขาสไตล์หนักมาก แต่ก็ intellectual มากๆ) แต่ผู้กำกับคนไหนที่ถนัดทำหนังเน้นสไตล์อย่างเดียว เราก็ขอสนับสนุนให้เขาทำหนังที่เน้นสไตล์อย่างเดียวไปเลย โดยไม่ต้องเอา สาระหรือ เนื้อเรื่องมาถ่วงหนังของตนเอง

4.การที่ THE NEON DEMON เน้นสไตล์เป็นหลัก จริงๆแล้วมันก็เข้ากับเนื้อเรื่องของหนังด้วย เพราะมันเป็นเรื่องของวงการแฟชั่นที่เน้น ผิวเปลือกและ สไตล์มากกว่าสิ่งที่อยู่ข้างในเหมือนกัน

5.ความสุขที่เราได้จาก THE NEON DEMON มันทำให้นึกถึงความสุขที่ได้จากหนังกลุ่ม THE STYLE IS THE SUBSTANCE เรื่องอื่นๆนะ อย่างเช่น

5.1 THE MOON IN THE GUTTER (1983, Jean-Jacques Beineix)

5.2 THE FLIGHT OF THE INNOCENT (1992, Carlo Carlei) จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ก็มี substance ที่ดีมากๆนะ แต่สิ่งที่ตราตรึงในความทรงจำจริงๆกลับเป็น งานด้านภาพมากกว่า

5.3 TEARS OF THE BLACK TIGER (2000, Wisit Sasanatieng)

5.4 FEMME FATALE (2002, Brian de Palma)

5.5 ONE DAY A DAY (2009, Kirati Nakintanont) ที่มีฉากนางเอกอุจจาระออกมาเป็นดอกกุหลาบ ถ้าจำไม่ผิด

และมันทำให้นึกถึงหนังนักศึกษาไทยกลุ่มนึงด้วย คือถ้าเราเข้าใจไม่ผิด นักศึกษาไทยในบางมหาลัยต้องทำหนังในวิชา “production design” หรืออะไรทำนองนี้น่ะ เพราะฉะนั้นหนังที่ทำส่งวิชานี้ หลายๆเรื่องมันจะเน้นโปรดักชั่นฉูดฉาดอย่างเดียว ไม่เน้นเนื้อเรื่อง 

6.แน่นอนว่าทุกอย่างมีข้อดีข้อด้อยในตัวมันเอง การที่ THE NEON DEMON เน้นสไตล์เป็นหลักอย่างรุนแรง ในแง่นึง มันทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้มากกว่าหนังระทึกขวัญของอิตาลีในทศวรรษ 1970 เพราะความสุขที่เราได้รับอย่างรุนแรงจากงานด้านภาพใน THE NEON DEMON ไม่ถูกทำลายลงด้วย การคลี่คลายของพล็อตเรื่องหรือ การเฉลยว่าใครเป็นฆาตกรแบบที่เป็นปัญหาในหนังระทึกขวัญของอิตาลีหรือของชาติอื่นๆ

แต่ในอีกแง่นึง การที่ THE NEON DEMON เน้นสไตล์อย่างรุนแรง มันก็ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้น้อยกว่าหนังกลุ่มสาวผู้มาล่าฝันในแอลเออย่าง MULHOLLAND DRIVE (2001, David Lynch) และ MAPS TO THE STARS (2014, David Cronenberg) นะ เพราะมันเหมือนกับว่า THE NEON DEMON ใช้ ผิวเปลือกในการกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของเราอย่างรุนแรง ในขณะที่ MULHOLLAND DRIVE มันเหมือนลงลึกไปในดินแดนลึกลับในจิตใต้สำนึกของตัวละครและผู้ชมได้ด้วย และมันเป็นอะไรที่สะเทือนเรารุนแรงกว่า THE NEON DEMON ส่วน MAPS TO THE STARS นั้น มันเจาะลึกจิตวิญญาณของตัวละครแต่ละตัวออกมาได้อย่างรุนแรงมากๆ และเราว่าอะไรแบบนี้คือสิ่งที่เราชอบมากที่สุด 

คือจริงๆแล้วเราว่าตัวละครใTHE NEON DEMON กับตัวละครใน MAPS TO THE STARS นั้น มันดูเหมือนเป็นเพื่อนบ้านกันนะ มันมีความวิปริตเวิ้งว้างในจิตใจเหมือนๆกัน

แต่ THE NEON DEMON นำเสนอให้เราเห็นผิวหนังอันมลังเมลืองของตัวละคร

MULHOLLAND DRIVE ให้เราเห็นจิตใต้สำนึกของตัวละคร
MAPS TO THE STARS ให้เราเห็นจิตวิญญาณอันวิปริตบิดเบี้ยวของตัวละครแต่ละตัว

และเราก็ชอบหนังทั้งสามเรื่องนี้อย่างสุดๆ แต่เราอาจจะชอบแบบ MAPS TO THE STARS มากที่สุดในสามเรื่องนี้

7.ฉากที่ชอบที่สุดใน THE NEON DEMON คือฉากช่วงต้นเรื่องที่นางเอกดูการแสดงในคลับน่ะ เราว่าฉากนั้นหนังดีไซน์ภาพเสียงออกมาได้อย่างเข้าทางเราสุดๆ คือฉากนั้นมันคือสไตล์จริงๆ เพราะมันไม่มีเนื้อเรื่องอะไรเลยในฉากนั้น เราแค่เห็นใบหน้าของตัวละคร, การชำเลืองตาของตัวละคร, การกะพริบของแสงไฟ, เงาสะท้อนไฟอะไรสักอย่างบนหน้าจอ, จังหวะการตัดต่อ, จังหวะของเสียงเพลง คือมันดูเป็นฉากที่ไม่มีเนื้อเรื่องอะไร แต่พลังจากฉากนั้นมันสุดๆมากด้วยความสามารถด้าน visual design, sound, การตัดต่อ

อีกสาเหตุนึงที่ทำให้เราชอบฉากนี้มากที่สุด เพราะตอนนั้นเรายังไม่รู้จักตัวละครดีด้วยแหละ ตัวละครทั้ง 4 ตัวในฉากนี้ยังคงเป็นความลับสำหรับเรา เรายังไม่รู้ว่าตัวละครทั้ง 4 ตัวนี้มี ศักยภาพอะไรบ้าง เป็นมนุษย์ธรรมดา หรือว่าเป็นฆาตกรโรคจิต หรือว่าเป็นมนุษย์อภินิหาร หรืออะไรกันแน่ ฉากนี้มันก็เลยสร้างความตื่นเต้นให้กับเราอย่างมากๆ แต่พอเนื้อเรื่องดำเนินไป และเราพบว่าตัวละครบางตัวมันไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์สูงอย่างที่เราคาดไว้ ฉากช่วงหลังๆของเรื่องก็เลยไม่ได้กระทบอารมณ์เรามากเท่าฉากต้นเรื่อง

จริงๆแล้วฉากนี้ใน THE NEON DEMON มัน สั่นสะเทือนเราด้วยพลังด้านภาพและเสียงได้เท่ากับหนังของ Philippe Grandrieux เลยนะ คือหนังของ Philippe Grandrieux อย่าง SOMBRE (1998) มันก็ทำให้เรารู้สึก ecstatic อย่างเต็มที่ได้ด้วยงานด้านภาพและเสียงเหมือนฉากต้นเรื่องใน THE NEON DEMON เหมือนกัน แต่มันแตกต่างกันตรงที่ SOMBRE ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นได้ตลอดทั้งเรื่อง แต่ THE NEON DEMON ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นได้เพียงแค่ไม่กี่ฉากเท่านั้น

สรุปว่าเราชอบ THE NEON DEMON อย่างสุดๆ แต่ในขณะเดียวกัน เราว่า พลังความมืดในหนังเรื่องนี้ มันไม่ทรงพลังมากเท่ากับ พลังความมืดในหนังของ David Lynch, David Cronenberg และ Philippe Grandrieux น่ะ คือมันมีความใกล้เคียงกันในระดับนึง แต่พอเปรียบเทียบกันแล้ว เราว่า Philippe Grandrieux ยังคงชนะขาดแบบไม่เห็นฝุ่นในแง่พลังด้านภาพและเสียงที่จูนติดกับเรามากที่สุด

No comments: