Wednesday, June 08, 2022

THAI SHORT FILMS SEEN FOR THE FIRST TIME IN THE “CINEMATIC KALEIDOSCOPE” PROGRAM

 

THAI SHORT FILMS SEEN FOR THE FIRST TIME IN THE “CINEMATIC KALEIDOSCOPE” PROGRAM

 

1.HERE, THERE, AND EVERYWHERE (กฤตภาส เลิศวนานนท์, 6min, A+15)

 

เหมือนผู้กำกับหนังเรื่องนี้ไปกำกับ MV ได้เลย เพราะเป็นหนังไร้บทสนทนาที่ถ่ายสวย, stylish, สร้างความประทับใจได้ด้วยการเรียงร้อยหรือตัดต่อฉากหลาย ๆ ฉากเข้าด้วยกันด้วยจังหวะที่ลงตัว

 

ถ้าเปรียบเทียบหนังเป็นเพลง เราก็รู้สึกว่าในขณะที่หนังทั่วไปอาจจะให้ความสำคัญกับ “เนื้อเรื่อง” เหมือนเพลงที่ให้ความสำคัญกับ “เนื้อร้อง” เราก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เหมือนเพลงที่ให้ความสำคัญกับ “จังหวะ” เป็นหลักน่ะ เพราะความประทับใจหลักของเราที่มีต่อหนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่เรื่องราวความรักหนุ่มสาวในหนัง แต่อยู่ที่จังหวะการตัดต่อจากฉากนึงไปยังอีกฉากนึงมากกว่า คือเหมือนอารมณ์รุนแรงในหนังมาจากการตัดต่อฉากต่าง ๆ  มากกว่าจากเนื้อเรื่อง

 

ดูแล้วนึกถึง SLEEPING SUN (2018, ผุสชาติ สัจจะไทย) ด้วย

 

2.MERCILESSLY SLAUGHTERING (ธนสร แก้ววานิช, 11min, A+15)

 

เรื่องของคนที่ถูกเลี้ยงดูเหมือนสัตว์ที่ถูกฆ่าเพื่อเอาเนื้อมากิน เหมาะฉายควบกับ FLY แมลงวัน (2019, Pimtida Anothaisintawee) มาก ๆ เพราะเหมือนหนังสองเรื่องนี้พูดถึงประเด็นเดียวกัน แต่ MERCILESSLY SLAUGHTERING ดูเล่าเรื่องมากกว่า ส่วน FLY ดู stylish กว่า

 

เหมาะฉายควบกับ GUNDA (2020, Viktor Kosakovskiy, Norway) และ “หมูในเล้า” (2017, Kongphob Chairattanangkul) ด้วย 5555

 

3.IN PLAIN SIGHT ลับแล (จตุพล เขียวแสง, 23min, A+30)

 

สุดฤทธิ์ ชอบสุดขีด งดงามที่สุด ติดอันดับประจำปีแน่นอน และแน่นอนว่าเป็นหนังที่เราดูไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่มันทรงพลังมาก ๆ สำหรับเรา 5555

 

เหมือนหนังเริ่มด้วยการเล่าเรื่องของสาวอีสานชื่อ “หล้า” ที่มาดูแลย่าที่นอนป่วยในกรุงเทพ มีเพื่อนสาวมาเยี่ยมเธอขณะที่เธอตากผ้า และเพื่อนก็ให้ชุดสวยกับเธอ เธอก็เลยจะแต่งชุดสวยไปเดินห้าง แต่เธอตัดสินใจถอดสายสิญจน์ออก แล้วใส่กำไลสวย ๆ แทน ถึงแม้ย่าจะเตือนเธอแล้วว่าอย่าถอดสายสิญจน์

 

เธอได้คุยกับพนักงานชายในห้างคนนึง แล้วอยู่ดี ๆ เสียง voiceover ก็กลายไปเป็นเสียงของ “แม่ซื้อ” หรืออะไรทำนองนี้ แล้วก็มีอะไรงง ๆ พิศวงในหนังเกิดขึ้นตามมาอีก

 

คุณ Jatupol Kiawsaeng นี่ถือเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ที่มาแรงสุดขีดคนนึงสำหรับเรา เพราะเราได้ดูหนังเรื่องนี้ของเขาเป็นเรื่องที่ 3 แล้ว และชอบสุด ๆ ทั้ง 3 เรื่องเลย โดยอีกสองเรื่องก็คือ UNE PLUS UNE ÉGALE UN (2019, Jatupol Kiawsaeng) ที่เคยติดอันดับ 57 ของเราในปี 2019 และหนังเรื่อง INT. MY HOUSE – A PARTICULAR PERIOD (2021, Jatupol Kiawsaeng, A+30) ที่เป็นหนังการเมืองที่ฉายในงานมาราธอนปีที่แล้ว

 

4.MEMENTO MORI มรณา (ปารมี ขำเพ็ง, animation, A+10)

 

5. BLANK (นันทิชา เมฆสุวรรณ, animation, A+)

 

6. CLOSE (ทิว เลิศชัยประเสริฐ, 12min, A+30)

 

เหมือนถ้าหนังมันพลิกไปอีกทางนึง เราจะเชื่อว่ามันเป็น “เรื่องจริง” เลยนะ 55555 เพราะบางช่วงของหนังมันดูเป็น mockumentary ที่สมจริง และเหมือนเราก็เคยได้ยินข่าวนิสิตจุฬาฆ่าตัวตาย หรือคนฆ่าตัวตายแถว ๆ สามย่าน/จุฬามาก่อน เพราะฉะนั้นพอหนังมันไปพาดพิงอะไรแบบนี้ตอนช่วงกลางเรื่อง เราก็เลยเผลอนึกขึ้นมาแว้บนึงว่า มันคือเรื่องจริงหรือเปล่านะ มันคือการไปตามสัมภาษณ์เพื่อน ๆ ของคนที่ฆ่าตัวตายหรือเปล่า แต่ เอ๊ะ ฉากเปิดเรื่องมันบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่นี่นา เพราะฉะนั้นนี่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงน่ะสิ 5555

 

แต่พอครึ่งหลังหนังก็เหมือนเลิกทำตัวเป็น mockumentary แล้ว และแสดงตัวว่าเป็น fiction อย่างเต็มตัว แต่เราก็ยังคงชอบหนังอย่างมาก ๆ อยู่ดี

 

7.FRONT MAN AT THE SEA (กลุ่มนิสิตภาคฟิล์มชั้นปีที่ 3, documentary, A+30)

8.SOUND OF THE SEA (กลุ่มนิสิตภาคฟิล์มชั้นปีที่ 3, documentary, A+30)

 

หนักมาก เราไม่เคยรู้ปัญหานี้มาก่อนเลย ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องใกล้ตัวเรา (เพราะเราชอบกินปลามาก ๆ) เรื่องของปลาที่กำลังจะหมดไปจากน่านน้ำไทย เพราะเรือประมงพาณิชย์บางลำทำผิดกฎหมาย แอบจับปลาเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่ปลาจะโตไปจนหมด (เพื่อเอาไปทำเป็นอาหารสัตว์มั้ง) เพราะฉะนั้นก็เลยแทบไม่มีปลาเหลือมากพอที่จะโตขึ้นมาและสืบพันธุ์ต่อไป ชาวประมงที่ทำถูกกฎหมายก็เลยแทบจับปลาไม่ได้เลย

 

FRONT MAN AT THE SEA เน้นสัมภาษณ์ผู้นำในการเรียกร้องเพื่อชาวประมงนี้ และสัมภาษณ์ลูกชายของผู้นำคนนี้ ส่วน SOUND OF THE SEA เน้นสัมภาษณ์ชาวประมงที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างรุนแรงจากปัญหานี้

 

คือพอดูหนังสองเรื่องนี้เสร็จ ในวันต่อมาเราก็ได้รับอีเมลจาก change.org ให้ร่วมลงชื่อเรียกร้องเรื่องนี้พอดี เราก็เลยรีบลงชื่อไปเลย เพราะฉะนั้นก็เลยต้องยอมรับว่า หนังสองเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อตัวเราเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากเราไม่ได้ดูหนังสองเรื่องนี้มาก่อน เราก็อาจจะไม่รู้ว่าปัญหามันร้ายแรงขนาดนี้ และเราก็คงไม่ได้เห็นความทุกข์ยากของชาวประมงด้วยตาตัวเอง และเราก็อาจจะไม่ได้ใส่ใจกับอีเมลฉบับนั้นก็ได้

 

 คือถ้าหากเราไม่ได้ดูหนังสองเรื่องนี้ แล้วเราได้เห็นอีเมลฉบับนั้น เราก็อาจจะรู้สึกเพียงแค่ว่า อีเมลฉบับนั้นมันเป็นแค่ text ที่แจ้งให้เรารับรู้ว่ามันมีปัญหานี้อยู่ในประเทศไทยนะ แล้วเราก็คงไม่ใส่ใจกับอีเมลฉบับนั้นอีก

 

แต่พอเราได้เห็นใบหน้าของชาวประมง, ได้รับฟังเรื่องราวของพวกเขา และเหมือนได้สัมผัสถึงความทุกข์ยากของพวกเขาผ่านทางหนังสองเรื่องนี้ อีเมลฉบับนั้นก็เลยเหมือนไม่ได้เป็นแค่ text ตัวอักษรที่แจ้งให้เรารู้ว่ามีปัญหานี้อยู่ในประเทศไทยน่ะ แต่มันกระตุ้นเตือนให้นึกถึงความทุกข์ยากของชาวประมงในหนังสองเรื่องนี้ด้วย

No comments: