AFTER YANG (2021, Kogonada, A+30)
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
--
--
--
--
--
1.สิ่งหนึ่งที่สงสัยก็คือว่า หนังเรื่องนี้ตั้งใจสะท้อน
“ความรู้สึกไม่ belong ในสังคมอเมริกันอย่างแท้จริงของชาว chinese-american บางคน” หรือเปล่า โดยเฉพาะคนจีนอพยพ “รุ่นก่อน” และยังมีสถานะเป็นชนชั้นแรงงานอยู่
คือหนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้นะ แต่พอดูหนังแล้วเราก็เลยแอบคิดว่า
การที่ Yang
ไม่ได้มีสถานะเป็น “คน” อย่างสมบูรณ์ในหนังเรื่องนี้
มันสะท้อนความรู้สึกของการไม่ belong เป็นส่วนหนึ่งของสังคมอเมริกันอย่างสมบูรณ์เหมือนคนขาว,
คนดำ, คนเอเชียสถานะดี (อย่างเช่นสาวอินเดียเจ้าของพิพิธภัณฑ์) และคนเอเชียรุ่นใหม่ (อย่าง Mika) หรือเปล่า
และในการที่ Yang จะเข้าใกล้ “ความเป็นคน” ได้มากยิ่งขึ้นนั้น
หรือในการที่ Yang จะทำลายความเป็นหุ่นยนต์ของเขาลงได้บางส่วนนั้น
การที่เขาได้รักกับ “คน” ก็จะช่วยให้เขาเข้าใกล้ “ความเป็นคน” มากยิ่งขึ้นด้วย
และในหนังเรื่องนี้ เขาก็ไปรักกับสาวผิวขาว
ซึ่งมันก็เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า
ในการที่คนเอเชียจะกลืนเข้ากับสังคมอเมริกันได้มากยิ่งขึ้นนั้น
การมีคู่ครองเป็นคนอเมริกัน ก็เป็นปัจจัยหนึ่งเช่นกัน เราก็เลยแอบคิดว่า
“ความเป็นหุ่นยนต์/ความเป็นคน” ในหนังเรื่องนี้ มันทำให้เรานึกถึง
“ความเป็นคนจีนที่ยังไม่รู้สึก belong อย่างแท้จริงในสังคมอเมริกัน/ความรู้สึก
belong อย่างแท้จริงในสังคม” ซึ่งเราอาจจะคิดไปเองก็ได้
หนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจบอกอย่างนั้น 55555
คือพอเห็น Yang กับสาวคนรักผิวขาวในหนังเรื่องนี้ เราก็นึกถึง BLUE
BAYOU (2021, Justin Chon) ขึ้นมาน่ะ
2.หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงความแตกต่างระหว่างสถานะของคนดำกับคนจีนในสังคมอเมริกันด้วยแหละ
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหนังตั้งใจหรือเปล่า
ประเด็นแรกที่ทำให้เรานึกถึงก็คือว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้
สถานะของคนจีนในสังคมอเมริกันคงแย่ลงมาก
เพราะปัญหาโรคโควิดที่นำไปสู่การเหยียดเชื้อชาติอย่างรุนแรง
และเพราะว่าในช่วงก่อนเกิดสงครามยูเครน ประเทศจีนเคยมีสถานะเป็นศัตรูหลักที่น่ากลัวของอเมริกาด้วย
ทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะในยุคของทรัมป์ที่ตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าจีน
และมีความหวาดระแวงอย่างรุนแรงว่าสินค้าเทคโนโลยีจากจีนจะมี spyware มีเครื่องดักฟังอะไรต่าง
ๆ แอบซ่อนอยู่
เพราะฉะนั้นสถานะของคนจีนในอเมริกานี่น่าจะแย่ลงมากตั้งแต่ยุคทรัมป์
และแย่ลงไปอีกในยุคโควิด แต่พอเกิดสงครามยูเครน ศัตรูหลักของสหรัฐก็อาจจะกลับกลายไปเป็นรัสเซียแบบในยุคสงครามเย็นแทน
3.อีกประเด็นที่หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึง
โดยที่หนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจ ก็คือว่า คนดำไม่ต้องแบกรับภาระทางวัฒนธรรม 4000
ปีก่อนแบบคนจีน และมันก็เลยอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งหรือเปล่า ที่ทำให้คนจีนมีความแปลกแยกบางอย่างจากสังคมอเมริกันในแบบของตัวเอง
คือเหมือนคนดำในอเมริกา
ไม่จำเป็นต้องไปศึกษาวัฒนธรรมหลายพันปีก่อนในทวีปแอฟริกาน่ะ ไม่ต้องเรียนภาษา Wolof ภาษา Swahili
หรืออะไร ก็เรียนภาษาอังกฤษ คิดเป็นภาษาอังกฤษ สื่อสารเป็นภาษาอังกฤษกับสมาชิกในครอบครัวตั้งแต่เกิดไปเลย
เติบโตมากับวัฒนธรรมคนดำในอเมริกาไปเลย
ไม่ต้องไปแบกรับภาระหน้าที่ในการส่งต่อวัฒนธรรม 4000 ปีก่อนจากจีนยุคโบราณให้แก่คนจีนรุ่นหลัง
ๆ แบบที่ Yang ต้องแบกรับภาระนั้น
4.น่าสนใจมากที่หนังใส่สาวอินเดียเข้ามาในหนังด้วย ซึ่งจริง ๆ
แล้วเธอก็ปรากฏตัวในฉากเต้นรำแข่งขันตั้งแต่ในช่วงต้นเรื่อง
ก่อนที่จะปรากฏตัวในฐานะเจ้าของพิพิธภัณฑ์ในเวลาต่อมา
แต่เธอก็เหมือนกลืนเข้ากับสังคมได้ดีนะ เพราะสถานะทางสังคมที่ดีของเธอ
อันนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ แต่เราคิดว่าจริง ๆ
แล้วสังคมคนอินเดียในต่างประเทศ ก็อาจจะมีลักษณะบางอย่างคล้าย ๆ
กับสังคมคนจีนในต่างประเทศเหมือน ๆ กัน ในแง่การยังใช้ภาษาดั้งเดิมของชาติตัวเอง,
การมีชุมชนของตนเอง, ความพยายามที่จะรักษาวัฒนธรรมหลายพันปีก่อนของชาติตนเอง แต่คนอินเดียอาจจะมีความแตกต่างจากคนจีนในอเมริกาในแง่นึงมั้ง
เพราะอินเดียไม่ได้มีสถานะเป็นศัตรูทางการเมืองของสหรัฐ
5.ดูแล้วนึกถึง AFTER LIFE (1998, Hirokazu Koreeda) ด้วย ในแง่การบันทึกความทรงจำหลังความตาย และคิดถึงหนังไซไฟเรื่อง THE
FINAL CUT (2004, Omar Naim) ด้วย
6.แอบคิดว่า
ถ้าหากหุ่นยนต์ในหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเชื้อชาติและไม่ต้องแบกรับหน้าที่ในการถ่ายทอดวัฒนธรรม
4000 ปีก่อนของชาวจีน
หุ่นยนต์ในหนังเรื่องนี้ก็อาจจะบันทึกความทรงจำที่น่าประทับใจในทุกๆ วัน วันละ 10
วินาทีเก็บไว้ โดยที่ความทรงจำเหล่านั้นอาจจะเป็น moments เล็ก ๆ น้อย
ๆ ในแต่ละวัน โดยไม่ต้องมีเรื่อง drama ความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง
และพอเราเอาความทรงจำของหุ่นยนต์ตัวนั้นมา replay เอาซีนความประทับใจในแต่ละวัน
วันละ 10 วินาทีของหุ่นยนต์ตัวนั้นมาเรียงร้อยเข้าด้วยกัน เราก็จะได้หนังเรื่อง AS
I WAS MOVING AHEAD OCCASIONALLY I SAW BRIEF GLIMPSES OF BEAUTY (2000, Jonas
Mekas, 4hours 48mins, A+30)
A CONVERSATION WITH THE SUN (2022, Apichatpong Weerasethakul,
DuckUnit, Pat Pataranutaporn, video installation, A+30)
1.ประทับใจการเคลื่อนตัวไปมาของผ้าม่าน/จอฉายภาพยนตร์มาก ๆ
ซึ่งตอนที่ดูวิดีโอนี้ ทำไมเราถึงรู้สึกว่าจอฉายภาพยนตร์นี้มันเหมือน “ผ้าห่อศพ”
ยังไงไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะมันมาพร้อมกับภาพเปลวไฟเผาผลาญ เพราะฉะนั้นพอเราเข้าไปในแกลเลอรี่
แล้วเจอผ้าขาว ๆ พร้อมกับเปลวไฟเผาผลาญมันอยู่ เราก็เลยรู้สึกว่าอีนังจอฉายภาพยนตร์นี่
มันเหมือน “ผ้าห่อศพ” สำหรับเรา เราก็เลยขอเรียกมันว่า อีผ้าห่อศพก็แล้วกันนะ 55555
คือตอนแรกกะว่าจะเข้าไปนั่งดู จะได้ไม่เมื่อย ปรากฏว่า ถ้าหากนั่งดู ก็จะโดนอีผ้าห่อศพบังไม่ให้เห็นจอเล็ก
เราก็เลยตัดสินใจยืนดูประมาณ 1 ชั่วโมง
ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด ในงานนี้จะมีสองจอ จอใหญ่กับจอเล็กฉายพร้อมกัน
ภาพจากจอเล็กจะยิงตรงไปที่ฝาผนังของแกลเลอรี่
ส่วนภาพจากจอใหญ่จะยิงไปที่อีผ้าห่อศพ แต่ถ้าในบางจังหวะผ้าห่อศพไม่ได้ถูกดึงขึ้นมาด้านบน
ภาพจากจอใหญ่ก็จะตกกระทบไปซ้อนกับภาพบนจอเล็กที่ฝาผนังด้วย
ไม่รู้เราเข้าใจถูกหรือเปล่านะ เพราะเราไม่มีความรู้เรื่องกลไกอะไรพวกนี้
2.แต่การยืนดู 1 ชั่วโมงนี่ไม่ทรมานอะไรเลยนะ แต่เป็นอะไรที่สนุกสุด ๆ
สำหรับเรา เพราะเราต้องคอยเดินไปเดินมา เพราะเราไม่อยากให้ “อีผ้าห่อศพเคลื่อนที่ได้”
นี่มันลอยมาแตะเนื้อต้องตัวเรา 55555
คืออีผ้าห่อศพนี่มันไม่หยุดนิ่ง มันขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง
และลากตัวไปมาจากใกล้ ๆ ผนังห้องด้านนึงไปที่ใกล้ ๆ ผนังห้องอีกด้านนึง
เราก็เลยยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ เพราะผ้าห่อศพมันจะมาใกล้ ๆ ตัวเรา เรากลัว
และการเคลื่อนที่ไปมาของผ้าห่อศพมันจะบดบังการมองเห็นภาพจากจอเล็กในบางขณะด้วยมั้ง
ถ้าหากเรายืนอยู่ในจุดที่ไม่เหมาะในตอนนั้น เราก็เลยเปลี่ยนที่ยืนไปเรื่อย ๆ
เพื่อหาจุดที่จะมองภาพจากทั้งจอเล็กและจอใหญ่ได้ถนัดในขณะที่ผ้าห่อศพเคลื่อนที่ไปเรื่อย
ๆ ในห้อง
3.ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด จังหวะการเคลื่อนที่ของผ้าห่อศพนี่น่าจะใช้เวลาประมาณ
1 ชั่วโมงในการวนลูปมั้ง ส่วนตัวภาพในวิดีโอทั้งสองจอนี่
เห็นเขาบอกว่ามันเป็นภาพแบบ random ไม่มีจุดสิ้นสุด แต่เราเข้าใจว่าจังหวะการเคลื่อนที่ของผ้าห่อศพนี่อาจจะวนลูปทุก
1 ชั่วโมงหรือเปล่า เราไม่แน่ใจเหมือนกัน
คือเราเข้าแกลเลอรี่ไปตอนราว 13.30 น. ผ้าห่อศพอยู่ใกล้ ๆ
ฝาผนังห้องด้านที่ทำหน้าที่เป็นจอฉายภาพยนตร์ มันค่อย ๆ
ถูกดึงขึ้นมาจนใกล้เพดานทั้งด้านซ้ายและด้านขวา และมันก็ค่อย ๆ
ลอยจากผนังห้องด้านนึงมาผนังห้องด้านที่เป็นประตูทางเข้า แล้วผ้าห่อศพก็ลอยกลับมาที่ผนังห้องด้านที่เป็นจอฉายภาพยนตร์อีกครั้ง
โดยที่ผ้าด้านขวาถูกปล่อยให้ตกลงมาเรี่ยพื้นห้อง
แต่ผ้าด้านซ้ายยังถูกดึงให้ใกล้เพดานอยู่ แล้วผ้าด้านขวาก็ค่อย ๆ ถูกดึงให้ลอยขึ้นมาใกล้เพดานอีกครั้ง
จนกลับไปอยู่ในสภาพเดียวกับที่เราเห็นตอน 13.30 น. ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 1
ชั่วโมง เราก็เลยเดาว่าจังหวะการเคลื่อนที่ของผ้าห่อศพอาจจะวนลูปทุก 1 ชั่วโมง
4.สิ่งหนึ่งที่วิดีโอนี้อาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่มันทำให้เรานึกถึง
ก็คือภาพเปลวไฟที่เหมือนทั้งให้คุณและให้โทษ
เพราะเปลวไฟในวิดีโอนี้มันเหมือนเป็นสิ่งที่มีพลังในการทำลายล้าง
มันดูแผดเผารุนแรงทำลายทุกสิ่ง แต่ในบาง moments นั้น
ภาพเปลวไฟก็ถูกลดลงไปอยู่ที่ด้านล่างของจอเล็ก
และพอเปลวไฟมันลดลงไปอยู่ในระดับแค่นั้น มันก็เลยเหมือนมีสภาพเป็นแค่ “เชื้อเพลิง”
ที่ให้พลังงานอันมีประโยชน์มากมาย
5.รู้สึกเหมือนมันเป็นภาคสามของ A MINOR HISTORY 55555
เพราะ
5.1 ชื่องานที่มีคำว่า “พระอาทิตย์”
มันทำให้เรานึกถึงประโยคที่พูดซ้ำไปซ้ำมาใน A MINOR HISTORY ว่า “วันนี้อากาศร้อนจังเลยนะคะ”
หรืออะไรทำนองนี้ ถ้าหากเราจำไม่ผิด
5.2 มีคำว่า “ท่อนจันทน์” และ “MASTURBATE” ในวิดีโอ
5.3 มีฉากป้าเจน (ถ้าหากเราดูไม่ผิด) ปักคำว่า THE MEKONG RIVER IS A SHROUD
6.ตลกดีที่งานนี้จัดฉายในช่วงที่หนังเรื่อง AFTER
YANG เข้าฉายพอดี เพราะถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด หลาย ๆ ซีนใน A
CONVERSATION WITH THE SUN เป็นซีนเล็ก ๆ จากช่วงชีวิตต่าง ๆ ที่
Apichatpong ถ่ายเก็บไว้ แล้วเขานำมันมาปฏิสัมพันธ์กับ AI จนกลายเป็นงานวิดีโอนี้ เพราะฉะนั้นงานวิดีโอนี้ก็เลยทำให้เรานึกถึง AFTER
YANG ด้วย 55555
No comments:
Post a Comment