TAR (2022, Todd Field, A+30)
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1.จริง ๆ ความเห็นของเราก็คล้าย ๆ กับของเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนที่เราเคยแชร์มาไว้แล้ว
เราก็เลยขี้เกียจเขียนถึงหนังเรื่องนี้ 555 เพราะฉะนั้นเราก็จะข้ามไปเขียนแค่บางจุดเท่านั้นนะ
หนึ่งในสิ่งที่เราชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ก็คือหนังมันสร้างตัวละครที่เทาดีสำหรับเราน่ะ
เหมือนโดยปกติเราชอบตัวละครผู้หญิงร้าย ๆ ที่มีพิษสงอยู่แล้ว
เราก็เลยชอบมากที่หนังสร้างตัวละครนางเอกแบบนี้ขึ้นมา
และมันไม่ใช่ตัวละครหญิงร้ายที่มีแค่ด้านมืดด้านเดียว
แต่มันเป็นตัวละครที่เรารู้สึกทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับเธอในหลาย ๆ
ฉากพร้อมกัน อย่างเช่น
1.1 ฉากที่เธอสอนลูกศิษย์ในทำนองที่ว่าไม่ควรมองข้ามผลงานศิลปะโดยใช้เกณฑ์ตัดสินจากประวัติชีวิตของตัวศิลปิน
คือเหมือนเราเห็นด้วยกับหลาย ๆ สิ่งที่เธอพูด
แต่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เธอทำในฉากนั้น
1.2 ฉากที่เธอจัดการกับเด็กหญิงที่เป็นผู้ต้องสงสัยว่าทำร้ายร่างกายลูกบุญธรรมของเธอ
คือเหมือนเราเห็นด้วยกับความต้องการของเธอในฉากนั้น
แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่เธอใช้
1.3 ฉากที่ผู้ชายที่เหมือนเป็นรองหัวหน้าวง
(ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด) มาเสนอความเห็นบางอย่าง แต่เธอไม่ได้คล้อยตามในทันที
แต่เหมือนไปรับฟังความเห็นของคนอื่น ๆ ด้วยก่อนที่จะตัดสินใจ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ดี
แต่การที่หลังจากนั้นเธอจะไล่เขาออกจากตำแหน่ง ก็เป็นสิ่งที่ดูน่าคลางแคลงใจเป็นอย่างมาก
2.อีกจุดที่เราชอบมาก ๆ เป็นการส่วนตัว
คือการที่มันเป็นหนังที่มีตัวละครหญิงหลายตัวมาปะทะเชือดเฉือนกันน่ะ
ดูแล้วนึกถึงความมันส์แบบตอนที่ดูละครทีวีเรื่อง MELROSE PLACE (1992-1999)
บวกกับหนังเรื่อง PASSION (2012, Brian De Palma)
สาเหตุที่นึกถึง MELROSE PLACE เป็นเพราะว่า ตัวละครนางเอกของทั้งสองเรื่องเป็นตัวละครหญิงที่
"ร้ายมาก, เจ้าเล่ห์มาก, แข็งแกร่งมาก,
เก่งมาก, ฉลาด" เหมือนกันน่ะ
แต่แตกต่างกันตรงที่ MELROSE PLACE เป็นการตบตีเพื่อแย่งผู้ชายและความก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน
แต่นางเอกของ TAR เป็นเลสเบียน
เราก็เลยดูแล้วนึกถึง PASSION ด้วย
เพราะมันเป็นหนังเกี่ยวกับผู้หญิงตบตีกันทั้งในทางหน้าที่การงาน
และการชิงรักหักสวาทเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องของเลสเบียนเหมือน TAR อย่างไรก็ดี สิ่งที่แตกต่างกันก็คือว่า
การตบตีเชือดเฉือนกันระหว่างตัวละครหญิงใน PASSION มันดูชั้นต่ำมาก
555 แต่การเชือดเฉือนกันใน TAR ดูมีคลาสกว่ามาก
ๆ
ดูแล้วนึกถึงหนังเลสเบียนเรื่อง FEMALE PERVERSIONS (1996, Susan Streitfeld, A+30) ด้วย ที่มี Tilda
Swinton รับบทเป็นอัยการสาวที่ประสบความสำเร็จทางหน้าที่การงานเป็นอย่างดี
และกำลังจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษา แต่เธอก็เหมือนมีปัญหาทางจิตอย่างรุนแรงอยู่ภายใน
คือ FEMALE PERVERSIONS เหมือนเน้น “ภาวะทางจิต” ของตัวละครหญิง
มากกว่าที่จะเน้นการตบตีกันในเชิงกายภาพเหมือนอย่าง MELROSE PLACE และ PASSION เราก็เลยรู้สึกว่า ในแง่หนึ่ง TAR
ก็เลยเหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่างหนังเลสเบียนเรื่อง FEMALE
PERVERSIONS กับ PASSION เพราะหนังทั้ง 3 เรื่องพูดถึงการตบตีกันทางความรักและหน้าที่การงานของเลสเบียน
แต่ FAMALE PERVERSIONS เน้น “จิต” ของตัวละคร, PASSION
เน้น “ภายนอก” ของตัวละคร ส่วน TAR นำเสนอปัญหาทั้งภายในและภายนอกของตัวละคร
3. ชอบความหลอนและความไม่อธิบายอะไรหลาย ๆ อย่างของหนังมาก ๆ
อย่างเช่น
3.1 ชอบความหลอนของฉากที่นางเอกเหมือนระแวงผู้หญิงคนหนึ่งที่หลบอยู่ในห้องส้วม
และเห็นแต่รองเท้า, ระแวงรองเท้าของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะเดินเข้ามาในห้องของเธอ
หรืออะไรทำนองนี้ คือเหมือนช่วงนั้นนางเอกคงระแวงว่า Krista อาจจะสะกดรอยตามเธอมั้ง
3.2 ถ้าหากเราดูไม่ผิด ในฉากที่นางเอกจะไปไล่รองหัวหน้าวงออกจากตำแหน่ง
เหมือนนางเอกแอบขโมยของอะไรสักอย่างในห้องนั้นใส่กระเป๋าเสื้อตัวเองด้วย
ตอนช่วงที่รองหัวหน้าวงเผลอ ซึ่งเราก็นึกว่าเดี๋ยวในฉากต่อ ๆ มา มันจะมีการอธิบายว่านางเอกแอบขโมยอะไรติดมือมา
แต่ปรากฏว่าหนังก็ไม่อธิบาย เราก็เลยสงสัยว่าเราตาฝาดไปเองหรือเปล่า 555
มีใครดูทันจุดนี้ในฉากนี้บ้าง
3.3 ฉากที่นางเอกได้ยินเสียงกรีดร้องในป่าก็หลอนมาก
3.4 ฉากนางเอกไล่ตาม Olga ไปแล้วเผชิญกับตึกร้างก็หลอนมาก
3.5 สรุปใครขโมยสมุดของนางเอกไป
3.6 หนังไม่ได้อธิบายด้วยว่า นางเอกกับ Krista มีปัญหาอะไรกันแน่ เราก็เลยไม่รู้ว่าเราสมควรจะเกลียดนางเอกได้มากน้อยแค่ไหนที่พยายามกลั่นแกล้ง
Krista ให้หางานทำไม่ได้
3.7 ฉากจินตภาพต่าง ๆ ของนางเอกและฉากที่นางเอกตื่นมากลางดึกแล้วเห็น metronome แกว่งไกวไปมาอย่างรุนแรง ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นึกถึงหนังของ
Brian De Palma ด้วยเช่นกัน และบรรยากาศของหนังก็ทำให้นึกถึง
Roman Polanski ด้วยนิดนึง
4. เห็นชื่อของนางเอกแล้วนึกถึงคำว่า tarnish
5.ปัจจัยนึงที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว คือการที่นางเอก sensitive อย่างมากกับเสียงรบกวนต่าง ๆ เพราะเราก็มีอาการคล้าย
ๆ อย่างนั้น ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดปกติของสมอง ดังเช่นที่บทความระบุไว้ว่า
“โรคเกลียดเสียงหรือโรคไวต่อเสียงบางชนิด
ถือเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ซึ่งมีเสียงเป็นสิ่งเร้า
เป็นโรคที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของหูหรือการได้ยินแต่อย่างใด
แต่เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการทำงานของสมอง
Dr.Sukhbinder Kumar นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล
ประเทศอังกฤษ ระบุว่า ในคนที่มีภาวะเกลียดเสียงนั้น สมองส่วนอินซูล่าซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างประสาทสัมผัสกับอารมณ์
จะทำงานหนักกว่าคนทั่วไปในขณะที่ได้ยินเสียง ส่งผลให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด
หรือวิตกกังวล หัวใจเต้นเร็ว และเหงื่อออกได้มากขึ้น
ความผิดปกตินี้มีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง”
คือเราก็มีอาการคล้าย ๆ นางเอกน่ะ
โดยเฉพาะตอนจะนอนในเวลากลางคืน แล้วเราจะรำคาญเสียงต่าง ๆ มาก ๆ ทั้งเสียงคนข้างห้องเปิดปิดประตู,
เสียงท่อน้ำ, เสียงพลาสติกบิดตัว และแม้แต่ “เสียงนาฬิกาข้อมือเดิน”
แล้วพอเราได้ยินเสียงอะไรมารบกวนตอนจะนอน เราก็จะต้องค้นหา “ที่มาของเสียง” ให้ได้
เพื่อจะได้ “แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ” เพราะฉะนั้นพอเราดู TAR เราก็เลยพบว่านางเอกมีอาการตรงกับเรามาก ๆ 5555
ซึ่งมันเกิดจาก “สมองส่วนอินซูล่าทำงานหนักกว่าคนทั่วไป”
น่ะ เราก็เลยดีใจที่หนังเรื่องนี้นำเสนอตัวละครนางเอกที่มีปัญหาเหมือนกับเรา
6.อีกจุดนึงที่ชอบสุด ๆ ในหนังก็คือการพูดถึง
pastiche ทางศิลปะน่ะ ในทำนองที่ว่างานศิลปะหลาย ๆ งาน
มันเป็นการหยิบยืมหรือได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะก่อน ๆ หน้านั้น
หรือในอีกแง่หนึ่งเราก็อาจจะกล่าวได้ว่า
งานศิลปะหลาย ๆ งานมันก็ย่อมต้องมีอะไรที่ซ้ำไปซ้ำมากันบ้างในบางจุด
เป็นเรื่องธรรมดา 5555
เพราะขณะที่เราดู TAR มันก็ทำให้เรานึกถึงหนังเรื่องอื่น ๆ
อีกเป็นจำนวนมากโดยที่ผู้สร้างทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจเช่นกัน
โดยในส่วนที่ TAR พาดพิงถึงโดยตรงก็มีเช่น
6.1 APOCALYPSE NOW (1979, Francis Ford Coppola)
6.2 DEATH IN VENICE (1971, Luchino
Visconti, Italy, A+30) นางเอกพูดถึง Visconti เป็นภาษาเยอรมัน เราก็เลยเดาว่าคงหมายถึงหนังเรื่องนี้ เพราะหนังเรื่องนี้เน้นใช้ดนตรีประกอบของ
Mahler
6.3 นางเอกกับผู้ช่วยเคยถกเถียงกันเรื่องประวัติชีวิตของ
Mahler เราก็เลยนึกถึงหนังเรื่อง MAHLER (1974, Ken
Russell, UK, A+30) ด้วย
และในส่วนของหนังเรื่องอื่น ๆ
ที่เรานึกถึงโดยที่ TAR ไม่ได้ตั้งใจพาดพิงนั้น นอกจาก PASSION กับ
FEMALE PERVERSIONS แล้ว ก็มีเช่น
6.4 บทของ Cate Blanchette เหมือนเป็นการล้อตัวเองใน CAROL (2015, Todd Haynes)
6.5 บทของ Noemie
Merlant เหมือนเป็นการล้อตัวเองใน PORTRAIT OF A LADY ON
FIRE (2019, Céline Sciamma)
6.6 บทของ Noemie
Merlant ทำให้นึกถึงบทของ Irm Hermann ใน THE
BITTER TEARS OF PETRA VON KANT (1972, Rainer Werner Fassbinder, West Germany) อย่างมาก ๆ ด้วย
6.7 บทของ Nina Hoss เหมือนเป็นการล้อตัวเองใน THE
AUDITION (2019, Ina Weisse, Germany)
6.8 การที่นางเอกเคยไปเรียนรู้วัฒนธรรมดนตรีพื้นบ้านในเปรู
และนำความรู้นั้นกลับมาสู่โลกดนตรีคลาสสิค เหมือนเป็นการล้อ FITZCARRALDO
(1982, Werner Herzog, West Germany) ที่เป็นเรื่องของชายผิวขาวที่พยายามจะสร้างโรงโอเปร่ากลางป่าลึกในเปรู
6.9 ฉากที่นางเอกไปจัดการเด็กหญิงที่มารังแกลูกบุญธรรมของเธอ
ทำให้นึกถึงนางเอกโรคจิตในหนังเรื่อง FOREVER AND EVER (1997, Hark Bohm,
Germany)
6.10 ชอบสุดขีดที่องก์สุดท้ายของหนังนั้นหนังเล่าเรื่องอย่างเร็วปรื๋อมาก
ๆ
เหมือนเร่งจังหวะการเล่าเรื่องให้เร็วขึ้นเป็น 10 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงต้นเรื่อง
ซึ่งนักวิจารณ์บอกว่ามันเป็นการทำตามโครงสร้างจังหวะดนตรีคลาสสิคหรืออะไรทำนองนี้มั้ง
แต่เราไม่มีความรู้เรื่องดนตรีคลาสสิค เราก็เลยไม่มีความเห็นตรงจุดนี้
แต่ดูแล้วนึกถึงหนังบางเรื่องที่อยู่ดี
ๆ ก็เหมือนเร่งสปีดการเล่าเรื่องในช่วงองก์สุดท้ายเหมือนกัน ซึ่งเป็นการเร่งสปีดโดยใช้วิธีการคล้าย
ๆ ellipsis เหมือนกัน อย่างเช่น
CHARISMA (1999, Kiyoshi Kurosawa) และ L’ARGENT
(1983, Robert Bresson)
6.11 การตกอับจากโลกที่หนึ่ง
แต่ไปผงาดในประเทศด้อยพัฒนา ทำให้นึกถึงตัวละคร Becky ใน VANITY
FAIR (2004, Mira Nair) และ THE MAESTRO: A SYMPHONY OF TERROR (2021, Paul Spurrier) ด้วย
7.ชอบ “เพื่อนบ้าน” ของนางเอกที่มีปัญหาเรื่องหนังสือพิมพ์มาก ๆ
จองเป็นตัวละครตัวนี้ ชอบที่ look ของเธอดู “ไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป ไม่ใช่ชีวิตแต่เป็นซากชีวิต”
มาก ๆ 5555
8.ปัญหาของนางเอกกับ Krista ทำให้นึกถึงเจมี่ บูเฮอร์มาก ๆ
https://entertainment.trueid.net/detail/eKpa6Bzbr8YN
No comments:
Post a Comment