เราเคยดู HIROSHIMA MON AMOUR ในรูปแบบฟิล์มที่ Alliance Francaise ในปี 1996 ตอนนั้น Alliance จัดโปรแกรมสุดยอดมาก ๆ เพราะ Alliance ฉายหนังเรื่อง TRANS-EUROP-EXPRESS (1966, Alain Robbe-Grillet), THE LONG ABSENCE (1961, Henri Colpi), LA MODIFICATION (1970, Michel Worms), IF I WERE A SPY (1967, Bertrand Blier) ในรูปแบบฟิล์มในปี 1996 ด้วย ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดโปรแกรมที่ Alliance ในช่วงนั้น แต่โปรแกรมหนังช่วงนั้นนี่แหละที่มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในการหล่อหลอมความเป็น cinephile ของเรา
ข้อสอบวิชา “ดูภาพยนตร์แบบกะหรี่ไม่มีสาเหตุ”
จงเปรียบเทียบการ deal กับ trauma ในภาพยนตร์ดังต่อไปนี้
1. HIROSHIMA MON AMOUR
2. SUZUME
3. VOICES IN THE WIND (2020,
Nobuhiro Suwa, Japan)
4.THE FACE OF JIZO (2004, Kazuo Kuroki, Japan)
5.AND LIFE GOES ON (1992, Abbas Kiarostami,
Iran)
6. A BRIEF
HISTORY OF MEMORY (2010, Chulayarnnon Siriphol)
7.THE PEARL BUTTON (2015, Patricio
Guzman, Chile, documentary)
8. ภาพยนตร์ของ Lau
Kek Huat
9. BY THE TIME IT GETS DARK (2016,
Anocha Suwichakornpong)
10. SOPHIE’S CHOICE (1982, Alan J.
Pakula)
พอดู HIROSHIMA MON AMOUR รอบสองแล้วก็เลยนึกถึง quote
คำพูด classic ของ Marguerite Duras ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาได้ ที่เธอพูดว่า “It is impossible
to talk about Hiroshima. All one can do is talk about the impossibility of
talking about Hiroshima.”
และเราชอบที่ Nobuhiro Suwa ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังชาวญี่ปุ่นที่เกิดที่เมือง
Hiroshima พูดถึงหนังเรื่องนี้ด้วย โดยเขาเคยพูดว่า เขาเติบโตมาในเมืองฮิโรชิม่าแต่ก็ไม่มีความประทับใจใดๆเกี่ยวกับเรื่องราวของเมืองนี้เลย
กระทั่งได้ชมหนังเรื่อง HIROSHIMA MON AMOUR ของ Alain Resnais แล้วเขาก็ไม่สามารถลบภาพความทรงจำเกี่ยวกับฮิโรชิม่านี้ออกไปได้เลย
(เราเข้าใจว่าอันนี้คือสิ่งที่เขาพูดไว้ในหนังเรื่อง
H STORY ของเขานะ)
พอดีเราค้นใน blog ของเราแล้วพบว่า คุณอ้วนแห่งเว็บบอร์ด screenout
เคยเขียนถึงหนังเรื่อง HIROSHIMA MON AMOUR และ
H STORY (2001, Nobuhiro Suwa) เอาไว้ในเว็บบอร์ด screenout
ในปี 2005 ด้วย แล้วเราก็เคย copy เอาสิ่งที่คุณอ้วนเขียนไว้ในเว็บบอร์ด
screenout มาแปะไว้ใน blog ของเราเอง
แล้วเราก็เลยถือโอกาสนี้เอามันมาแปะไว้ในนี้ด้วยเลยแล้วกัน 5555
หวังว่าคุณอ้วนคงไม่ว่าอะไร
https://celinejulie.blogspot.com/2005/09/nobuhiro-suwa.html
“HIROSHIMA MON AMOUR
เห็นพี่ MdS
เขียนถึงและยกเอาบทความเกี่ยวกับ HIROSHIMA MON AMOUR มาแปะเอาไว้พอสมควรแล้ว
ก็เลยจะขอพูดสั้นๆแล้วกันว่าอ้วนชอบหนังเรื่องนี้มากๆฮะ
เป็นหนังที่ถ่ายทอดความเศร้าอาดูรและถวิลหาความทรงจำอันปวดร้าวได้ทรงพลังมากๆ ความไม่ธรรมดาของหนังเกี่ยวกับความทรงจำเรื่องนี้ก็คือ
ในขณะที่หนังเกี่ยวกับความทรงจำเรื่องอื่นๆมักจะใช้ฉากโรแมนติกประเภทที่จงใจจะบีบน้ำตาคนดูเป็นฉากหลัง
HIROSHIMA MON AMOUR กลับใช้ฉากหลังเป็นเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ
นั่นคือการที่เมืองฮิโรชิม่าโดนระเบิดปรมาณูถล่มในการเล่าเรื่อง
ผลลัพธ์ที่ได้คือความขัดแย้งกันระหว่างภาพความเศร้าสลดของสังคมโลกกับความเศร้าสลดของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีต่อคนรัก
คิดในด้านหนึ่งก็รู้สึกตลกดีที่ผู้สร้างเอาความสูญเสียที่ประเมินค่ามิได้ของมนุษย์โลกมาเปรียบเปรยกับความสูญเสียคนรักของผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง
แต่เมื่อคิดในอีกด้านหนึ่ง
ก็เจ้าความรักที่ต้องสูญเสียไปนี้ใช่หรือไม่ที่ทำให้เราต้องบ้าคลั่งและฟูมฟายให้กับมันราวกับจะถึงวันสิ้นโลก
เหตุนี้แล้วก็ยุติธรรมดีไม่ใช่หรือที่เราจะเอาความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของโลกมาเปรียบเปรยกับความสูญเสียจากความรัก
ในปี 2001 มีผู้กำกับญี่ปุ่นคลื่นลูกใหม่ชื่อว่า Nobuhiro Suwa ได้สร้างหนังเรื่อง H STORY ซึ่งเป็นหนังที่จงใจสร้างออกมาให้ดูเป็นหนังกึ่งๆสารคดี
คือเหมือนเป็นหนังที่ถ่ายทอดเบื้องหลังการสร้างหนังเรื่องหนึ่ง
และหนังเรื่องดังกล่าวก็คือ HIROSHIMA MON AMOUR พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
H SOTRY คือหนังที่เล่าเรื่องการเอาหนังเรื่อง HIROSHIMA
MON AMOUR ของ Alain Resnais มารีเมคสร้างใหม่นั่นเอง
Nobuhiro Suwa ผู้กำกับเรื่อง H STORY ก็ยังได้เล่นเป็นตัวเอง
โดย Suwa สวมบทบาทเป็นผู้กำกับที่นำ HIROSHIMA MON
AMOUR ของ Alain Resnais มาสร้างใหม่
นักวิจารณ์กล่าวว่า H STORY มีความคล้ายคลึงกับหนังเรื่อง IRMA VEP ของ Olivier Assayas ที่ถ่ายทอดเรื่องราวการนำหนังเรื่อง
LES VAMPIRES ของ Louis Feuillade มารีเมคสร้างใหม่
โดย H STORY ได้ยกเอาบทภาพยนตร์ที่ Marguerite Duras เขียนเอาไว้สำหรับ HIROSHIMA MON AMOUR มาใช้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
นอกจากนี้ยังมีการสัมภาษณ์นักแสดงคนหนึ่งในหนัง (H STORY) เพื่อสะท้อนความคิดของผู้คนและความทรงจำของพวกเขาเกี่ยวกับหนังเรื่อง
HIROSHIMA MON AMOUR โดยตัวผู้กำกับหรือ Nobuhiro
Suwa ได้พูดขึ้นมาระหว่างการสัมภาษณ์ด้วยว่า
เขาเติบโตมาในเมืองฮิโรชิม่าแต่ก็ไม่มีความประทับใจใดๆเกี่ยวกับเรื่องราวของเมืองนี้เลย
กระทั่งได้ชมหนังเรื่อง HIROSHIMA MON AMOUR ของ Alain
Resnais แล้วเขาก็ไม่สามารถลบภาพความทรงจำเกี่ยวกับฮิโรชิม่านี้ออกไปได้เลย
H STORY มีวิธีการเล่าเรื่อง ,
มีการใช้เทคนิคการตัดต่อเสียงและภาพ, และมีเนื้อหาที่อาจจะยากแก่การเข้าถึงสำหรับนักดูหนังทั่วๆไปอยู่บ้าง
หนังเรื่องนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ได้เคยชมและหลงใหล HIROSHIMA MON AMOUR ของ ALAIN RESNAIS เท่านั้น
เนื่องจากหนังมีการอ้างอิงเนื้อหาจาก HIROSHIMA MON AMOUR ค่อนข้างมากจนอาจทำให้ผู้ที่ไม่เคยชม
HIROSHIMA MON AMOUR มาก่อนขาดอรรถรสในการชมไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ดี
(1) H STORY ก็มีวิธีการเล่าเรื่องที่เป็นตัวของตัวเองอย่างน่าชื่นชม
(และน่าฉงนในคราวเดียวกัน) และ
(2) การกำเนิดขึ้นของ H STORY เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างดีที่แสดงให้เห็นว่า HIROSHIMA MON
AMOUR ของ Alain Resnais เป็นหนังเกี่ยวกับความทรงจำที่ได้สร้างอิทธิพลต่อความทรงจำของผู้ชมอย่างมากมาย
และ H STORY ก็คือภาพสะท้อนของความทรงจำของผู้คนมีต่อภาพยนตร์”
ข้อความในอัญประกาศข้างบนคือสิ่งที่คุณอ้วนเคยเขียนไว้นะ
แต่เรายังไม่ได้ดู H STORY นะ เราเคยดูหนังของ
Nobuhiro Suwa แค่ 2 เรื่อง ซึ่งก็คือ 2/DUO (1997) กับ VOICES IN THE WIND (2020) ซึ่งเราชอบสุดขีดทั้งสองเรื่อง
และเราว่า VOICES IN THE WIND นี่มีความเชื่อมโยงกับ SUZUME
อย่างรุนแรงด้วย
No comments:
Post a Comment