A SHORT FILM ABOUT ONE MAN ON NEW
YEAR EVE (2023, Naruepong Boonkert, short film, A+25)
1.เหมือนเป็นหนังที่ “เล่นท่ายาก”
มากพอสมควร โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่าหนังเรื่องนี้กำกับโดยเด็กมัธยม เพราะหนังตลอดทั้งเรื่องเหมือนถ่ายทอดพฤติกรรมของชายหนุ่มคนหนึ่ง
โดยมีทั้งฉากความฝันและฉากเหนือจริง เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน
และแต่ละฉากมีจุดประสงค์อะไร หรือหนังเรื่องนี้มีจุดประสงค์อะไร หนังไม่มีทั้ง dialogues
และ voiceover โดยที่ครึ่งแรกของหนังมีลักษณะเกือบ
ๆ จะเป็นหนังเงียบแบบไม่มี intertitles ด้วย
เพราะฉะนั้นตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้เราจะรู้สึกงุนงงอย่างมากว่า ตัวละครเป็นใครมาจากไหน,
สิ่งที่ตัวละครทำคืออะไร, เขาทำไปเพื่ออะไร, อะไรเกิดขึ้นจริงบ้าง, etc.
2.เพราะฉะนั้นในเมื่อหนังไม่ได้ให้ข้อมูลกับเราโดยตรงว่า
เรากำลังดูอะไรอยู่ เราก็เลย “แต่งเรื่องขึ้นมาในหัวของตัวเอง” ขณะที่ดู 555
ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่านั่นคือจุดประสงค์ของหนังเรื่องนี้หรือเปล่าที่ต้องการให้ผู้ชมแต่ละคนแต่งเรื่องขึ้นมาในหัวของตัวเอง
โดยเรื่องที่เราแต่งขึ้นมาในหัวของตัวเองก็เป็นประมาณนี้
หนังเล่าเรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่งในวันสิ้นปี
เขาตื่นนอนมาแล้วก็สูบบุหรี่, อ่านหนังสือ, แล้วก็นอนตอนกลางวัน แล้วเขาก็เลยฝันถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่อาจจะเป็นบ้านเก่าของเขา
และฝันถึงญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงคนหนึ่งที่อาจจะเป็นป้าหรือแม่ของเขา พอเขาตื่นจากการนอนกลางวัน
เขาก็เลยรีบจดบันทึกความฝันของตัวเองลงสมุด
หลังจากนั้นหนังก็เหมือน shift เข้าสู่โหมดเหนือจริงเล็กน้อย
ชายหนุ่มคนนั้นแต่งตัวออกไปข้างนอกบ้าน,
เขานั่งรถเมล์ไปโรงหนังเก่าแห่งหนึ่งที่น่าจะเป็นโรงหนังร้าง และเขาก็นอนโพสท่าที่หน้าโรงหนังเก่าแห่งนั้น
และน่าจะหลับฝันไปอีกรอบ ในฝันนั้นเขาเห็นเครื่อง projector ฉายหนัง,
เห็นตัวเองพูดกับรูปผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่อาจจะเป็นแม่หรือญาติผู้ใหญ่ของเขา
เหมือนเขาคงต้องการบอกลาหรือสื่อสารกับหญิงคนนั้นที่จากไปแล้ว แล้วพอเขาตื่นนอนที่หน้าโรงหนังร้าง
หนังก็มีการแฟลชภาพผู้หญิงสาวคนหนึ่งขึ้นมาสั้น ๆ เราไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร
เราก็เลยแต่งเรื่องขึ้นมาเองว่า
มันคือผีผู้หญิงประจำโรงหนังแห่งนั้นที่พยายามจะเข้าสิงเขา 55555
หลังจากนั้นเขาก็ไปถ่ายหนังกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง
ก่อนที่จะกลับมาทำงานต่อในห้อง เขานอนอีกครั้ง แล้วก็เลยถูกผีผู้หญิงสาวตนนั้นเข้าสิงเขา
55555 ก่อนที่เขาจะออกไปงานปีใหม่
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องที่เราแต่งขึ้นมาในหัวตัวเองนี่คงไม่ใช่เรื่องที่ผู้กำกับตั้งใจ
แต่ในเมื่อหนังมันไม่ได้เล่าเรื่องตรง ๆ เราก็เลยถือโอกาสแต่งเรื่องขึ้นมาในหัวตัวเองแบบนี้นี่แหละ
3.สิ่งที่ชอบที่สุดอย่างหนึ่งในหนังเรื่องนี้
ก็คือการ mix เสียงในงานปีใหม่ช่วงท้ายเรื่อง
เพราะในฉากนั้นเราจะได้ยินทั้งเสียงจุดพลุ, เสียงหมาเห่าด้วยความตกใจกลัวพลุ
และเสียง “หลอกหลอน” บางอย่างที่น่าสนใจมาก คือจากภาพที่เราได้ดูในหนัง
เราก็บอกไม่ได้เลยว่าไอ้เสียงหลอน ๆ นี่มันคือเสียงอะไร มันเหมือนมีการ mix
เสียงภูตผีร้ายจากหนังสยองขวัญเข้าไปในฉากนั้นด้วย โดยที่เราไม่รู้ว่ามันคือเสียงอะไร,
ต้นกำเนิดเสียงมาจากอะไร, ไม่มีจุดใดในภาพที่สามารถนำไปเชื่อมโยงกับเสียงนี้ได้
เราก็เลยรู้สึกว่า การ mix เสียงในฉากนี้เป็นอะไรที่เหวอมาก น่าสนใจมาก ชอบมาก
ๆ
4.จริง ๆ ดูแล้วก็นึกถึงหนังของ Teeranit Siangsanoh, Maya Deren และ David
Lynch เพราะหนังมันมีความหลอนบางอย่าง มีความ “จิต ๆ” บางอย่าง ชอบที่ผู้กำกับกล้าทำหนังที่เล่นท่ายากแบบนี้
คือแทนที่ผู้กำกับจะทำหนังที่บอกเล่าตรง ๆ ว่า
ชายหนุ่มคนหนึ่งทำอะไรบ้างในวันสิ้นปี หนังกลับถ่ายทอดความฝันของชายหนุ่มคนนั้น
โดยไม่บอกว่าสิ่งที่พระเอกเห็นในฝันคืออะไร, แล้วหลังจากนั้นพระเอกก็ทำในสิ่งที่เหนือจริง
ด้วยการไปนอนโพสท่าอยู่หน้าโรงหนังร้าง, เราได้เห็นความฝันของพระเอกอีก
โดยไม่รู้ว่าคืออะไร แต่มันเหมือนกับว่า หนังมันพยายามจะถ่ายทอด “จิต”
ของพระเอกด้วยน่ะ คือแทนที่หนังจะถ่ายทอดเพียงแค่ “การกระทำ” ของพระเอก หรือ “อารมณ์ความรู้สึก”
ของพระเอกแบบตรงไปตรงมา หนังกลับพยายามถ่ายทอด “จิต” ของพระเอกด้วย ที่อาจจะหมกมุ่นกับ
“โรงหนังแบบเก่า”, หมกมุ่นกับ “อดีต”, หมกมุ่นกับ “ญาติผู้ใหญ่คนนึง”
และหนังก็เพิ่มความยากด้วยการใส่ฉากต่าง
ๆ ที่เราไม่แน่ใจว่าสื่อถึงอะไรด้วย อย่างเช่นการที่หนังให้เราดูด้านหลังของพระเอกเป็นเวลานานขณะที่เขาถ่ายหนัง,
การที่เขากลายร่างเป็นผู้หญิง, การ mix เสียงที่แปลกประหลาดในงานปีใหม่, การตัดต่อเสียงที่แปลกประหลาดในฉากท้ายสุด
ก็เลยชอบความเล่นท่ายากของหนังเรื่องนี้ในระดับนึง
5.แต่เราก็อาจจะยังไม่ได้ชอบหนังถึงขั้น
A+30 นะ เพราะเราว่าหนังโดยรวมอาจจะยังขาดพลังหรือยังขาด
magic บางอย่างอยู่ หนังอาจจะต้องการงานด้านภาพที่ทรงพลังกว่านี้
หรือต้องการการร้อยเรียงที่เป็นกวีกว่านี้ ถึงจะทำให้ตัวหนังมันตราตรึงกว่านี้ได้
แต่เท่าที่เป็นอยู่นี้ก็น่าสนใจมาก ๆ แล้ว
No comments:
Post a Comment