“ชีวิตเหมือนเพลง บรรเลงผิดคีย์”
สิ่งหนึ่งที่ฝังใจเรามานาน 30
กว่าปีแล้วก็คือว่า ตอนที่หนังเรื่อง ALL THAT JAZZ
(1979, Bob Fosse, A+30) มาฉายทางช่อง 7 ในช่วงราว ๆ ต้นทศวรรษ 1990
นั้น เพื่อนสนิทของเราพูดกับเราว่า เสียดายมาก ๆ ที่เขาได้ดูหนังเรื่องนี้ในเวลาที่สายเกินไป
เพราะถ้าหากเขาได้ดูหนังเรื่องนี้เร็วกว่านั้นสัก 5 ปี
ตอนที่เขายังเป็นนักเรียนมัธยมต้น ตอนที่กระดูกกระเดี้ยวในร่างกายยังอ่อน
ยังดัดง่ายอยู่ เขาคงนำทีมเพื่อน ๆ ไปลงเรียน dance class ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
เพราะหนังเรื่อง ALL THAT JAZZ มันทำให้เขาอยากเรียนเต้นรำเป็นอย่างมาก
ซึ่งเราก็เห็นด้วยกับเขามาก ๆ เหมือนพวกเราได้ดูหนังเรื่อง ALL THAT JAZZ ในเวลาที่สายเกินไป
แล้วเมื่อไม่กี่ปีมานี้เพื่อนคนนี้ก็พูดถึง
LOVE, SIMON (2018, Greg Berlanti) ในทำนองที่ว่า
ถ้าหากพวกเราได้ดูหนังแบบนี้ตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ทัศนคติของพวกเราที่มีต่อการใช้ชีวิตในฐานะเกย์ก็คงจะแตกต่างไปจากที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก
เพราะพวกเราเติบโตมากับหนังอย่าง “ฉันผู้ชายนะยะ” (1987, M.L. Bhandevanop
Devakula) ซึ่งก็เป็นหนังที่เราชอบสุด ๆ
เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ทำให้เรา optimistic กับชีวิตของเราในฐานะเกย์เหมือนกับหนังอย่าง
LOVE, SIMON เหมือนเราเติบโตมากับ trauma, stigma บางอย่างในฐานะกะเทย/เกย์คนหนึ่ง แต่ถ้าหากพวกเราได้ดูหนังอย่าง LOVE,
SIMON ตั้งแต่เด็ก ๆ เราอาจจะไม่ได้มี trauma, stigma แบบนั้นก็ได้
และพอเราลองย้อนนึกถึงอดีต เราก็พบว่า
ถ้าหากเราได้ดูหนังหรือละครทีวีบางเรื่องในเวลาที่เร็วขึ้นกว่าความเป็นจริง
มันก็คงจะทำให้ชีวิตเราแตกต่างไปจากเดิมเป็นอย่างมาก
ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น
เราชอบอ่านนิยายตั้งแต่เด็ก เราก็เลยอยากเป็นนักแต่งนิยาย แล้วพอเราเรียนจบม.ต้น
เราต้องเลือกสายวิชาที่จะเรียนตอนมัธยมปลาย เราก็เลยเลือกเรียนศิลป์คำนวณ
เพราะการเรียนศิลป์คำนวณมันส่งผลให้เราสามารถเอ็นท์เข้าอักษรศาสตร์หรือบัญชีก็ได้
แล้วพอจบม. 5 เราก็สอบเทียบติดคณะบัญชี เราก็เลยเข้าไปเรียนบัญชี แต่เรียนไปแล้วเราก็ไม่ชอบ
เราก็เลยมาเอ็นท์ใหม่ เข้าคณะอักษรศาสตร์ในปีต่อมา แต่พอเราเรียนจบอักษรศาสตร์แล้ว
ทำงานเป็นพนักงานแปลไปได้หลายเดือนแล้ว เราถึงพบว่าเราหลงใหลในการดูหนังเป็นอย่างมาก
และกลายเป็น cinephile ตั้งแต่ปลายปี
1995 เป็นต้นมา และกลายเป็น loser ผู้ยากจนในปัจจุบัน 555
แต่สิ่งที่เรารู้สึกตลอดเวลาที่ผ่านมาก็คือว่า
1.ถ้าหากเราได้ดูละครทีวีชุด MACGYVER (1985-1992) ตั้งแต่ตอนที่เรายังเรียนมัธยมต้น
กูคงเลือกเรียนสายวิทย์ไปแล้ว คือเหมือนเราได้ดูละครเรื่องนี้ครั้งแรกในปี 1988 ตอนที่เราดันเรียนศิลป์คำนวณไปแล้ว
แต่ละครทีวีเรื่องนี้มันทำให้เรารู้สึกว่า “ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์”
เป็นอะไรที่ดีงามและสนุกสุดขีดมาก ๆ แล้วกูมาเรียนสายศิลป์ทำไมเนี่ย กูอยากเก่งแบบ
MACGYVER ฮือ ๆ แล้วถ้าหากเราเรียนสายวิทย์ตั้งแต่ม.ปลายนะ
ชีวิตเราในปัจจุบันนี้คงจะแตกต่างจากนี้เป็นอย่างมากแน่นอน
2.ถ้าหากเราได้ดูละครทีวีชุด MELROSE PLACE (1992-1999) ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 เราก็อาจจะตั้งใจเรียนในคณะบัญชีไปแล้ว
คงไม่มาเอ็นท์เข้าคณะอักษร 5555 เพราะว่าตัวละคร Amanda (Heather
Locklear) ใน MELROSE PLACE ที่เป็นนักธุรกิจสาวนั้น
มันเป็นตัวละครที่เป็น role model สำหรับเราอย่างสุด ๆ น่ะ คือพอดูตัวละครตัวนี้แล้ว
เราก็ใฝ่ฝันอยากเป็นอย่างเธอมาก ๆ แต่เรามาได้ดูตัวละครตัวนี้ตอนที่ MELROSE
PLACE มาฉายทางช่อง 3 ในช่วงครี่งหลังของทศวรรษ 1990
ตอนที่เราเรียนจบอักษรไปแล้ว 555 แต่ถ้าหากเราได้ดูตัวละคร Amanda ตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นนักเรียนม.ปลายนะ เราคงจะใฝ่ฝันอยากเป็นสาวนักธุรกิจ,นักการเงิน
ตบแหลก แบบ Amanda และคงจะตั้งใจเรียนในคณะบัญชีต่อไปจนจบ
และชีวิตเราในตอนนี้คงจะแตกต่างจากนี้เป็นอย่างมากแน่นอน
3.ถ้าหากเราได้ดูหนังเรื่อง THE DEATH OF MARIA MALIBRAN (1972, Werner Schroeter, West Germany) ตั้งแต่เราเรียนมัธยมปลายนะ เราคงจะเอ็นท์เข้าคณะนิเทศศาสตร์ไปแล้ว
แทนที่จะเอ็นท์เข้าคณะบัญชีและคณะอักษร 55555
คือตอนเรายังเป็นเด็กมัธยม
เราได้ดูแต่หนังฮอลลีวู้ดน่ะ เราแทบไม่เคยได้ดูหนังยุโรปเลย และก็ไม่เคยได้ดูหนังอาร์ตเลยด้วย
แล้วพอเราดูแต่หนังฮอลลีวู้ดตอนเด็ก ๆ
เราก็เลยไม่เคยรู้สึกอยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์หรือทำงานในวงการภาพยนตร์น่ะ
เพราะหนังฮอลลีวู้ดมันดู “ห่างไกล” มาก ๆ สำหรับเรา มันดูเป็นการทำงานที่ต้อง deal กับผู้คนจำนวนมาก, ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากมายมหาศาล,
ต้องเอาใจนายทุนเป็นอย่างมาก และหนังที่ทำออกมาก็ต้อง please ประชาชนจำนวนมาก ซึ่งรสนิยมของเราก็ใช่ว่าจะตรงกับประชาชนจำนวนมากเสมอไป เพราะฉะนั้นพอเราดูแต่หนังฮอลลีวู้ดตอนเด็ก
ๆ (หรือแม้แต่หนังเมนสตรีมของไทยกับฮ่องกง)
เราก็เลยไม่เคยรู้สึกอยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เลย เพราะการทำหนังโดยต้องเอาใจนายทุนและประชาชนจำนวนมากคงไม่ใช่อะไรที่ทำให้เรามีความสุข
แต่พอเราได้ดูหนังเรื่อง THE DEATH OF MARIA MALIBRAN ที่สถาบันเกอเธ่ ซอยสาทร 1
ในปี 2001 มันก็ทำให้เราร้องกรี๊ดอย่างสุดเสียง เพราะเรารู้ดีว่าถ้าหากเรากับกลุ่มเพื่อน
ๆ มัธยมของเราได้ดูหนังเรื่องนี้กันตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 เพื่อน ๆ ของเราต้องจับกล้องวิดีโอมาถ่ายทำอะไรแบบหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอน
คือหนังเรื่องนี้มันทำให้เรารู้สึกว่า จริง ๆ แล้วเพื่อน ๆ มัธยมของเราก็น่าจะมีศักยภาพในการทำหนังแบบนี้ได้
และ “การสร้างภาพยนตร์” มันก็ไม่ได้หมายถึงการสร้างภาพยนตร์เมนสตรีมที่ต้องใช้ทุนจำนวนมากและต้องเรียกทุนคืนให้ได้มากที่สุดเสมอไป
เพราะโลกนี้มันมีหนังที่ weird สุดขีด พิลาศพิไลสุดขีด
และไปสุดทางตามจินตนาการของผู้สร้างแบบหนังอย่าง THE DEATH OF MARIA MALIBRAN อยู่ด้วย คือเหมือนถ้าหากเราจะสร้างหนัง เราก็อยากสร้างหนังแบบ THE
DEATH OF MARIA MALIBRAN นี่แหละ มันมีหนังแบบที่เราอยากสร้างอยู่บนโลกนี้ด้วยนี่นา
และถ้าหากเราได้ดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980
เราก็อาจจะอยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์, อยากทำงานด้านภาพยนตร์ หรืออยากเรียนรู้เรื่องภาพยนตร์
และคงจะเลือกเอ็นท์เข้าคณะนิเทศศาสตร์ไปแล้ว และชีวิตเราในปัจจุบันนี้ก็อาจจะแตกต่างไปจากนี้เป็นอย่างมาก
แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะ
เคยรู้สึกอะไรแบบนี้บ้างไหม ว่าถ้าหากตัวเองได้ดูหนังหรือละครทีวีเรื่องใดในเวลาที่เร็วกว่าความเป็นจริง
ตัวเองก็อาจจะเลือกทางเดินชีวิตที่แตกต่างออกไป ซี่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตทั้งหมดในเวลาต่อมา
No comments:
Post a Comment