Monday, August 21, 2023

MONDO

 

MONDO รัก I โพสต์ I ลบ I ลืม (2023, Chookiat Sakveerakul, A+30)

 

SPOILERS ALERT

 

1.คิดว่าเนื้อเรื่องมันอาจจะเหมาะทำเป็น miniseries ยาว 4 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้นนะ เพราะเราว่าอารมณ์มันกระโดด ๆ ในบางฉาก ก็เลยคิดว่าถ้าหากหนังมันยาวกว่านี้ อารมณ์ของหนังน่าจะ smooth มากขึ้น

 

2.จริง ๆ แล้วเราก็ไม่ได้อินกับตัวละครตัวไหนเลย แต่ชอบที่นางเอกเป็นคนที่สู้ชีวิตตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัวให้พึ่งพา

 

3.ส่วนที่เราอินที่สุดกลับกลายเป็นช่วงท้าย ที่เป็นภาพตัดสลับชีวิตเพื่อนๆ นางเอกแต่ละคนที่ไม่สามารถทำตามความฝันของตัวเองสมัยยังเป็นวัยรุ่นได้ เพราะชีวิตจริงของเราเองก็เป็นคล้าย ๆ อย่างนั้น เนื้อหาตรงส่วนนี้ทำให้นึกถึงละครทีวีเรื่อง “จุดนัดฝัน” (1995, อิสริยะ จารุพันธ์) ซึ่งถือเป็น one of my most favrorite Thai TV series of all time ด้วย

 

ชอบที่หนังใส่ตรงส่วนนี้เข้ามาด้วย มันเหมือนแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้หนังจะเล่าเรื่องชีวิตของพระเอกนางเอก แต่ชีวิตของทั้งสองคนนี้ก็อาจจะไม่ได้ “หนักหนาสาหัส” ไปกว่าชีวิตของคนอื่น ๆ รอบข้างแต่อย่างใด ชีวิตของหลาย ๆ คนรอบข้างนางเอกก็อาจจะชิบหายไม่แพ้กัน

 

4.แต่ส่วนที่คนอื่น ๆ อาจจะอินกัน แต่เรากลับไม่อินเลย ก็คือการนำเสนอเรื่องราวของครอบครัวพระเอก ซึ่งเราว่าหนังนำเสนอจุดนี้ได้ดีมาก ๆ และมันก็คงเป็นจุดแข็งของหนังของคุณ Chookiat อย่างที่หลาย ๆ คนเขียนไว้ นั่นก็คือการสร้างความซาบซึ้งจากความผูกพันระหว่างสมาชิกครอบครัวเดียวกัน เพียงแต่ว่าเราว่านี่เป็น “จุดดี” ของหนัง และเราก็ชอบที่หนังนำเสนอให้เราได้เห็นว่า “ชีวิตครอบครัวของคนอื่น ๆ นั้นเป็นอย่างไร” แต่ไม่ใช่จุดที่เราอินเป็นการส่วนตัวเท่านั้นเองจ้ะ

 

เหมือนปัญหาส่วนตัวที่เรามีกับหนังเรื่องนี้จะคล้าย ๆ กับปัญหาที่เรามีกับหนัง Bollywood หลาย ๆ เรื่อง 5555 นั่นก็คือหนัง Bollywood หลาย ๆ เรื่องมันสนุกมาก บันเทิงมาก ทำเก่งมาก แต่มันมักจะนำเสนอตัวละครที่มีปัญหากับสมาชิกครอบครัวตัวเอง ทะเลาะขัดแย้งตบตีกันอย่างรุนแรง แต่จบลงด้วยการที่ตัวละครเข้าใจกัน ประนีประนอมกันในครอบครัวตัวเองได้ในที่สุดน่ะ ไม่ได้จบลงด้วยการที่ตัวละครตัดขาดจากครอบครัวตัวเองอย่างสิ้นเชิงในตอนจบ (แต่หนัง Bollywood ทุกเรื่องก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ เพราะล่าสุดเรื่อง ROCKY AUR RANI KII PREM KAHAANI ก็จบลงในแบบที่สะใจเรา 555)

 

เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้ก็เลยจัดอยู่ในกลุ่ม “หนังที่เราชอบ แต่ไม่ได้อินเป็นการส่วนตัว” เรื่องนึงจ้ะ

 

5.ชอบซีนที่นางเอกไปกินข้าวกับครอบครัวพระเอกครั้งแรก แล้วได้รับรู้ว่าพวกเขานินทาเธอเป็นภาษาจีนว่าอย่างไร ฉากนั้นเดือดมาก ๆ และก็ชอบฉากที่นางเอกปะทะกับครอบครัวพระเอกในงานศพด้วย ฉากนั้นก็เดือดมาก ๆ เช่นกัน

 

เราว่าหนังสร้าง dilemma ที่ดีสำหรับเราด้วยแหละ เพราะหนังแสดงให้เห็นว่าทั้งฝ่ายนางเอกและฝ่ายครอบครัวพระเอกต่างก็มีข้อเสียหรือจุดบกพร่องในตัวเอง คือถึงแม้ว่าเราจะสะใจที่ได้เห็นนางเอกด่ากราดครอบครัวพระเอก แต่นางเอกก็เป็นคนที่มีข้อบกพร่องในตัวเองด้วย เราก็เลยเหมือนเข้าข้างนางเอกไม่ได้ไปซะทั้งหมด

 

6. ชอบการสร้างตัวละคร “ลูกน้องนางเอก” ที่เป็นหญิงสาวที่มีปัญหาในการทำงาน เรารู้สึกราวกับว่าตัวละครนี้น่าจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากคนจริง ๆ มาจากเด็กฝึกงานหรือพนักงานที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่มีปัญหาในการทำงานจริง ๆ 555

 

7.ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะเกี่ยวกับยุคสมัยปัจจุบัน แต่รายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ในหนังก็ทำให้เรานึกถึงหนังเก่าบางเรื่องที่เราชื่นชอบมาก ๆ โดยที่ MONDO ไม่ได้ตั้งใจด้วย อย่างเช่นในฉากงานเลี้ยงรุ่น เราดูแล้วก็นึกถึง PEGGY SUE GOT MARRIED รักนั้น...หากเลือกได้ (1986, Francis Ford Coppola) และฉากที่ตัวละครเข้าไปในโลกดิจิทัลเพื่อพยายามกู้ข้อมูลเก่า เราดูแล้วก็นึกถึง DISCLOSURE (1994, Barry Levinson) 555

 

8.อยากให้มีคนทำ essay film ที่นำ “วัยรุ่น” หรือ “วัยหนุ่มสาว” ในหนังของคุณ Chookiat มาเรียงร้อยเข้าด้วยกัน และวิเคราะห์อะไรบางอย่างจากตัวละครกลุ่มนี้ออกมา หรือวิเคราะห์สภาพครอบครัวและสังคมของแต่ละยุคสมัยที่รายล้อมตัวละครเหล่านี้ออกมา โดยนำตัวละครหรือสภาพครอบครัวและสังคมจาก

 

8.1 2003 (2003, documentary)

8.2 รักแห่งสยาม (2007)

8.3 โฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ (2012)

8.4 GREAN FICTIONS (2013)

8.5 DEW (2019)

8.6 MONDO (2023)

 

มาวิเคราะห์รวมกัน เราว่ามันอาจจะน่าสนใจดี

 

แต่ถ้าหากนับเฉพาะในหนังกลุ่มนี้ เราก็ชอบ 2003 มากที่สุดนะ

 

TRIP AFTER (2022, Ukrit Sa-nguanhai, short film, A+30)

 

ขอยอมรับว่าการดูหนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงสิ่งอื่น ๆ ที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว

 

หนังของคุณ Ukrit ยังคงมี magic บางอย่างที่เราชอบมาก ๆ

 

อยากให้มีคนเขียนวิเคราะห์ “วิธีการนำเสนอ/จัดการกับ ประวัติศาสตร์ ในภาพยนตร์ของ Chulayarnnon Siriphol, Saroot Supasuthivech, Chanasorn Chaikitiporn, Apichatpong Weerasethakul และ Ukrit Sa-nguanhai” แต่จริง ๆ แล้วหนังของคุณ Ukrit ที่นำเสนอประวัติศาสตร์ได้น่าสนใจแล้วเราเคยดู ก็มีแค่เรื่องนี้กับ LEVITATING EXHIBITION (2016) นะ ส่วนหนังเรื่องอื่น ๆ ของคุณ Ukrit ดูเหมือนจะไม่ได้เน้นนำเสนอประวัติศาสตร์มากนัก อย่างไรก็ดี เราคิดว่าหนังทั้งสองเรื่องนี้ของคุณ Ukrit มันน่าสนใจมาก ๆ และเหมาะจะนำมาเปรียบเทียบกับหนังของคนอื่นๆ ซึ่งอาจจะรวมถึงการนำหนังเรื่อง DON’T FORGET ME (2003, Manassak Dokmai) มาร่วมเปรียบเทียบในกลุ่มนี้ด้วย

 

หนังเรื่องนี้จัดฉายที่ STORAGE จนถึงวันที่ 1 ต.ค. 2023 นะ

https://web.facebook.com/storage.art.bkk

 

 

No comments: