Tuesday, December 10, 2013

MARIONETTEN (1964, Boris von Borresholm, West Germany, 11min, A+30)

MARIONETTEN (1964, Boris von Borresholm, West Germany, 11min, A+30)
 
ตายแล้ววววววววววววว ชอบหนังเรื่องนี้สุดๆ เสียดายไม่มีใน youtube อยากจะ quote ประโยคเกือบทุกประโยคในหนังเรื่องนี้
 
สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้รวมถึง
 
1.เนื้อหาส่วนหนึ่งของหนังที่เกี่ยวกับการที่บรูตุสปลุกระดมวุฒิสมาชิกให้ร่วมกันสังหารจูเลียส ซีซาร์ โดยอ้างว่าซีซาร์ทะเยอทะยานมากเกินไป และเหตุการณ์นี้นำไปสู่สงครามกลางเมืองในเวลาต่อมา
 
2.การพูดถึงตำนาน Pied Piper of Hamelin ซึ่งเป็นตำนานในยุคกลางของเยอรมนีเกี่ยวกับชายนักเป่าขลุ่ยคนหนึ่งที่ใช้เสียงขลุ่ยวิเศษของตนในการล่อลวงเด็กๆในเมือง Hamerlin ให้เดินตามตนเองไปเรื่อยๆ และทำให้เด็กๆหายสาบสูญไปตลอดกาล
 
พระเอกของหนังเรื่อง MARIONETTEN ซึ่งเป็นหุ่นกระบอกตัวหนึ่งที่ไม่ยอมตกอยู่ในสถานะการเป็น “หุ่นเชิด” อีกต่อไป ได้พูดเปรียบเทียบว่า Pied Piper of Hamerlin ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตำนาน แต่มีคนประเภทนี้อยู่ในยุคปัจจุบัน เพียงแต่ pied piper ในยุคปัจจุบันไม่ได้ใช่ขลุ่ย แต่ใช้ “โทรโข่ง”  หรือ “ไมโครโฟน” โดยคนประเภทนี้คือ demagogue (นักปลุกปั่นประชาชน) ซึ่งรวมถึงฮิตเลอร์ด้วย
 
และหนึ่งในวิธีการที่ demagogue จูงใจคนได้สำเร็จ ก็คือการพูดย้ำซ้ำไปซ้ำมา
Even the craziest things become believable if they are repeated often enough.”
 
3.พระเอกยังตั้งข้อสังเกตอีกด้วยว่า
 
3.1 demagogue จะไม่พูดว่า 2+2 = 4 เพราะนั่นเป็นการพูดในสิ่งที่ถูกต้อง
 
3.2 demagogue จะไม่พูดว่า 2+2 = 5 เพราะทุกคนจะจับได้ทันทีว่า demagogue พูดโกหก
 
3.3 demagogue จะหลอกลวงผู้คนด้วยการพูดว่า 2+2 = 3+X แต่ไม่บอกว่า X เป็นอะไร ไม่มีใครสามารถควบคุม X ที่ demagogue พูดได้ และ demagogue ก็จงใจใช้ X นี่แหละในการล่อลวงประชาชน
 
“No one can control what he means by X. For example, that X could be the wool he’s trying to pull over our eyes. But open eyes are still the best protection against wool-pullers.”
 
4.พระเอกยังเล่าถึงเหยื่อของ demagogue ในยุคสมัยต่างๆ อย่างเช่น
 
4.1 ในยุคของกษัตริย์เนโรแห่งอาณาจักรโรม เหยื่อก็คือชาวคริสเตียน
 
4.2 ในยุคกลาง เหยื่อก็คือคนสองขั้วที่ตรงข้ามกัน นั่นก็คือพวกนอกรีตและนักบุญอย่างเช่น Joan of Arc ที่ต่างก็ถูกจับไปเผาทั้งเป็นเหมือนกัน
 
4.3 ในยุคของฮิตเลอร์ ก็คือคนยิว
 
4.4 ในยุคปัจจุบัน ก็คือใครก็ตามที่ demagogue ไม่ชอบ ซึ่งอาจจะเป็นตัวคุณ
 
ดังนั้นพระเอกก็เลยเตือนว่า ให้ระวังใครก็ตามที่กล่าวว่า “ผมไม่ได้มาเพื่อพูดเพื่อให้พวกคุณรักผม ผมไม่ใช่คนพูดเก่ง แต่ทุกคนรู้จักผมดีว่าผมเป็นคนธรรมดาที่พูดจาตรงไปตรงมา”
 
“So beware of someone who comes along saying, “I come not, friends, to steal away your hearts. I am no orator, as Brutus is, but, as you know me all, a plain blunt man.”
 
โดยในฉากนี้เราจะเห็นภาพการกล่าวปราศรัยของฮิตเลอร์กับมุสโสลินีควบคู่ไปด้วย
 
5.และหนังเรื่องนี้ก็นำไปสู่ฉากกล่าวปลุกระดมมวลชนของนาซี ด้วยการพูดจูงใจให้ทุกคนลุกขึ้นสู้เพื่อประเทศชาติด้วยความมุ่งมั่น, เด็ดเดี่ยว, กล้าหาญ จนกว่าจะประสบชัยชนะ
 
และฉากต่อมาที่เราเห็นก็คือฉากจำลองของซากปรักหักพังของเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
 
 


No comments: