Friday, April 17, 2020

WHERE WE BELONG (2019, Kongdej Jaturanrasmee, A+30)


WHERE WE BELONG (2019, Kongdej Jaturanrasmee, A+30)

ดูมานานเกือบ 1 ปีแล้ว แต่แทบไม่ได้จดบันทึกอะไรเอาไว้เลย ฮือๆ จำรายละเอียดอะไรไม่ได้แล้ว แต่ตอนนี้ขอจดไว้ก่อนก็แล้วกันว่าชอบ 3 ฉากในหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ มันเป็น 3 ฉากทิ่ติดค้างอยู่ในใจเราตลอด 1 ปีที่ผ่านมา

1.ฉากซูเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกในตอนท้าย ที่กล้องเป็นลองเทคจับใบหน้าของซู เรายกให้ฉากนี้เป็นฉากคลาสสิคพอๆกับฉากที่กล้องจับใบหน้าของ Nicole Kidman ใน BIRTH (2004, Jonathan Glazer) เลย

2.ฉากที่เบลล์ทะเลาะกับซูในร้านขายอาหารของซู ถ้าเราจำไม่ผิด เหมือนตอนนั้นเบลล์หวังดี พยายามพูดเข้าข้างซูในปัญหาระหว่างซูกับพ่อมั้ง แต่มันดันทำให้ซูโกรธขึ้นมา

เราชอบอารมณ์ขัดข้องขุ่นเคืองใจในฉากนี้อย่างสุดๆ นึกถึงทั้งตัวเราเองและเพื่อนบางคนที่มีปัญหาครอบครัว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ถึงปัญหาครอบครัวของเพื่อนเรา และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่เพื่อนเราจะเข้าใจปัญหาครอบครัวของเรา แม้ทุกคนจะหวังดีต่อกันก็ตาม มันเหมือนซู, เรา หรือเพื่อนเราบางคน แบกปมความทุกข์บางอย่างไว้เพราะปัญหาครอบครัว และในบางครั้ง ความทุกข์เหล่านั้นมันแปรสภาพเป็นเหมือนชนวนระเบิดอยู่ภายในใจ และพร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ ถ้าหากมีใครไปสะกิดมันโดยไม่ได้ตั้งใจ

3. ฉากที่สมาชิกวงดนตรีซ้อมกัน แล้วก็ทะเลาะกันอย่างรุนแรง

ชอบอารมณ์ในฉากนี้มากๆ นึกถึงตัวเราเองในสมัยก่อนมากๆ เหมือนฉากนี้เข้าใจตัวเรา, อารมณ์ของเรา, สภาพจิตของเราอย่างสุดๆ

ความรู้สึกของเราที่มีต่อฉากนี้จะคล้ายกับข้อสองน่ะ เหมือนเราชอบหนังที่เข้าใจตัวละครที่ “ซ่อนความขึ้งเคียด เกลียดชัง” ไว้ภายใน โดยเฉพาะความขึ้งเคียด เกลียดชังที่มีต่อเพื่อนๆและสมาชิกครอบครัว  และตัวละครตัวนั้นก็รักเพื่อนหรือสมาชิกครอบครัวคนนั้นในเวลาเดียวกันด้วย มันไม่ใช่ความเกลียดชังอย่างรุนแรงที่มีให้กับศัตรู แต่มันเป็นความไม่พอใจ ความเกลียดชังที่มีต่อคนที่เราไม่อยากแสดงความเกลียดชังออกไปน่ะ เพราะเขาเป็นสมาชิกครอบครัวของเรา หรือเป็นเพื่อนที่เรารัก และพอเราไม่สามารถแสดงความเกลียดชังหรือความไม่พอใจออกไปได้โดยตรง เราก็เลยได้แต่เก็บกดมันไว้ และมันก็เลยกลายเป็นความขึ้งเคียดที่ฝังลึกอยู่ในใจไปเรื่อยๆ และกลายเป็นวัตถุระเบิดภายในใจที่ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงในภายหลัง

เราก็เลยรักฉากนี้อย่างสุดๆ ฉากนี้มันเข้าใจจิตวิญญาณของเราจริงๆ



No comments: